เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
numerous | October Prompts 2024wallflowerblu
XVIII. Folklore (4)
  •  

    4

     

    ATU151

    เดิมที ข้าพเจ้าเคยได้ยินนิทานสองพี่น้องตระกูลกริมม์อยู่บ่อยครั้ง สมัยเรียนโรงเรียนฝึกหัด เพราะเพื่อนร่วมห้องของข้าพเจ้ามักแย้มสรวลกับวรรณกรรมลึกลับโดดเด่นกว่าผู้อื่น โดยเฉพาะฉากด้านมืดของเรื่องซินเดอเรลล่า ทูตสวรรค์ในบทนกน้อยจากเส้นเรื่องของพวกเขาไม่ได้วิเศษวิโสเกินศีลธรรมเหนือโลกมนุษย์เลยเทียว ไฉนจะมารดาจามเท้าลูกรักทั้งสอง เพื่อปล่อยให้หล่อนได้สวมเครื่องแก้วจากเจ้าชายได้อย่างไร้ที่ติ และถึงแม้ในท้ายที่สุด บทลงโทษแห่งสิ่งละโมบนั้นจะจบลงที่นัยน์ทั้งสามคู่ถูกจิกบอดสนิท ช่างอาภัพตามจริง ล้วนแต่เพราะหัวเรื่องเป็นการจ่ายฉลากสำหรับผู้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี บทแคลงใจเช่นนั้นจึงดูน่านับถือ ข้าพเจ้าเคยร่วมฟังน้ำเสียงขานเล่าอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดเดือนอย่างไม่อาจเลี่ยง แม้ภายในจะเนือยเปื่อยกับอักษรเต็มซอกหลืบบรรทัดเหลือทน

    ไหนลือนักลือหนา สอนย้ำทวนขื่อไม่ถ้วนหัววัน ดี อย่าง มิ ให้ ผู้ อื่น เดือด ร้อน

    ดีอย่างไรกัน คนชั่วหาต้องพึ่งการต้อนรับที่ดีงั้นหรือ ดีจริงหรือ คำสอนเช่นนั้น

    สาสมกับที่พวกมันทำ

    แบบใด

    แบบนั้น

    บทลงโทษหรือ

    อืม

    ดีอย่างไร

    พวกมันควรพ่าย

    พ่ายอย่างไร

    พ่ายราบคาบ เพราะเธอเหนือกว่านั้น เหมือนอย่างเรา เพราะเราคือผู้ปราบขบถได้

    งั้นหรือ

    หรือเป็นอื่นได้ ลองแผ่ดูซี จะได้ช่วยทำความเข้าใจถูก

    หาก...แม่เลี้ยงเธอผิดจริง ดังนั้น กลับกัน กล่าวคือท่านเศรษฐีมิใช่ผู้บงการแรก ที่ก่อสิ่งโกลาหลนี้ขึ้นมาเชียว ตามจริง บ้านส่วนกำเนิดจากตราบาปของเขา เขาควรจะมีสิทธิ์ใช้อำนาจวจี อบรมเธอและลูกในไส้ตามลำดับ ตรงจุดเพิกเฉยนั้นมิผิดดอกหรือ

    ข้าพเจ้าหวนสมาธิถ่ายลมหายใจต่อลมหายใจเหนือข้อมือตน ขณะจรดนิ้วลงบนกระดาษพิมพ์ สารนั้นอิงอักษรต้นไม่เยื้อเกินประมาณหนึ่งย่อจบ “เศรษฐีผู้ร่ำรวยมีลูกสาวนาม เอลล่า เขาแต่งงานใหม่หลังสูญเสียแม่ของเธอ ร่วมหญิงหม้ายกับลูกสองคนที่แม่เลี้ยงของเธอข่มเหงและบังคับให้แต่งตัวเป็นสาวรับใช้” พลางปิดต้อนบริบทด้วยใจความกระชับ “เพราะแรกเริ่ม จึงข้ามหรือ” เขาขรึมเงียบ ข้าพเจ้าลุกปราดตรงไปสวมเครื่องนุ่งห่มท่อนบนก่อนเข้านอน รุ่งเช้า เราไม่มีบทสนทนาต่อกัน เป็นอย่างนั้นอยู่สองสัปดาห์

