เมอร์ริงแยกกับเดวีส์ตรงหัวมุมถนน เธอกระเตงฝีเท้าเหนือส้นสูงสีเชอร์รีซึ่งเหนี่ยวรัดไว้เสียขนัดแน่น เหตุเพราะหยิบยืมความทะมัดทะแมงจอมปลอมนี้มาจากยูนิฟอร์มตัวละครสาวอาภัพรักคืนวาน น่องขาวปลั่งผิวอิ่มสลับทำนองก้าวสั้น เร้าร่างโทรมเหงื่อประชิดเรียวนิ้วเข้าพอดีกับวงกบขอบบานพับทรงสูง ขณะปรี่กายหอบรุดหน้าเข้าไปยังประตูของม่านการแสดงที่เมอร์ริงคุ้นชิน มุมภาพกว้างขวางนี้ค่อย ๆ หดเล็กทีละนิด ราวจดจ้องลูกตุ้มใต้นาฬิกาเรือนโอ่อ่าคราวกระดกทิศตามแรงโน้มถ่วง ซึ่งจะกลับกลายความธรรมดาให้เห็นเป็นรอยผ่อนโคจรช้าลงเมื่อเพ่งสมาธิ ก่อนเรือนกายของหญิงสาวในสายตาเขาจะเหลือชิดเพียงแผ่นหลังเปราะบาง ทว่าขืนเกร็งไปด้วยสันกระดูกแกนกลางเพราะแขนงไหล่ของเธอกำลังเริงระบำยามรวบยกชายกระโปรง เพรียงระเบียบกับต้นขาเปลื้องบทบาทแสนงดงามพร้อมเสียงดนตรีที่ยังไม่เริ่มบรรเลง ราวต้องการบุคคลแปลกหน้าจับสังเกตว่าหล่อนกำลังปรารถนาเรื่องใดอยู่
เจ้าหน้าที่สายสืบอย่างเขาคะนึงออกว่ามันเริ่มต้นราว ๆ เดือนที่แล้วได้ละมัง เพราะสังขารไร้วิญญาณของเขาเฝ้าฝันจะออกตามหาทัศนียภาพงดงาม มาทดแทนคดีที่ยังไขไม่จบไม่สิ้นผ่านสำเนาประชุม แม้เดิมที คงดูโง่เง่าในความเป็นจริงอยู่หลายโข อนึ่ง มันทำให้เขาดูเป็นตาเฒ่าที่พยายามจะออกตามหา— ตามหาสิ่งประดิษฐ์ประดอยที่มีเลือดเนื้อเป็นอื่นมาทดแทนใจเหี่ยวเฉาทึมเทา ทั้งที่ไม่เคยมองมันอย่างทะลุปรุโปร่งเสียที สัญชาตญาณลึก ๆ บอกให้เขาลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่ประสบการณ์ที่ยังอ่อนด้อยกลับไม่รู้จักสอนให้เขารู้ซึ้งถึงอุปสรรคอันประหวั่นพรั่นพรึงย่องเบาตามหลัง กระทั่งถูกฟันซี่แหลมขบกร่อนอย่างตะกละตะกลามภายใน — ก็สายเสียแล้ว
เหมือนการเดินเลี่ยงโคลนตมในฤดูฝน — เขาหวาดกลัวจะแปดเปื้อน
เมอร์ริงรู้สึกราวกับตนเพิ่งจะแยกจากกับอะไรบางอย่าง เช้านี้ เช่นกัน อาจเป็นพลบสลัวเฉดม่วงอมแสดจรดขอบฟ้านาบเหนือผิวน้ำ กลายยอดเขาให้สะพรั่งเป็นดอกแมกโนเลียสีชมพูหวานอมแดง เอนทับเส้นเว้าเคลือบขอบเรียงเนื้อหาบันทึกไว้อย่างพร่องระเบียบ แทนที่จะแปลงลายขีดโค้งงอให้เป็นเงาหลอมละลายปื้นแดงอุ่นโทนร้อนของไส้เทียน อะไร อะไร ทำนองนั้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองยังคงอยู่ ทั้งที่ไม่ได้อยู่ ณ หนแห่งหนึ่ง คือจังหวะย่างก้าวที่เขาเองก็ไม่สามารถกำหนดมาตรอนุมานมาเทียบเคียงได้เช่นกัน
