Title: Goodness Appears
Fandom: Good Omens
Relationship: Crowley/Aziraphale
Rating: PG-13
Categories: M/M
Characters: Crowley, Aziraphale
Note: ไม่สปอยล์จ้า
—
เราคือผู้ที่ร่วงหล่น
ปิศาจ––คือคำเรียกของผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่กลับถูกขับไล่ลงมา โครว์ลีย์ลืมเลือนช่วงเวลาของความดีงามเหล่านั้นไปแล้ว แสงสว่างเจิดจ้าที่สาดส่องให้ทุกอย่างเรืองรอง สีขาวสะอาดไร้มลทินที่ถูกปิดกั้นไว้ให้ได้ยลเพียงคนข้างบนด้วยกัน
ที่จดจำได้มีเพียงความเจ็บปวด ความแค้นบางเบาลงตามระยะเวลาที่ผันผ่าน ใช่ว่าเขาให้อภัยอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแต่ไม่ได้ใส่ใจมันแล้ว
เป็นปิศาจก็มีข้อดี อย่างน้อยเขาก็ทำอะไรตามใจได้ และไม่ว่าจะปิศาจหรือเทวดา ก็ต่างมีพันธกิจที่ต้องทำทั้งนั้น
โครว์ลีย์คิดว่าชีวิตแบบนี้ก็ไม่ได้แย่ ทำในสิ่งที่ต้องทำ เพลิดเพลินและปล่อยตัวเองให้หลงมัวเมากับบาปและกิเลสต่าง ๆ แบกรับความชั่วร้ายและสีดำของโลกใบนี้เพื่อให้สีขาวสว่างขึ้น
เขาคิดเช่นนั้นมาตลอด
กระทั่งได้รู้จัก อะซิราเฟล
––
อะซิราเฟลเป็นพวกแองเจิล พวกเทวดา หรือพูดให้ชัดกว่านั้นคือ เป็นพวกที่อยู่ตรงข้ามกับเขา
แต่คนที่ควรจะอยู่กันคนละฝั่ง บัดนี้กลับนั่งร่วมโต๊ะอาหารเดียวกัน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ ความสัมพันธ์ประหลาดของพวกเขาเดินทางมาหลายศตวรรษแล้ว
“ข้าไม่คิดว่า…” เสียงกังวาลของอะซิราเฟลดังขึ้น “…ใบหน้าของข้าจะน่าสนใจไปกว่าสเต็กปลาตรงหน้าเจ้านะ โครว์ลีย์”
เจ้าของชื่อเลิกคิ้ว “ข้าใส่แว่นดำอยู่ เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้ามอง”
อะซิราเฟลหยิบผ้าเช็ดปากสีขาวขึ้นมาซับมุมปากเบา ๆ “ข้าสัมผัสได้”
“เพ้อเจ้อน่า”
เขาพูดปัดไปเช่นนั้นขณะแสร้งหั่นชิ้นเนื้อสเต็กเข้าปากบ้าง
รู้ตัวอีก
มีเหตุผลหลายอย่างที่โครว์ลีย์เลือกใส่แว่นดำ แต่มั่นใจเถิดว่าการแอบมองอะซิราเฟลเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้คิดมาก่อน แค่บังเอิญว่าสถานการณ์มันพอเหมาะพอดี สบโอกาสให้เขาใช้ความจำเป็นนี้ในการลอบสังเกตท่วงท่างดงามของเทวดาตรงหน้า
“หลังจากนี้เจ้าจะไปไหน”
เขาถาม
อะซิราเฟลวางแก้วไวน์ สบตาเขาก่อนตอบ “อาจจะเป็นอิตาลี”