     

    ข้าพเจ้าฉุกสัมปชัญญะกลับมาพะวงรอยชอล์กเลือนอ่อน ขณะคู่หูเปิดย้อนบันทึกลอกลายมือแข็งทื่อร่างพอเป็นพิธี

    รอยคาน 10 มิลลิเมตร / ไม่พบพยานวัตถุ / สอบปากคำ 2 นาฬิกา

    “สารวัตร...เล่นดนตรีไหม” ฝ่ายประกบหลังหยุดฝีเท้ากลางคัน เขาคงเฉลียวใจไม่น้อยที่ข้าพเจ้ายอมกดติดชนวนสัมพันธ์วันใหม่แต่อรุณรุ่ง

    “ไม่ใช่ทางเท่าไหร่ แค่เปียโนน่ะ ช่วงเกรดแปด” เขาจงใจทิ้งระยะห่าง ไม่ทอดตามข้าพเจ้าเฉกเดิม ระหว่างคอยท่าสิ่งเหนือจริงไปจากชุดคำสั่ง เงี่ยยินริมฝีปากเผยอเพียงแง้มของข้าพเจ้าเริ่มกระจ่างความข้าง ๆ คู ๆ ผ่านสายตาเขา “รอยที่คอ... เผิน ๆ มันดูตื้นเล็กกว่าเชือกเส้นใหญ่ตามเห็นก่อนปลด คุณจะข้ามก็ได้ ผมแค่สันนิษฐานน่ะ ลองเดาว่าเขาอาจถูกลงมือก่อนจะลากมาติดกับขื่อคานที่โรงเลื่อยโถงใหญ่ จากในบ้าน ไม่มีร่องรอยต่อสู้หรือข้าวของเสียหาย ดูท่าจะเป็นคนสนิท แต่เท่าที่ผมทราบมา ใบพิมพ์ชันสูตรระบุเสียเลือดจากบาดหลังสะบัก รอยทำร้ายมีมากเสียกว่าแผลป้องกันอีก ไม่มีด้วยซ้ำ”

    อันที่จริง ข้าพเจ้ายังรำลึกโครงบางส่วนมาจากเพื่อนร่วมห้องได้อีกทอดหนึ่ง นานโขเกินจะสาธยายให้เพื่อนร่วมโดยสารฟัง ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงคะนึงลำพังอยู่ผู้เดียวระหว่างทางสัญจร

    กาลครั้งหนึ่ง มีนักดนตรีแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ในป่าลำพัง โดยคิดเรื่องต่าง ๆ นานา และจวนไม่มีอะไรเหลือให้คิดอีกแล้ว เขาก็พูดกับตัวเองว่า “ที่นี่มันน่าเบื่อในป่า ฉันจะหาเพื่อนดี ๆ สักคน”

    แล้วเขาก็หยิบไวโอลินจากหลังของเขา และเล่นทำนองที่ดังก้องผ่านหมู่ไม้

    ไม่นานนัก หมาป่าก็วิ่งผ่านพุ่มไม้มาหาเขา

    “เจ้าเล่นดนตรีได้ไพเราะจับใจเหลือเกิน ข้าเองก็อยากเล่นดนตรีเหมือนกัน”

    “เธอเรียนรู้มันได้นะ" นักดนตรีตอบ “แค่จะต้องทำตามสิ่งที่ฉันบอกเท่านั้น”

    “โอ้ นักดนตรี” หมาป่ากล่าว “ข้าจะเชื่อฟังเจ้าเหมือนกับศิษย์ฟังครู”

    นักดนตรีบอกให้หมาป่ามาด้วยกัน และเมื่อพวกเขาเดินไปได้ระยะหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงต้นโอ๊กแก่ต้นหนึ่ง ข้างในเป็นโพรงและแยกออกเป็นสองส่วนตรงกลาง