เจ้าหน้าที่สายสืบที่ยังเหนื่อยอ่อนจากชั่วโมงหลับใหลน้อยนิดคงสูญสัมปชัญญะไม่น้อย เมอร์ริงเพิ่งจะสังเกตออกว่าบนโต๊ะของตัวเองไม่มีที่เขี่ยบุหรี่เหนือขอบโต๊ะเหมือนทุกทีอย่างคืนวาน และดูเหมือนบุคคลร่วมห้องจะลอบมองอยู่ก่อนแล้ว เขาคนนั้นจึงเอ่ยตามหลัง
“นายไม่ควรใช้ไฟแช็กน้ำมันนะ มันจะเสียรสชาติเอา” กวินชะโงกหน้าลงมาจากฟูกนอนชั้นสองของตัวเอง ก่อนชี้นิ้วไปยังลิ้นชักเหนือที่วางหมวกโบว์เลอร์ของเจ้าตัว ที่จริง มันก็เป็นโต๊ะของเมอร์ริง เป็นที่ทำงานของเขาเพียงคนเดียว แต่แรก แต่เดิม และหากจะปล่อยให้ช่องว่างหลืบนี้เป็นมรดกลำพังผู้เดียว มันก็คงดูเย็นชาไปเสียหน่อย เขาจึงแนะให้อีกฝ่ายวางอะไรก็ได้ตามใจอยาก แต่กลับไม่หวังว่าแอชตัน กวินจะใส่ใจเรื่องเครื่องแต่งกายตามความชมชอบของทางเลื่อมใสในรสนิยมขณะนี้ด้วย “ในนั้น...ของที่นายอาจจะต้องเปลี่ยนมาสูบ”
เมอร์ริงเอื้อมเปิดลิ้นชัก ก่อนจะพบกับ...ไปป์อันใหม่
“เนื่องในโอกาสไหน” เมอร์ริงหยิบถ้วยโค้งเงาผุดผ่องขึ้นเอ่ย
“เพิ่มมูลค่าหนี้” กวินตอบ พลางยันกายหยัดตรงในท่าขัดสมาธิ “...เผื่อว่าเดือนหน้าฉันอาจจะย้ายออก”
จริงจังหรือไง เมอร์ริงนึก พยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงความตื่นตระหนกให้อีกฝ่ายเสาะเจอพิรุธ หลังดวงกลมโตทิศเหนือหัวนอนปลายต่ำ เมื่อเห็นเมอร์ริงเฉยนิ่งไปเสียนาน
เจ้าของห้องอย่างเมอร์ริงคิดว่า เสื้อสูทไม่เป็นทางการปะทะกลิ่นคาวเหงื่อมาทั้งของวันนี้ คล้ายสาละวนอบอวลความเหนื่อยอ่อนอย่างเย่อหยิ่ง พลันเสริมให้เขารู้สึกอยากสบถปนความฉุนเฉียวไม่เข้าที่เข้าทางกับความรู้สึกไร้คำบรรยายนี้อยู่เล็กน้อย
“เหรอ” สีหน้าราบเรียบของเมอร์ริงบ่งบอกว่าเหตุผลของกวินเหมือนถ้อยกระเซ้าจากเด็กที่กำลังเง้างอนของเล่นชิ้นใหม่กับผู้ปกครอง
ภายใต้หลืบเงานั้น — เขากดพรางมันไว้สุดสามารถ
กวินห้อยขาลง ก่อนกระโดดพรวดสั้น ๆ ลงมาอย่างง่ายดาย แทนการก้าวยาวในพื้นที่แออัดที่คงจะยิ่งทำให้เขาเจ็บตัวเปล่า เขาเขยื้อนลำตัวเข้าไปแผ่หงายบนเตียงชั้นล่างแก้ขัด “คดีเป็นไง” ปากก็เอ่ยทั้งที่กำลังมองแผ่นหลังแผ่กว้าง ซึ่งขัดแข็งไปด้วยมัดกล้ามเนื้อตามตารางใช้แรงกายไม่ว่างเว้น ที่แม้ตกดึกเมอร์ริงก็ยังร่ำวอดอาลัยกับวิชาชีพ ไม่คืนนี้ ก็มะรืนนี้ — เสมอ ใบหน้าซึมเซานั่นจะถูกไกควบคุมระบบเพาะชำบนหน้าดินแล้งแตกหน่วงขังไว้เสียออกตามหากุญแจปลดล็อกไม่พบ กวินรู้ว่ามันต่างอยู่เรื่องเดียว ด้วยเรือนกายข้างใต้ชุดลำลองที่เมอร์ริงกำลังเอื้อมตัวห้อยโค้ตลายตาราง