เราซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะได้ยินรีวิวจาก booktuber (ชาว youtube ที่ทำเชนเนลพูดถึงหนังสือ) หลายๆคนพูดถึง นอกจากพล็อตจะเตะตา(เตะหู..?)เราแล้ว ปกก็สวยมากกกกกก พาลให้รีบซื้อมาอ่านทั้งที่ตัวเองไม่ชอบหนังสือที่ดูก็รู้ว่าเศร้า.... และมันก็เศร้าจริงด้วย seriously....THIS BOOK GAVE ME ALL THE FEELS!!! T____T *sob*
(ในรีวิวนี้จะมีการพูดถึงเนื้อหาเล็กน้อย แล้วก็มียกเอา quote บางตรงมาพูดถึงด้วยนะ ถ้าตรงไหนสปอยล์มากๆเราจะติดเตือนเอาไว้)
พล็อตเรื่อง และสไตล์การเขียนThey Both Die at the End พูดถึงเด็กหนุ่มสองคนในโลกอนาคตอันใกล้ ทั้งคู่ได้รับสายจากบริษัทชื่อว่า "Death-Cast" ซึ่งเป็นบริการโทรแจ้งเตือนหากใครกำลังจะตายในวันนั้นๆ การมาของ Death-Cast ได้เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของคน และนำมาซึ่งเทคโนโลยีใหม่หลายๆอย่าง เช่นแอพพลิเคชั่นบนมือถือชื่อว่า 'Last Friend' ซึ่ง...ก็ตรงตัวเลย เป็นแอพที่ทำงานคล้ายกับ Tinder แต่เป็นการหาเพื่อนคนสุดท้ายในวัน End Day หรือวันสุดท้ายของชีวิตแทน (อะแฮ่ม.. เพื่อนตาย แบบตรงตัวเลยนี่เอง) แน่นอนว่า สองหนุ่มของเรา Mateo กับ Rufus ก็เจอกันผ่านแอพนั้นและเลือกใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันก่อนตัวเองจะหมดลมหายใจ
ซึ่งจุดที่น่าสนใจไม่ได้มีแค่ตัวบริษัท Death-Cast เท่านั้นนะ คนเขียนมีความสร้างสรรค์ในการอธิบายด้วยว่าโลก adapt ไปกับการมาของบริการนี้แค่ไหน ตั้งแต่บทแรกของหนังสือเลย Mateo เล่าให้เราฟังว่า รายการทีวีชอบเอาเสียงเรียกเข้าจาก Death-Cast ไปล้อเลียนในละคร ทำให้ทุกคนรู้ว่าเสียงนี้หมายถึงความตาย, มีเว็บไซต์คล้ายๆ twitter ชื่อว่า CountDowners ไว้ให้คนที่ได้รับแจ้งการตาย (ในหนังสือเรียกคนพวกนี้ว่า Deckers) อัพเดทให้โลกโซเชี่ยลรู้ว่าใช้ชีวิตวันสุดท้ายยังไง แล้วนอกจากแอพ Last Friend ที่ใช้หาเพื่อนแล้ว ก็ยังมีแอพ Necro อีก ต่างกันตรงที่ Necro ไว้ให้คนที่ต้องการมี one-night stand กับ Deckers!! เราชอบที่ผู้เขียนเค้า expand โลกนี้ให้ดูสมจริง ด้วยการใส่รายละเอียดเหล่านี้ไว้ในชีวิตของตัวละคร
เรื่องราวทั้งหมดถูกเล่าเป็นเส้นตรงผ่านหลายๆมุมมอง โดยเน้นไปที่มุมจากตัวละครหลักสองคน แต่ในขณะเดียวกันก็แทรกมุมจากตัวละครรองอื่นๆ เช่น เพื่อนตัวเอก, พนักงานจากบริษัท Death-Cast เอง หรือแม้กระทั่งคนแปลกหน้าที่เจอบนถนนก็มี เราชอบวิธีการเล่ามากเพราะผู้เขียนทำให้เสียงของ Mateo กับ Rufus มีเอกลักษณ์และแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือเราอ่านสองบทแรกก็สามารถแยกออกได้ทันทีเลยว่าบทนี้เล่าจากมุมของใคร ผ่านแนวความคิด, การใช้คำ และโทนเสียงของแต่ละคน
นอกจากนี้บทที่เล่าผ่านมุมตัวละครอื่นๆ เค้าก็เล่าเหมือนมีบุคคลที่ 3 มาพูดให้ฟังอีกต่อนึง โดยแต่ละบทจะเริ่มจากการบอกว่า "Death-cast did not call this person because s/he isn't dying today" แล้วก็จะเรียกตัวละครด้วยสรรพนาม he, she หรือ they แทนที่จะใช้ I เหมือนบทที่เล่าจากมุม Mateo กับ Rufus การเล่าแบบนี้ทำให้เราได้ซึมซับความรู้สึกของหลายๆตัวละครในมุมมองที่แปลกใหม่ดี แถมทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า If only they knew... คือถ้าตัวละครทั้งหมดได้รู้เหมือนที่เรารู้ ก็คงจะดี /ซับน้ำตา/