“ไปทำอะไร”
“มีหนังสือที่ข้าสนใจ”
“อังกฤษยังมีหนังสือไม่พอให้เจ้าอ่านอีกหรือไง”
“อายุอานามพวกเราก็หลายพันปีแล้วนะ โครว์ลีย์ หนังสือไม่กี่หมื่นเล่มจะไปพออ่านได้ยังไง”
โครว์ลีย์ขมวดคิ้ว
“เจ้าไม่คิดจะสนใจอย่างอื่นนอกจากหนังสือบ้างหรือไง”
“อาหาร” อะซิราเฟลตอบทันทีโดยไม่คิด
เขาถอนหายใจ “ไว้เจ้ากลับวันไหน ค่อยไปกินร้านตรงแถวเบเกอร์กัน”
“ภัตตาคารเปิดใหม่นั่นน่ะหรือ ข้านึกว่าเจ้าไปมาแล้ว”
“ยัง” เขาว่า พิศมองอะซิราเฟลที่กำลังให้ความสนใจกับดอกไม้ประดับโต๊ะตรงหน้า “รอชวนเจ้าไปด้วยกัน”
“เยี่ยม” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าอ่อนโยนนั่น “งั้นข้าจะรีบไปรีบกลับ แค่คิดก็อยากกินเต็มทีแล้ว”
น่าตลกดี เทวดาผู้อิ่มทิพย์ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารของมนุษย์ด้วยซ้ำ แต่อะซิราเฟลที่คอยพร่ำพูดถึงรสชาติอาหาร รอคอยจะได้ลิ้มรสเมนูใหม่ ๆ ก็เป็นภาพที่โครว์ลีย์คุ้นตา
ท่ามกลางกระแสเวลาที่ไหลผ่านไป ไม่มีปิศาจตนใดใคร่คบค้าสมาคมกับเขา มีเพียงคนเดียวที่ยินดีนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับเขา และให้เขาไปมาหาสู่ได้โดยไม่ค่อยสนใจสายตา ‘เบื้องบน’ ก็คืออะซิราเฟลผู้ใจดีคนนี้นี่แหละ
“หวังว่าข้าไม่อยู่ เจ้าจะไม่สร้างเรื่องอะไรอีก โครว์ลีย์” เทวดาชุดขาวหันมาพูดทีเล่นทีจริงกับเขา “ไว้จะหาของฝากจากอิตาลีมาให้”
“ไม่ใช่สร้อยกางเขนก็พอ แองเจิ้ล”
อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ
พวกเขาเดินออกจากร้านอาหาร ท้องฟ้ายามบ่ายของลอนดอนในฤดูร้อนยังคงสดใส อะซิราเฟลชวนเขาไปนั่งเล่นแถวสวนสาธารณะเซนต์เจมส์เช่นเคย แม้เขาจะไม่ค่อยพิศมัยการนั่งโดยมีเป็ดที่ดูพร้อมจะคาบข่าวไปเล่าให้คนอื่นฟังได้ทุกเมื่อล้อมรอบ แต่ถ้าเป็นข้อเสนอจากอะซิราเฟล และเขาพิจารณาแล้วว่าตัวเองจะไม่เดือดร้อน ก็ไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธแต่อย่างใด
พวกเขานั่งลงที่ม้านั่งประจำ นั่งกันคนละฝั่ง และเว้นตรงกลางไว้เช่นเคย
เป็นระยะที่พวกเขาคุ้นชิน ไม่ได้เข้าไปใกล้กว่านี้
อะซิราเฟลจะนั่งเหยียดหลังตรงอย่างสง่างามเสมอ ขณะที่เขานั่งพิงพนัก เหยียดแขนขาเต็มที่ เป็นภาพที่ดูแล้วคงตรงข้ามกันน่าดู
“โครว์ลีย์”
“ว่า?”