ซึ่งกวินเห็นจนชินตาว่าอีกคนจะเลือกสวมอารมณ์ยินดีผ่านริ้วพาดของเสื้อคลุมตบตาวันท้าย ๆ ของสัปดาห์เป็นประจำ ในวันทำการอื่นเขาจะสวมโค้ตสีดำ เพราะมีเวลาออกตรวจพื้นที่รอบนอกหรือ เปล่าเลย เมอร์ริงมีเวลาว่างถมเถพอจะไปเดทกับเดวีส์ที่โรงละครมากกว่าเวลาสูญเปล่าของเขาที่มักกลับมาเยือนพื้นเย็นเยียบแห่งนี้ขณะต้องรอนวดแป้งเสียอีก นัดสำคัญของหนุ่มสาวล้วนมีค่ามากกว่ามื้ออาหารรสเลิศซึ่งต้องตบท้ายด้วยขนมหวานล้างปากอยู่แล้ว ชายหนุ่มรอบหัวเมืองมักสันทัดเรื่องนี้ดี
“ก็-ดี อาจจะ-ดี” เมอร์ริงลากหางเสียง “นิดหน่อย” พลันกลับมานั่งประจำบนเก้าอี้สำรอง — ตรงหน้ากวิน ด้วยเชิ้ตคอปกยับเยินสีขาวสง่า ทว่าหมองหม่นตามเรือนผมชี้กระโด่สวนแรงลมโชยผ่านบานพับสองริมฝั่ง
“ทีมสอบสวนน่ะนะ ชอบทำอะไรตามใจแล้วมากลบเกลื่อนความผิดพลาดทีหลัง เหมือนพวกนักเขียนที่ดีแต่อยู่ด้านหลังตัวหนังสือ ทำนองนั้น”
“ฉันเป็นประเภทนั้นล่ะซี — พวกดีแต่อยู่ใต้ปากกา” สายสืบภาคสนามทวนย้ำ ริ้วหยักกว้างหยามเย้ย ผุดบนใบหน้าขื่นละมุน “ก็ถูก...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้ยินอะไรแบบนี้”
“เวลาได้อยู่ข้างหลังอะไรสักอย่างคนเราจะรู้สึกปลอดภัยนี่นะ เรื่องธรรมดาทั้งนั้น”
คล้ายชนวนของเถ้าปลายไหม้ระเหยกลบลมหายใจของชายทั้งสอง กวินสูดลม เมอร์ริงถอนหายใจ สัมผัสได้ถึงออกซิเจนถดน้อยที่ถูกลิดรอนไปอย่างละนิดจากสถานจำแลงแสนเคืองคับ เหนือบรรยากาศอับโชคและไร้สิ้นแสงไต้ ซึ่งเขาและเขาเองก็เคยรับรู้ว่ามันคือชีวิตของพวกเขาลอยล่องอยู่อีกด้านข้างใต้ทรงจำของอีกฝ่าย เป็นเสียงขีดเขียนของเมอร์ริง เป็นรอยลากฝีแปรงของกวิน เป็นรสขื่นหวานของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นความเย็นชืดละม้ายจะปัดแย้งไออุ่นจากผิวฟูกนอนของเมอร์ริง กระทั่งผ้าห่มผืนบางทาบคลุมบนแผ่นหลังของเขา เช้าตรู่ อาจเริ่มต้นในไม่ช้า และจะจากไปโดยเร็ว เมื่อฝีเท้าของผู้คนมุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกัน เมอร์ริงสับสน เขาคิดว่าหากตัวเองเลือกสิ่งที่ไม่อาจฝืนต้านได้ ตัวตนของเขาจะแตกสลายหรือกำลังหน่วงขังความกระหายที่ไม่อยากทำให้ใครบางคนต้องเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ที่ใดสักที่ เขาคิดถึง เพรียกหา ตัวเขาอีกคน ในแววตาของแอชตัน กวิน