เนื้อเรื่องมีความตายเป็นจุดศูนย์กลาง และแน่นอนแหละ..ความตายมันก็ย่อมมาพร้อมกับความเศร้า ความ depressed ที่อ่านแล้วหัวใจจะบีบๆหน่วงๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าผู้เขียนก็หย่อนจังหวะ light-hearted ขำๆ ตลกๆ (หลายทีก็ตลกร้าย..) เข้ามาแทรกได้เหมือนกัน คือเค้า build เรื่องราวได้ดี แถมสามารถสลับอารมณ์หนักเบาให้คนอ่านอย่างเราไม่น้ำตาไหลพรากตลอดเวลาจนเกินไป ทำให้เราทั้งอมยิ้ม หลุดขำ แล้วก็น้ำตาพรากได้ อะไรก็ไม่รู้ อ่านละรู้สึกเหมือนเป็นพวก mood swing 55 ซึ่งเอาจริงๆมันเป็นความรู้สึกที่ใช่ที่ถูกมากเลยนะ คือตัวละครของเราก็อารมณ์ปะปนมั่วไปหมดเหมือนกัน นาทีนึงเศร้ามากที่ต้องจากโลกนี้ไป อีกนาทีเริ่มช่างแม่ง เออ ตายก็ตาย ละอีกนาทีก็กลับมา ไม่นะ ไม่อยากไปเลยจริงๆ อะไรแบบเนี๊ยะ
อย่างฉากนึงที่เราชอบคือฉากที่ Mateo กับ Rufus มานั่งเล่นในสวนสาธารณะ เป็นสวนที่ Rufus ตั้งใจไว้ว่าอยากให้เพื่อนเอาเถ้ากระดูกของเค้ามาโปรยไว้ ทั้งสองคนกำลังแกว่งชิงช้าเล่นสนุกกันอยู่ดีๆ Rufus ก็พูดออกมาว่า..
"Weird how this is the last time I'll be in this park - with flesh and a heart that works."
คือ...ครั้งต่อไปที่ Rufus มาที่นี่ เค้าก็จะกลายเป็นแค่เถ้ากระดูกแล้ว T__T
แต่อารมณ์ดิ่งได้ไม่นาน เพราะหลังจากนั้น Mateo ก็ชวนคุยเรื่องบริษัทที่มีบริการเอาเถ้ากระดูกมาผสมกับเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แล้วปลูกตามสถานที่ต่างๆได้ Rufus ก็เลยถามกลับว่า
"Maybe instead of having my ashes just scattered on the ground
some dog is going to shit on, I could live on as a tree?"
พร้อมคิดกับตัวเอง
'Coming back as a tree would be pretty chill, like I'm growing up in Althea Park again,
not that I'll say that out loud because yo, you can't go around telling people you wanna be
a tree and expect them to take you seriously.'
เหิ้มมมม ปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน 555
**SPOILER ALERT**
v
ส่วนโมเม้นท์ที่เศร้ามากๆ พี้คน้ำตาแตกของเรา คือตรงที่เกี่ยวกับคุณพ่อของ Mateo ซึ่งตอนนี้กำลังหลับไม่ฟื้นเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ในห้อง ICU
Mateo ไปบอกลาคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้าย เค้าอยากให้พ่อตื่นมาเจอเค้าหน่อยก่อนเค้าตาย แต่ชีวิตมันไม่ได้มีปาฏิหาริย์ตลอดเวลา และพ่อเค้าก็ไม่ตื่นขึ้นมา เค้าเลยได้แต่คิดว่า ในอนาคตที่คุณพ่อเค้าอาจจะฟื้น พ่อจะต้องเจอกับโลกที่ไม่มีเค้าแล้วนะ ตื่นมาอีกทีพ่อก็หมดหน้าที่พ่อแล้ว เพราะลูกกำลังจะไม่อยู่ ขอโทษด้วยจริงๆที่เค้าไม่ได้อยู่ปลอบใจ อะไรแบบนี้
เราน้ำตาไหลพรากกระดาษเลยค่ะ ร้องไห้หนักมากกกกก ฮือออออ
ความเศร้าดาเมจรุนแรงสุดๆ.....