    “ดูสิ” นักดนตรีกล่าว “ถ้าเธออยากเรียนเล่นไวโอลินนัก ก็ลองเอาอุ้งเท้าหน้าของเธอแตะที่แคร่นี้ซี”

    หมาป่าเชื่อฟัง และนักดนตรีก็รีบหยิบหินขึ้นมา ตีเข้ายังร่างหมาป่าเพียงครั้งเดียวจากนั้นจึงยึดอุ้งเท้าทั้งสองไว้แน่น จนหมาป่านอนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกับเป็นนักโทษ

    “จงรออยู่ที่นี่ จนกว่าฉันจะกลับมา” นักดนตรีพูดและเดินจากไป

    ไม่นาน เขาก็พูดกับตัวเองอีกว่า “ที่นี่มันน่าเบื่อในป่า ฉันจะหาเพื่อนใหม่”

    เขาหยิบไวโอลินขึ้นมาเล่นต่อ ไม่นานนัก สุนัขจิ้งจอกก็เดินเข้ามาหาเขา

    สุนัขจิ้งจอกตรงเข้ามาหาเขา “คุณเล่นได้ดีมาก ข้าเองก็อยากเล่นสักครั้ง"

    “เธอเรียนรู้มันได้นะ" นักดนตรีตอบ “แค่จะต้องทำตามสิ่งที่ฉันบอกเท่านั้น”

    “โอ้” สุนัขจิ้งจอกตอบ “ข้าจะเชื่อฟังเจ้าเหมือนกับศิษย์ฟังครู”

    “ตามฉันมาซี” นักดนตรีกล่าว และเมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงทางเดินเท้าที่มีต้นไม้สูงใหญ่ทั้งสองข้าง นักดนตรียืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาดันต้นเฮเซลนัทต้นเล็กลงมา แล้วเหยียบปลายต้นเฮเซลนัทต้นหนึ่งลง จากนั้น เขาก็ดันต้นไม้เล็กอีกต้นหนึ่งลงมาจากด้านตรงข้าม และพูดว่า “เจ้าจิ้งจอกน้อย ถ้าเธออยากเรียนรู้ก็ชูอุ้งเท้าหน้าซ้ายของเธอเข้ามา”

    สุนัขจิ้งจอกเชื่อฟัง และนักดนตรีก็ผูกอุ้งเท้าไว้ที่ก้านซ้ายของลำต้น "จิ้งจอกน้อยเอ๋ย" เขากล่าว "ส่งอุ้งเท้าขวาของเธอมาให้ฉัน"

    พลันผูกเชือกไว้ที่ก้านด้านขวา หลังจากแน่ใจว่าปมเชือกแน่นพอแล้ว เขาก็ปล่อยต้นไม้เป็นอิสระ ต้นไม้กอนั้นกระโจนขึ้นและดึงสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยขึ้นไป ปล่อยให้มันห้อยอยู่ตรงนั้นและดิ้นรนอยู่กลางอากาศ

    “จงรออยู่ที่นี่ จนกว่าฉันจะกลับมา” นักดนตรีพูดและเดินจากไป

    เขาพูดกับตัวเองอีกครั้งว่า “ที่นี่ในป่ามันน่าเบื่อ ฉันจะหาเพื่อนใหม่” เขาจึงหยิบไวโอลินขึ้นมาแล้วเสียงเพลงก็ดังขึ้นทั่วป่า ทันใดนั้นกระต่ายน้อยก็กระโดดเข้ามาหาเขา

    “โอ้ นักดนตรีที่รัก” กระต่ายกล่าว “เจ้าเล่นได้ดีมาก ข้าเองก็อยากเล่น”

    “เธอเรียนรู้มันได้นะ" นักดนตรีตอบ “แค่จะต้องทำตามสิ่งที่ฉันบอกเท่านั้น”

    กระต่ายตัวน้อยตอบ “ข้าจะเชื่อฟังเจ้าเหมือนกับศิษย์ฟังครู”

    เมื่อทั้งคู่เดินไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็มาถึงต้นแอสเพนที่อยู่บริเวณโล่งในป่า นักดนตรีผูกเชือกยาวไว้รอบคอกระต่ายน้อย จากนั้นจึงผูกปลายเชือกอีกด้านหนึ่งไว้กับต้นไม้