เหมือนความแน่นิ่งในกรงขังเคลื่อนไหวนี้กำลังจดจ้องชายในเสื้อคลุมฟร็อกที่มักผูกเกลียวผ้าพันคอเป็นขดกลมและสยายลายไขว้ทับข้างใต้ปีกคอปกสูง แทนการพับมารยาทสุภาพชนด้วยเนคไทด์สีเรียบเป็นระเบียบขณะทำงาน แววเฉยเมินและความหมองแคบของสันกรามเสริมให้เขาดูรั้นและหยิ่งผยองในเวลาเดียวกัน เพราะผู้คนภายนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้มองเห็นผิวช่วงต้นคอของเขาแม้แต่น้อยไม่ว่าจะแหงนเชิดหรือก้มต่ำเพียงใด ซึ่งแผกเพี้ยนไปจากภาพอุดมคติที่หัวหน้าและผู้ช่วยฝ่ายผู้ดูแลหอสังเกตการณ์น่านน้ำพอจะวาดฝันให้พวกคนหนุ่มเดินตามทางที่พวกเขาวางไว้ดั่งใจ รวมกระทั่งเคราสีเข้มจงใจหย่อนปลายงุ้มหน่อยที่กวินเล็มถนอมมันอย่างดี ชวนให้เมอร์ริงเผลอนึกถึงใบหน้าเกลี้ยงเกลาของแอชตัน กวินในเยาว์น่าชังที่ตนยังคุ้นเคยกว่ามากโข ค่อนนาทีในเสี้ยวจำ หลังอีกฝ่ายวางสัมภาระลงบนฟูกนอน กลิ่นชุดและเนื้อตัวสะบักสะบอมของกวินเหมือนคนเพิ่งลงเรือแดนไกลมากับน้ำทะเลตามคำกล่าว หากแต่ก็เป็น-วิถีชีวิตที่เพิ่งต่อสู้กับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมาเสียมากกว่า มันคือกลิ่นชืดเย็นของสนิมคาวปอนที่กลืนกลึงมวลเขรอะตรมของซากปรักพังใต้ผิวปูน เมอร์ริงนึก ขณะอีกฝ่ายเริ่มกระแอมถ้อยเพื่อเรียงลำดับให้เขาฟัง ที่นั่นเพิ่งจะบูรณะใหม่แท้ ๆ แต่มีแต่ของพัง ๆ ให้ซ่อมอยู่เรื่อย ลำพังเสียงกระด้างเซ็งแซ่ในเวลาปรกติยังทำเขาแทบประสาทเสีย แต่เมอร์ริงกลับไม่คิดว่าความตัดพ้อในคราวแรกเริ่มนั้นจะพอกพูนให้เขาสบายใจขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ที่จริง คงเพราะเขาไม่ทันตั้งตัวว่าต้องมีใครอื่น เข้ามาพัวพันเฉกเคยใกล้ชิดเช่นสหายคนสนิทที่ย้ายสำมะโนทั้งตัวและจิตวิญญาณเปื้อนฝุ่นเข้ามาร่วมชะตากรรมท่ามกลางห้องหม่นอับหลังนี้ กระทั่งทราบว่าความเป็นมาของอาชีพใหม่ ยังนำพาเบลเลน เบลล์มาให้เขารู้จักอีกทอด จากคำบอกเล่าของกวิน เธออาศัยอยู่กับบิดาข้างในที่ที่อับชื้นและมีสีอิฐเปื้อนรอยลื่นเหนียวเข้มฝังลึก เหมือนสถานทำงานเหนือราวบันไดเพียงไม่กี่ตารางนิ้วของเขาไม่มีผิด เลขที่ 4 และ เลขที่ 5 คือที่พักพิงของเขาและครอบครัวของเธอในละแวกเกาะแห่งนั้น สถานที่ซึ่งห่างไกลความเรืองโรจน์จากผู้คน ทว่า ความกว้างไกลของมันกลับแผ่วดังหนักแน่นด้วยลูกปืนและเงาแผดตวาดของเงื้อมมือมัจจุราชของเครื่องยนต์สำรวจน่านฟ้า รวมถึงปากลึกรูโหว่ยามวิกาลที่มักสะท้อนตัดผืนผ้าใบกว้างในโถงพักของเขา สิ่งลับตาพรากความรักสุดวงแขนโอบล้อมของเขาเสียไม่มีแรงพอจะกกคว้าชิ้นงานตนเอาไว้ทัน