^
**SPOILER ENDS**
หนังสือเล่มนี้มีการพูดถึง LGBT community ด้วย หนึ่งในตัวเอกของเราเป็น bisexual ซึ่งเนื้อเรื่องก็ไม่ได้โฟกัสที่ romantic/sexual relationship นะ แต่มันคือ friendship มากกว่า เป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนที่เคมีตรงกัน เข้าใจตัวตนของกันและกัน จนพัฒนาไปลึกซึ้งยิ่งขึ้น แล้วมันปวดใจมากกกกก เพราะ.. ทั้งสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกันไม่ถึงวัน T__T คือกว่าจะเจอกัน เริ่มเห็นคุณค่าของกันและกัน แล้วรู้ใจตัวเองมาถึงตรงนี้ได้เนี่ยยยย มันก็ใกล้จะจากกันไปแล้วไง
"I want us to have history,
something longer than the small window of time we're actually sharing,
with an even longer future, but the dying elephant in the room crushes me."
/น้ำตาไหลพรากกกกกกกก/
ตัวละคร
อย่างที่บอกคือ Mateo กับ Rufus มีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนมาก และตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งคู่มี character development ไปเยอะพอสมควรเลย...Mateo ในตอนแรกเป็นคนไม่กล้าเสี่ยงออกจาก comfort zone ของตัวเอง และต้องการใครสักคนมาดึงเค้าออกไปลองสิ่งต่างๆ ในขณะที่ Rufus ก็อยากได้ใครสักคนมาทำให้ตัวเองรู้สึกเป็นคนดีอีกครั้ง ทั้งสองคนเข้ามาเติมเต็มกันได้พอดี แล้วก็ช่วย support กันและกันจนสุดท้ายก็พัฒนาไปเป็นคนที่ตัวเองอยากเป็นในที่สุด Mateo ก้าวผ่านความกลัวและกล้าที่จะเสี่ยง ส่วน Rufus ก็ได้ self-redemption กลับมาเป็นคนที่ตัวเองอยากเป็นอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งในขณะที่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเนี่ย มันมีโมเม้นท์ที่ดีงามระหว่างทั้งสองเยอะมาก ละเราก็ได้แต่เกิดความบาดใจอย่างมากทุกครั้งที่เหลือบไปดูชื่อหนังสือ....คือโดนตบหน้าตลอดเวลาว่า they both die at the end..... /รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำาาาาา/
ในเรื่องมีการใส่ตัวละครลงมาค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่เกี่ยว หรือไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอกโดยตรงก็ตาม และด้วยความที่มันมี side characters ค่อนข้างเยอะ ตัวละครพวกนั้นเลยไม่ได้มีการพัฒนาอะไรมากนัก บางคนโผล่มาบทสองบท บางคนก็แค่หน้าเดียว แต่เรากลับมองว่าทุกคนมีความหมายต่อเนื้อเรื่องทั้งนั้นนะ แต่ละตัวละครมีหน้าที่มาอยู่ตรงนั้นเพื่อเติมเต็มเนื้อเรื่องให้ตัวเอกสองคนมากกว่า ซึ่งเราโอเคเลย เราว่ามันทำให้คนอ่านได้เห็นภาพในมุมกว้างแล้วก็เข้าใจอะไรๆมากขึ้น เรื่องมันก็น่าสนใจไปอีกแบบ
มุมมองที่ถูกนำเสนอ