“เคยคิดไหมว่าทำไมพวกเราถึงเป็นแบบนี้”
“หมายถึง”
อะซิราเฟลขมวดคิ้ว น่ารักดี “เราควรจะเป็นศัตรูกัน แต่ก็ไม่ใช่”
“อ่า…” โครว์ลีย์พยักหน้าเหมือนเข้าใจ “ก็ข้าเริ่มทักเจ้าก่อนนี่นา”
“ใช่ แล้วเจ้าก็ตามติดข้าตลอด”
“…ไม่ปฏิเสธ”
“จะไม่มีปัญหาในอนาคตหรือไง”
“ข้าไม่ได้สนใจ” โครว์ลีย์พาดคอกับพนักม้านั่ง เงยหน้ามองฟ้า “การทำอะไรตามใจเป็นอิสระของปิศาจอย่างพวกข้าล่ะมั้ง”
“แต่ไม่ใช่การสนิทสนมกับเทวดาหรือเปล่า”
“ข้าจำไม่ได้ว่ามีกฎข้อนั้น”
“…เหรอ”
“สถานการณ์ทำให้เราแยกกัน แต่ไม่ได้แปลว่าจะสนิทกันไม่ได้สักหน่อย”
อะซิราเฟลยิ้ม
“เจ้าเป็นปิศาจที่มองโลกในแง่ดีกว่าเทวดาอีกนะ”
“เพราะเป็นปิศาจถึงได้มองโลกในแง่ดีต่างหาก”
“ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ก็ดี”
โครว์ลีย์มองเห็นกระรอกตัวใหญ่ไต่ลงมาจากต้นไม้ที่อยู่อีกฝั่งของสวน เขาจดจ้องมันขณะฟังอะซิราเฟลพูดไปด้วย
“แต่บางทีข้าก็กังวล”
“ทำไม”
“เพราะสีขาวแปดเปื้อนได้ง่ายกว่าสีดำมั้ง”
โครว์ลีย์หันกลับมามองอะซิราเฟล
“ที่ข้าอยากรู้จักเจ้า เพราะเจ้าไม่เหมือนพวกแองเจิลคนอื่น รู้ไหม”
“ยังไง”
“ถ้าขาวหรือดำมากไป สุดท้ายเจ้าจะกลายเป็นพวกสุดโต่งที่น่ารังเกียจ ไม่มีความไยดี ไร้ความเมตตา ยึดมั่นแต่กฎเกณฑ์ การแบ่งแยกระหว่างเทวดากับปิศาจไม่ได้แบ่งด้วยความดีความชั่วหรอก ก็แค่คนที่อยู่ข้างบนกับข้างล่างแค่นั้น”
“…”
“ไม่ต้องยึดมั่นเรื่องความดีอะไรนักหรอก เจ้าอยู่กับปิศาจนะ ลืมหรือไง”
อะซิราเฟลหัวเราะ
“งั้นข้าคงต้องสอนให้เจ้าทำดีบ้าง”
“อะไร ข้าเป็นปิศาจนะ”
“เพิ่งพูดเองว่ามันไม่เกี่ยวกัน”
เห็นเทวดาหันมาย้อนเขาบ้างแล้วโครว์ลีย์ก็ได้แต่ทำท่าเหมือนจะลุกหนี แล้วเทวดาคนดีก็แปลงร่างเป็นเทวดาขี้แกล้งโดยมีเขาเป็นปิศาจที่ต้องตกเป็นเหยื่ออยู่เสมอ
อะซิราเฟลไม่รู้หรอก ว่าการที่เขาได้พบอีกฝ่าย เป็นอีกครั้งที่เขาได้เข้าใกล้เรื่องดี ๆ มากที่สุดในรอบหลายพันปี
ท่ามกลางความมืดและความชั่วร้าย อะซิราเฟลกลายเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ให้แมลงเม่าอย่างเขาบินเข้าหา และแสงสว่างนี้ก็ไม่เคยทำลายเขาเลยสักครั้ง
อะซิราเฟลไม่จำเป็นต้องสอนความดีอะไรให้เขาเลยด้วยซ้ำ
เพราะการมีอะซิราเฟลอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
FIN
––
190705
แม่ หนูเพิ่งดูจบบบบบบ กรี๊สสสส
คือมันแบบ บะลั่ก ๆ มาก ฟิกอาจจะงง ๆ นิดนึงเพราะดูจบแล้วเขียนเลย ยังไม่ได้ไปไล่ดูไล่อ่านอะไรเพิ่ม และจริง ๆ เขียนแบบไม่มีพล็อตไรเลยแม่ ไหลมาเรื่อยเลย /แกล้งตาย
ก็ ใครยังไม่ได้ไปดู ก็ไปดูนะคะ /บีบมือทุกคน
แท็ก #wirunfic แหละ หรือคอมเมนต์เถอะจ้ะ เลิฟ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in