และเมื่อยามทิศตะวันออกเบ่งบานหลังเกลียวคลื่นโถมท่วมหัวชายฝั่งค่อย ๆ เหือดลงพร้อมพายุใต้บาดาล มันก็ทำให้ชายหญิงทั้งสองได้พานพบและไปมาหากันอยู่พักหนึ่ง ระหว่างเวลาก่อนเข้างานและเวลาสลัวของร่มอาทิตย์ถูกคดเคี้ยวหลังม่านชื้นแฉะในสวนเหลวกรุยทางให้สายตาของกวินเปรยเทียบหล่อนกับดวงดาวส่องไสว แม้จะขัดตาด้วยแสงกระพริบริบหรี่จากประภาคารที่จะเริ่มตะกายแสงสีขาวเป็นสัญญาณทุก ๆ 30 วินาที ไม่ต่างอะไรกับการถูกขัดจังหวะจากเพื่อนร่วมงาน แอชตันบอกเขาเช่นนั้น เมอร์ริงยิ้มขำ แล้วอะไรทำให้นายกลับมา ปลดประจำการหรือ กวินส่ายหน้า ไม่ เรือนผมของเขายังนิ่งปรกติเท่าที่จะเป็น หลังทิ้งคำปฏิเสธไว้เพียงวิสัยลวงเลือนกับเจ้าของห้องตัวจริง รู้ไหม ความตายมันใกล้กว่าจะอยู่นะ ตอนนั้นฉันไม่รู้ แต่จริง ๆ มัน... เขาวางนิ้วลงบนศีรษะครั้นแหงนขึ้นมองใบหน้าของเมอร์ริงให้ชัดกว่าเคย มันคือเสี้ยวเวลาของจังหวะกะพริบตา เสี้ยววินาทีของลมหายใจ จากใครสักคนซึ่งถูกรีดเค้น- ไม่ก็ถอนออกอย่างเงียบเชียบ และไม่มีทางกลับเข้ามาอีก เสี้ยวผิวเผินของแรงสะเทือนบนกลีบไม้ที่หวั่นไหวคล้ายภาพลวงตา เมื่อขาของแมลงบางชนิดบินจากไปหลังผสมเกสรเสร็จสิ้น ธรรมชาติเอง ก็มีหน้าที่ของมัน เหมือนที่มนุษย์มีกำหนดคอยบ่งชี้อย่างเป็นเกียรติในหน้าที่ยามมีชีวิต ฉันสงสัยน่ะ ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมเขาไม่เสกดาวเหล่านั้นให้เป็นห่าฝนคะนอง หรือสุขใจที่เห็นมนุษย์ห้ำหั่นกันเองอย่างไร้สติ แต่แล้วอีกวันถัดมา ฉันก็คิดได้ว่ามันไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดกาล และฤดูกาลก็เปลี่ยนเราให้เป็นสัตว์เลือดอุ่นที่พัฒนาผองเพื่อนมาเป็นขนสังเคราะห์สัตว์ เพื่อคอยหุ้มเส้นขนน้อยชิ้นบนร่างกายโง่เง่านี้ มันช่วยให้อุณหภูมิพลิกผันดูอุ่นขึ้นถ้าต้องอยู่บนโลกนี้ ไม่ช้า- ไม่ช้าหรอก ความมีชีวิตจะเชือดเราอย่างใจเย็น งดงาม และโศกสงัด เหมือนดนตรีบัลลาดที่บรรเลงใกล้จบ กวินเห็นว่านัยน์ตาของเมอร์ริงสั่นคลอน ผ่านแววสบแน่วแน่ เขาเอ่ยต่อ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สิ่งที่เคยคิดว่าใช่ มันจะค่อย ๆ ตายจากไป นั่นแหละมัน — ที่ผู้คนเคารพ
“ไอ้บ้านั่นบอกฉันว่าถ้าทำไฟตะเกียงมอด พายุห่าใหญ่จะมาถล่มเรา มันเป็นคำสาป- คำสาปของภูติผีที่มนุษย์บนบกรบกวนพวกเขา” กวินเอ่ย