สารภาพตรงๆว่าตอนจะหยิบมาอ่านเราแอบกังวลว่ามันจะใสๆตื้นๆเหมือนหนังสือ YA ทั่วไปบางเล่มรึเปล่า ซึ่งเราดีใจมากที่มันไม่ใช่เลยยยยยยยย They Both Die at the End ถูกจัดเป็น YA Contemporary ที่ตัวละครอายุ 17-18 ก็จริง แต่เนื้อเรื่องทุกอย่างมันสมจริง มันพูดถึงชีวิต ความตาย การสูญเสีย ความรัก และความหวังได้ดีโดยไม่ปรุงแต่งให้สดใสเกินเหตุ เราชอบที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อว่า บางทีอะไรหลายๆอย่างในชีวิตมันก็ไม่มี easy way out และต่อให้หวังมากแค่ไหนก็ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราไปหมดหรอก
**SPOILER ALERT**
v
ลึกๆมันแน่อยู่แล้วว่าในฐานะคนอ่านเราคาดหวังไม่ให้ตัวเอกทั้งสองคนต้องตาย ทุกครั้งที่เปิดหน้าถัดไป เราก็หน่วงหัวใจที่รู้ว่าเวลาของเค้าที่เหลืออยู่กำลังลดน้อยลงและความตายก็ใกล้เข้ามาอีกนิด คนเขียนย้ำถึงเรื่องนี้ไว้ตลอดทั้งเรื่อง ด้วยการเล่าว่ารอบๆตัวเอกของเราเกิดอะไรขึ้น มีเหตุระเบิด มีเหตุรถชน และตัวเอกก็เสี่ยงอยู่ใกล้กับสถานการณ์นั้นๆทั้งวัน เหมือนจะบอกเป็นนัยๆให้รู้ว่า the stake is real ความตายมันอยู่ใกล้เราแค่นิดเดียวเองรู้ไหม และการที่ตัวเอกของเราจะตายมันง่ายมาก อย่าคาดหวังว่าเค้าจะรอดแบบปฎิหาริย์ เพราะความเป็นจริงไม่ได้มาพร้อมโชคช่วยเสมอไป เหมือนกับตัวละครในเรื่องที่ยังไงก็หนีจากความตายไม่พ้น
^
**SPOILER ENDS**
สุดท้ายแล้วเรื่องทั้งหมดก็ทำให้เราอดคิดย้อนมาถึงชีวิตตัวเองไม่ได้ คนเรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร? การใช้เวลาแต่ละวันของเราคุ้มแล้วหรือยัง? แท้จริงแล้วเราอยากให้คนอื่นจำเราในแบบไหน? และหากเราสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่ากำลังจะตาย.. เราจะเสียดายกับชีวิตที่ผ่านมาของเราไหม?
เพราะสำหรับเรา สิ่งสำคัญที่หนังสือเล่มนี้พยายามจะบอกก็คือ..
การมีชีวิตอยู่มันไม่สำคัญเท่าเราใช้ชีวิตไปรึยัง
อย่ามีชีวิตอยู่เฉยๆ โดยไม่ใช้มันสิ :')
รูปเล่มและปก
ส่วนนี้คือจุดสำคัญที่ทำให้เราเลือกซื้อหนังสือเล่มนี้เลย They Both Die at the End ถูกตีพิมพ์ออกมาสองปกจากสองสำนักพิมพ์
| ปกส้มของสำนักพิมพ์ Simon & Schuster |
| ปกม่วงของสำนักพิมพ์ Harper Collins |
ซึ่งในความเห็นเรานะ ขอมอบหัวใจให้กับปกสีม่วงของ Harper Collins รัวๆเลยยยย ทุก element บนนั้นมันดีงามมากกกกกกก ลงตัวไปหมด ไม่ว่าจะสีหรือความหมายของภาพ ดูหม่นๆแล้วก็มี grim reaper เหมือนมีความตายเป็นเงาตามตัวอยู่ตลอดเวลาเหมาะกับเนื้อเรื่องสุดๆ แถมตรงท้องฟ้าด้านหลังตึกก็มีหน้าหัวกะโหลกแอบแทรกอยู่เบาๆด้วย (จริงๆตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าท้องฟ้าเป็นรูปกระโหลก แต่ไปเจอบทสัมภาษณ์จากคนออกแบบปกมา ใครอยากอ่านก็ตามไป
>>ลิ้งค์นี้เลย<< )
| อันนี้ภาพก่อนมาเป็นฉบับไฟนอล จะเห็นหัวกระโหลดชัดหน่อย
เครดิตรูปจากเว็บเดียวกับสัมภาษณ์เบื้องหลัง |
ส่วนปกสีส้มของ Simon & Schuster จริงๆราคาขายมันถูกกว่าปก Harper Collins นะ แต่ว่าเราไม่ชอบความสดใสฟรุ้งฟริ้งที่มากเกินไปหน่อย นี่ยอมซื้อแพงเพื่อปกม่วงอันสวยงามตามประสาคนบ้าหนังสือ :D
เราชอบสไตล์การรีวิวแบบนี้นะคะ ที่เราชอบเป็นพิเศษ คือ THE YESSS & THE NAHHH เหมือนสรุปอีกทีแบบเข้าใจง่าย จะรออ่านรีวิวเล่มต่อไปนะคะ