เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
FilmsWe read this book
My Fair Lady (1964)
  • Starring Audrey Hepburn, Rex Harrison


             วันก่อนเพิ่งได้มีโอกาสนั่งดู My Fair Lady ซึ่งเป็น Musical นานเกือบ 3 ชั่วโมง เรียกว่าดูจนตาแตก ดูตั้งแต่แดดจ้าจนตะวันตกดินก็ยังไม่จบ...

             เป็นเรื่องของ Eliza Doolittle หญิงขายดอกไม้บ้านนอกกับ Prof. Henry Higgins นักสัทศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสำเนียงภาษาอังกฤษ ศ.ฮิกกินส์พบกับเอไลซ่าโดยบังเอิญ แต่แค่ได้ยินสำเนียง Cockney ที่เอไลซ่าพูด ศ.ก็สามารถบอกได้ว่าชีเกิดและเติบโตมาจากส่วนไหนในประเทศอังกฤษ ด้วยความมั่นหน้าของศ. แกก็ป่าวประกาศและพนันกับเพื่อนเศรษฐีของแกว่า ฉันน่ะนะ สามารถทำให้ยัยผู้หญิงบ้านนอกคนนี้พูดภาษาอังกฤษสำเนียงควีนและกลายเป็น Lady ได้ในภายในระยะเวลา 6 เดือน ดังนั้นเอไลซ่าจึงได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านศ. เพื่อเรียนการออกเสียงภาษาอังกฤษแบบ “ผู้ดี” และขัดเกลากิริยามารยาทไปพร้อมๆ กัน


             หลากหลายความรู้สึกสุด ในการดู My Fair Lady 

             อย่างแรกเลยคือ ฟังยาก! มาก! เราเคยพยายามดูเรื่องนี้สมัยอยู่ญี่ปุ่น เพราะในห้องสมุดมหาลัยมีหนังฟรีให้ดู แล้วก็พบว่าแม่งไม่มีซับอะไรให้กุเลย ซับอังกฤษก็ไม่มี ซับญี่ปุ่นก็ยังจะไม่มีอีก สรุปคือฟังไม่ออก... คุณพระ ฟังสำเนียง cockney ของเอไลซ่าไม่ออกเลย ยิ่งเป็นมิวสิคัลด้วยแล้ว.. ไปกันใหญ่เลยดิฉัน 


    เอไลซ่าที่ Ascot

             ความเป็นมิวสิคัล เลยทำให้รู้สึกเหมือนกำลังดูการ์ตูนดิสนีย์อยู่ เพลงสไตล์คลาสสิค เพราะๆ สนุกสนาน หญิงยากจนโชคหล่นทับ พบกับบุคคลที่เหมือนฟ้าประทานลงมาให้ขัดเกลาเพชรน้ำงามในตัวเธอ เพื่อก้าวเข้าไปสู่สังคมชั้นสูงอย่างสวยงาม เหมือนซินเดอเรลล่าพบเจ้าชายขี่ม้าขาวก็ไม่ปาน แค่อีตาศ.ฮิกกินส์ยังห่างไกลกับเจ้าชายขี่ม้าขาวนัก อาจจะเหมือนกันแค่ความรวย เพราะอุปนิสัยที่แสนจะมั่นหน้า ช่างถากถาง ช่างดูถูก ดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่น ขี้เหยียด ขี้แซะเป็นที่หนึ่ง ไม่เข้าข่ายเจ้าชายผู้อ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย 
             ดิฉันหมั่นไส้อีตาศาสตราจารย์คนนี้เหลือเกิน ยิ่งตอนฮีถากถางเอไลซ่าว่าเป็นผู้หญิงสกปรก ไร้การศึกษา ไร้มารยาท ไม่มีสมบัติผู้ดีและพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น... มันช่างแบบ... เดี๋ยวๆ มันจะต้องโดนทุบซักหน่อยแหละ คนแบบนี้ แหม สูงส่งมาจากไหน พ่อคนมีความรู้