เมอร์ริงคาดว่าเขาคงหมายถึงเพื่อนร่วมงานที่มักทำข้าวของระเนระนาดให้ตามเช็ดล้าง หลังอิ่มท้องจากอาหารมื้อเที่ยง นอกจากนั้น เขายังเล่าอีกว่า เพราะอายุมากกว่า อีกฝ่ายจึงไม่เคืองใจเรื่องเห็นแก่ตัวซึ่งยืนกรานจะปฏิบัติเช่นนั้นทุกวัน หนำซ้ำยังชอบหอบเสื้อกันน้ำกลับเข้ามาแขวนในโถงรวมหอสังเกตการณ์อีก ทั้ง ๆ ที่มันชุ่มไปด้วยหยาดเหลวตามผัสสะของแรงลมขณะเกลียวน้อยใหญ่โถมระรัวบนแผ่นหลัง ราวรอยนิ้วมือของบรรดาผีสางผู้ควานหาตัวตายตัวแทน ระหว่างที่ชายผู้นั้นลงไปทำความสะอาดชานพักซึ่งไม่อาจห้ามกระแสเชี่ยวพัดทวนฝั่งได้พ้น กฎของผู้ดูแลจึงต้องกำชับเรื่องสวมเสื้อคลุมกันน้ำติดตัวให้เป็นนิสัย ไม่ใช่เพราะความสะอาดตามคาดแต่แรกเลย กวินต่อบท หากแต่เพราะความปลอดภัยเสียมากกว่า
แอชตัน กวินถอนใจเอือมระอาเมื่อนึกย้อน
เมอร์ริงส่ายหน้า แต่แล้วก็ถูกฉุดกระชากกิริยาด้วยประโยคไม่ทันตั้งตัวถัดไป
“เช้านั้น ฉันเห็นยอดป้อมปราการเปื้อนรอยนิ้วของอะไรบางอย่าง”
“อะไร” ประกายสงสัยของเมอร์ริงตกกระทบลงบนเข่าใต้ร่มผ้าใยไหมข้างหนึ่งของกวิน ซึ่งชันขึ้นในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนโดยไม่มีเหตุผล ชุดลำลองในเวลาพักผ่อนของกวินมักเป็นอะไรที่เขาคงไม่นึกว่าตัวเองจะใส่ลงคอ
“ไม่รู้ซี — มันไม่ใหญ่ แต่ฉันไม่มีเวลาจะทำความสะอาด ไม่มีโอกาสจะปีนด้วยซ้ำ คนที่จะทำแบบนั้นได้คงไม่ใช่ใครในหมู่พวกเรา”
“งั้นที่บ้านของมิสซิสซิลลิแวนล่ะ” เมอร์ริงรีบถาม
“ไม่รู้แหะ ไอ้นิ้วนั่น...พิลึก มันอาจจะเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่อยากให้เราตามล่า”
“เชื่อเขาเลย นี่มันสมัยไหนกันแล้ว” เมอร์ริงก่ายหน้าผากด้วยสันมือ แม้จะไม่ร้อนรนเสียเหงื่อชุ่ม
“นายจะบอกว่าสาวใช้พูดอะไรนะ วันนั้น- นายยังไม่บอกฉันเลยด้วยซ้ำ”
เมอร์ริงฉุกคิด
เขาจำใบหน้าเสี้ยวเล็กแสนขัดเขินที่ไม่ยอมเงยแหงนให้จับต้องนั้นได้ ข้างใต้ประโยคแว่วลมแผ่วเบาลอดกลีบเรียวบางของหล่อนก็ด้วย...
“เธอ...” เมอร์ริงเพ่งทิศต่ำ พื้นพรมใต้ปลายส้นเริ่มขดวงคล้ายแฉกเลือนราง ดวงกลมริบซ่อนข้างใต้เปลือกเคลื่อนไหวขณะขมวดคิ้ว พยายามค้นลึกในสิ่งยากจะค้นถ้อยจำกัดความ
“เธอบอกว่าเห็น...เงา เงาของมันจ้องกลับมา หัวเกลี้ยงเกลา...แขนยาวพิลึก ไม่มีชุดใดปรกลำตัว...ตาของมันเป็นสีแดง— นอกหน้าต่างนั่น”
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมอง
ตรงข้ามฝั่ง... ภาพ ๆ นั้นสะท้อนอยู่ในกรอบผ้าลินินของแอชตัน กวินที่เขาไม่รู้ว่ามันผลิกหงายลงมาเมื่อไหร่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in