    “เธอจงวิ่งรอบต้นไม้ยี่สิบรอบเร็ว ๆ นี้เสีย” นักดนตรีตะโกน และกระต่ายน้อยก็ทำตาม เมื่อวิ่งวนไปยี่สิบรอบ มันก็พันเชือกรอบต้นไม้ยี่สิบรอบ และกระต่ายน้อยก็ถูกจับ ยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่ เชือกก็ยิ่งบาดคออันบอบบางของมันมากขึ้นเท่านั้น

    “จงรออยู่ที่นี่ จนกว่าฉันจะกลับมา” นักดนตรีพูดและเดินจากไป

    ระหว่างนั้น หมาป่าได้ผลัก ดึง และกัดหิน และทำงานมานานจนสามารถเอาเท้าออกจากรอยแยกนั้นได้ หมาป่าเต็มไปด้วยความโกรธและเดือดดาล รีบวิ่งตามนักดนตรีไปเพื่อต้องการฉีกเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

    เมื่อสุนัขจิ้งจอกเห็นเขาวิ่งผ่านไป มันจึงเริ่มคร่ำครวญและร้องตะโกนสุดเสียงว่า "เจ้าหมาป่า! ช่วยข้าด้วย ไอ้นักดนตรีนั่นมันหลอกข้า!"

    หมาป่าดึงต้นไม้ลงมา กัดเชือกขาดเป็นสองท่อน แล้วปล่อยสุนัขจิ้งจอกให้เป็นอิสระ สุนัขจิ้งจอกจึงตามหมาป่าไปแก้แค้นนักดนตรี เมื่อพวกเขาผ่านมาพบกระต่ายที่ถูกมัดไว้ พวกเขาจึงช่วยกระต่ายตัวนั้นไว้ได้ จากนั้น ทั้งหมดก็ออกเดินทางเพื่อตามหาศัตรู

    นักดนตรีเล่นไวโอลินอีกครั้งขณะเดินต่อไป และครั้งนี้เขาโชคดีกว่ามาก เสียงไวโอลินไปถึงหูของคนตัดไม้ผู้ยากไร้ ซึ่งไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม เขาก็หยุดทำงานทันที และเอาขวานไว้ใต้แขนแล้วเดินมาหานักดนตรีเพื่อฟังดนตรี

    “ในที่สุด ก็พบสหายเสียที” นักดนตรีกล่าว “เพราะฉันกำลังตามหามนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ป่า” แล้วเขาก็เริ่มเล่นดนตรีอย่างไพเราะ จนชายผู้น่าสงสารยืนอยู่ที่นั่นด้วยความปีติยินดี หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

    ขณะที่พวกเขายืนอยู่ที่นั่น สุนัขหมาป่า จิ้งจอก และกระต่ายก็เข้ามาใกล้ ชายผู้นั้นเห็นว่าพวกมันมีเจตนาชั่วร้าย จึงยกขวานที่แวววาวขึ้น และยื่นมันออกไปต่อหน้านักดนตรี ราวต้องการจะบอกว่า “ใครก็ตามที่ต้องการทำร้ายเขา จงระวังตัวให้ดี เพราะเขาจะต้องเล่นดนตรีนี้ให้ข้าฟัง”

    จากนั้น สัตว์ร้ายก็ตกใจและวิ่งพรูกลับเข้าป่า อย่างไรก็ตาม นักดนตรีเล่นเพลงอีกเพลงหนึ่งบทเพลงให้ชายคนนั้นฟังเพื่อขอบคุณเขา แล้วจึงเดินจากไป

     