    ฮิกกินส์และบันไดเวียนในห้องสมุกของนาง สวยตาแตก
           
             เราเหม็นคาแรคเตอร์อีตาฮิกกินส์ที่สุด ยิ่งตอนท้ายตอนเอไลซ่าหนีไป ที่นังมานั่งคร่ำครวญทำไมผู้หญิงถึงไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ ทำไมไม่เป็นเหมือนผู้ชาย ทำไมผู้หญิงต้องงี่เง่า ต้องอารมณ์อ่อนไหว ผู้ชายทั้งมีเหตุผล เข้าใจง่าย พึ่งพาได้ ไหนจะฉลาดและซื่อสัตย์ไม่ซับซ้อน 
             โอโห... กุแทบกรี๊ด มีคนมัดรวมสเตอริไทป์ทั้งโลกแล้วโยนใส่หัวฮิกกินส์หรือยังไง โลกหมุนรอบตัวเอง โลกหมุนรอบเพศชายเหลือเกิน เป็นตัวอย่างของอีลีทเหม็นๆ ที่อยู่แต่บนหอคอยงาช้าง และคิดว่าตัวเองสูงส่งแบบไม่เห็นหัวคนอื่น 

             ใดๆ เราเก็ทในบริบทชายเป็นใหญ่ของยุคนั้น และเข้าใจเรื่องชนชั้นทางสังคมที่เข้มข้นกว่าปัจจุบัน แต่ถ้ามันไม่มีตัวละครแบบ Colonel Pickering ที่เป็นเพื่อนของฮิกกินส์ เป็นเศรษฐีผู้มีมารยาท และไม่พูดจาถากถางดูถูกคน มาเป็นตัวเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ว่า แม้สังคมในยุคนั้นจะกดทับสตรีเพศและแบ่งแยกชนชั้นมากเท่าไหร่ แต่คนที่มีหน้าจะเรียกตัวเองว่าชนชั้นสูงทุกคน อย่างน้อยๆ มารยาทและการเคารพกันก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี ซึ่งฮิกกินส์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่มีตรงนี้ เขาไม่มีมารยาท ไม่มีสมบัติผู้ดีขั้นพื้นฐาน และดูจากซีนที่ไป Ascot และจากการสนทนากับพิคเคอริ่งเรื่องความรัก เราว่าเขาเป็นพวก Geek ประเภทที่มีปัญหาในการเข้าสังคมพอสมควร

             ซึ่งสุดท้ายแล้วการที่ฮิกกินส์พาเอไลซ่ามาชุบตัว ก็แค่แสดงให้เห็นความเพียรพยายามของผู้ชายที่ต้องการจะสร้างผู้หญิงในอุดมคติของผู้ชายเท่านั้นเอง 


            แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องนี้ถูกสร้างออกมาในแง่ Romantic Comedy ซึ่งเราเข้าใจว่าความตลกและพึงพอใจของผู้ชมมักเกิดมาจากสิ่งที่ contrast กันมากๆ การที่ฮิกกินส์ด่าเอไลซ่าแต่เริ่มแรก เป็นการเน้นย้ำว่าเอไลซ่ายังไม่เป็นผู้ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตัวละครเอไลซ่าถูกฮิกกินส์ขัดเกลา พัฒนาจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว ทั้งรูปโฉม สำเนียงและกิริยามารยาท เป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้คนดูมีความรู้สึกพึงพอใจที่ตัวละครไปถึงเป้าหมายที่ set ไว้สำเร็จ ที่สำคัญในตอนท้าย ยังมี conflict ของเรื่องที่เอไลซ่าหนีไป และฮิกกินส์ไม่พอใจ จนต้องไปตามเอไลซ่ากลับมาเพราะยอมรับว่าอยู่โดยไม่มีเอไลซ่าไม่ได้แล้วอีก พระเอกร้ายๆ ที่กลายเป็น loser ตอนหลัง ยิ่งทำให้บรรลุสูตรสำเร็จของหนังแนว romcom เข้าไปใหญ่ เข้าอีหรอบ ขึ้นอย่างหงส์ลงอย่างหมา เหมือนฟิคโดเตนล์ 5555555

             เราไม่ชอบตั้งแต่ที่ฮิกกินส์เที่ยวตัดสินคุณค่าของคนจากสำเนียงที่ใช้พูดแล้ว แม้จะเข้าใจว่านี่เป็นตีมหลักของเรื่อง และไม่ได้มีแต่ฮิกกินส์คนเดียวที่ใช้สำเนียงการพูดเป็นกุญแจในการเข้าสังคมชั้นสูง แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะเหม็น แต่ในทางกลับกันก็เป็นเรื่องดีที่ทำให้เราได้เข้าใจความคิดและสภาพสังคมในยุคต้นศตวรรษที่ 20 ได้บ้าง (หรือยุคต้น wwI) 


             เขียนด่าฮิกกินส์ซะยาว แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบหนังนะ 55555 ชอบจ้ะ ชอบมากด้วย ชอบ element ทุกอย่างของหนังเลย ไม่ว่าจะเป็น costume design, setting, accents etc. Audrey Hepburn เล่นเป็นเอไลซ่าได้น่ารักมาก เพลงเพราะฟังเพลิน ทั้งเพลงมิวสิคัลและ BGM ในเรื่อง สำเนียงค็อกนีย์ก็เป็นอะไรที่ challenge listening skill ของกูเหลือเกิน แม้จะฟังยากมากๆ แบบฟังไม่ออกจริงๆ แต่มันเป็นฟีลแบบ ถ้าฟังออกมันเหมือนการปลดล็อดสกิลภาษาอังกฤษไปอีกขั้น รู้สึกฉลาดขึ้นมาอีกนิดไรงี้ 55555
    แฟชั่น Ascot ที่เพ้อเจ้อมาก แต่สวยแบบสับตาแตก
             ทั้งฉากทั้งชุดก็สวยมากและชวนฝันสุด ยิ่งฉากตอนไป Ascot ยิ่งเพ้อเจ้อและฟู่ฟ่า แฟชั่นชุดขาวดำของผู้หญิงแต่งกันมาแบบสับมาก สวยยยย ไม่มีใครยอมใคร 

             แต่ที่รักมากๆ คือบ้านของฮิกกินส์ สวยทุกตารางนิ้ว ตั้งแต่ห้องทำงาน ห้องน้ำ มุมบ้าน ห้องของเอไลซ่าวอลเปเปอร์สวยตาแตกจนอยากจะร้องไห้ แต่มาสเตอร์พีซสุดคือห้องสมุดในบ้าน สวยตะลึงเยี่ยวเล็ดมากแม่ เอาไปเลยเต็มสิบ ชั้นหนังสือแบบกินพื้นที่ชั้นหนึ่งและชั้นสองของบ้าน มีบันไดวนให้ไต่ขึ้นไป โอโห้... ถ้ากุรวยกุทำแน่ เรฟแน่น! เราไปเสิร์ชหามาว่าห้องสมุดนี้มีจริงมั้ย ก็พบว่าเป็นฉากในโรงถ่ายเฉยๆ แต่ได้ inspiration มาจากชาโตว์แห่งหนึ่งในฝรั่งเศสล่ะ 

    ห้องสมุดของฮิกกินส์ บอกเลยว่าถ้ารวยจะสร้างแบบนี้ เรฟแน่น

    ห้องนอนเอไลซ่า วอลเปเปอร์สวยจนดิฉันอยากร้องไห้

    ห้องน้ำในห้องนอนเอไลซ่า อีลีเม้นน่ารักจนกรี๊ด

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Lynnly1975 (@Lynnly)
นั่งอ่านรีวิวแล้วหลุดขำตรงขึ้นอย่างหงส์ลงอย่างหมาเหมือนฟิคโดเตนล์ ?
Lynnly1975 (@Lynnly)
นั่งอ่านรีวิวแล้วหลุดขำตรงขึ้นอย่างหงส์ลงอย่างหมาเหมือนฟิคโดเตนล์ ?