    ยามเสียงล้อยานยนต์เบียดชิดริมฟุตบาธหยุดตรงกับสถานรำลึก ข้าพเจ้าเริ่มประกอบหัวเรื่องขบถเนิบช้า ความนั้นจบลง กล่าวถึงสปีลแมนน์ผู้ประหลาด เขาผู้นั้นผูกมัดความโลภ ความหลอกลวง และความหวาดกลัวเอาไว้ข้างหลัง ขณะสิ่งสามัญเหล่านั้นตามติดเสียงดนตรีของเขาตลอดทางเดินป่า เสียงดนตรี สำหรับสัตว์สามตัว ไม่ว่า หมาป่า สุนัขจิ้งจอก และกระต่าย หากพวกมันต่างยินทำนองคลอผ่านสายไวโอลินแล้ว ก็คงเปรียบเสมือนสิ่งกังขานั้นค่อย ๆ ชี้โพรงไสวเลือนราง ในยามที่พวกมันใฝ่ฝันจะนำเรื่องเหล่านั้นมาเป็นของตัวเองชั่วชีวิต เพื่อต้องการจะถือมั่นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นความจรรโลงชวนหฤหรรษ์ หลังจากพวกมันเพิ่งจะเคยรับรู้เป็นหนแรก และอยากศึกษาจวนติดตัวไปตลอดกาล แม้เดิมที ช่องบันไดโน้ตแห่งเสียงเพลงจะไม่เคยปรากฏต่อวัฒนธรรมของวิถีทางธรรมชาติแต่เนิ่น ราวอาภรณ์ปกคลุมเครื่องเพศของมนุษย์ยามต้องดำเนินชีพร่วมฝูงชน อนึ่ง คราวแรกเกิดไร้ทุเลาต้องหยิบจับมาป้องเป็นอาจิณ หากสี่จุดค้ำสมดุลมีสิ่งเท็จจริงริเกิด สองแข้งลำพังจึงมักลำเค็ญต่อการนำเหตุแห่งเกณฑ์พื้นเมืองมาปลิดพรากมันไปจากตัวตน

    คู่หูคนใหม่ยั้งรอยเคลื่อนเหยียบกะทันหัน ฝุ่นผงไม้กระดอนตามแรงทุ้งเตะโดยไม่ตั้งใจ ดูตระหนกพิลึกไม่เกินจริง เมื่อข้าพเจ้าเงยเพ่งขื่อคานอันไร้ร่องรอยได้อย่างสงบเย็น เสมือนเหลือบร่างซีดเซียวซึ่งทยอยเผละในม่านจำ “พระองค์ไม่ทรงฆ่าหรือขับไล่ความต้องการได้ แต่ทรงทำเพียงผูกมัดมันไว้ เหมือนกับที่มันผูกมัดเรา และทรงทิ้งมันไว้ชั่วคราว ในความเป็นจริง...เขาสามารถผูกมัดพวกเราได้ เพียงเพราะเขาได้ผูกมัดตัวเองด้วยความปรารถนานั้นแล้ว ถึงแม้วิธีแก้ปัญหานี้จะไม่ใช่หนทางสุดท้าย แต่เพราะเขาต้องการจะถ่วงเวลา แล้วค่อย ๆ ปล่อยให้เราทิ้งระยะห่างตามกลิ่น เพื่อจะทำความรู้จักเพื่อนร่วมทางคนใหม่ ที่สามารถเข้ามาเกี่ยวแทรกและช่วยเหลือได้อย่างแท้จริง นั่นต่างหาก”

    “มันไม่ได้อยู่ตรงกลาง ไม่ใช่พวกสวะอย่างที่คุณเข้าใจหรอก มันกำลังเลียนแบบอำนาจของพระเจ้า แบบที่จะเย้ยพวกเราไปตลอดความทรงจำตื้น ๆ นี่จะรับไหว มันอยากทำอย่างนั้น ผมรู้สึกได้ มันเคยย้อนกลับมาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ได้มาเพื่อดูความคืบหน้าของเรา เฝ้าร่างไร้วิญญาณ หรือตามเก็บหลักฐานมัดตัว มันไม่เคยปลอมตัวอย่างใดเลย แต่แนบเนียนสมจริง ไร้ที่ติกว่านั้นมาก” ข้าพเจ้าหันหลังกลับ เผล่ยิ้มอ้างน้อย ๆ อย่างที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน “ว่าไหม”

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in