เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Victoria Blogvixtoriagwyneth
- The clock has stop ticking -





  • การตกหลุมรัก คือการหยุดเวลา



    เคยสงสัยไหม
    ว่าทำไมในช่วงเวลาหนึ่งเราถึงได้ยอมหยุดการเดินไปข้างหน้ากับผู้คนใหม่ๆเพื่อคนเก่าจากอดีต

    เคยสงสัยไหม
    ว่าทำไมเรายอมเสียเวลาเป็นปีของชีวิตไปกับการทุ่มเทให้คนคนหนึ่ง

    เคยสงสัยไหม
    ว่าทำไมเวลาช่างเดินผ่านไปเชื่องช้าราวกับนาฬิกาตาย แต่ในบางทีกลับรวดเร็วเสียจนตามไม่ทัน



    เพราะเวลา คือทุกสิ่ง
    เวลาพิสูจน์ผู้คน เวลาพิสูจน์ความรัก เวลาพิสูจน์สายสัมพันธ์




                             จะมีวิธีใดที่สามารถหยุดโลกเอาไว้ทั้งใบได้ดีไปกว่าการสบตาใครสักคน คนที่คุณรักโดยไม่มีแม้แต่หนึ่เงื่อนไข ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรักคุณกลับมาในปริมาณที่เท่ากันไหม เพราะความรักคือการให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนมากไปกว่าการได้เห็นเขาหรือเธอมีความสุข แต่ถ้าหากโชคดีมากพอที่จะได้ตกอยู่ในวงแขนของคนที่คุณรัก และรักคุณ นั่นถือเป็นความรู้สึกที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมเลยล่ะ

                             โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคสมัยที่ทุกสิ่งอย่างดูเหมือนจะกลายเป็นความฉาบฉวยไปเสียหมด ตักตวงแต่สิ่งที่ขาดหาย ต้องการถูกทดแทน แสวงหาผลประโยชน์จากมนุษย์อีกคนแค่เพียงเพราะรู้ดีว่าเขาจะให้โดยไม่มีข้อแม้ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดให้ เลวร้ายที่สุดคือการยอมให้เอารัดเอาเปรียบแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าตนเองกำลังโดนหลอกใช้อยู่ก็ตาม





                             ในช่วงชีวิตหนึ่งเราจะมีโอกาสได้รักและถูกรักโดยคนเดียวกันสักกี่ครั้ง ท่ามกลางหลายพันล้านชีวิต กว่าที่จิ้กซอว์ชิ้นที่ขาดหายจะเวียนมาบรรจบกัน ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่เคยจะเป็น   ครั้งแรกพบสบตา  เมื่อชีพจรถูกทำให้เต้นผิดจังหวะ  เราต่างล้วนวาดฝันว่า คนนี้แหละ จะเป็นความรักครั้งสุดท้าย 

                             ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นแทบจะทุกครั้งที่ตกหลุมรัก ไม่มีใครอยากเริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรักครั้งสุดท้ายต่างหาก นั่นคือสิ่งที่เราต้องการ หรือนั่นไม่จริง?     ลองคิดูสิว่าเราหมดเวลาไปมากเท่าไหร่กว่าที่จะสามารถพูดคำว่า รัก กับใครสักคนได้อย่างเต็มปาก   ถ้าวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างมีอันต้องจบลง จะมีสักกี่คนที่สามารถบังคับตัวเองไม่ให้รู้สึกว่าที่ผ่านมานั้นเปล่าประโยชน์ได้จริง      

                             เมื่อความผิดหวังเข้าครอบงำ ความคิดที่มักจะถูกตีขึ้นมาเป็นอันดับแรกเสมอคือ     เสียเวลา     จริงอยู่ที่ว่าเมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป หากเราได้เติบโตขึ้น เราจะกลับมามองสิ่งที่เคยเกิดขึ้นและไม่รู้สึกแย่แบบเดิม    แต่ไม่เอาน่า ยอมรับมาเถอะว่าตอนอกหัก คุณก็แอบคิดแบบนี้เหมือนกัน






                             พูดกันแบบนิยายรักน้ำเน่า ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าความรักจะมีอำนาจเหนือกาลเวลาได้จริง   ภาพของคนสองคนที่ถูกปรับให้ตกอยู่ท่ามกลางห้วงเวลาเชื่องช้า ทุกอย่างรอบกายหยุดนิ่งน่ะเคยเห็นแต่ในภาพยนต์เท่านั้น ไม่เคยหรอกที่จะได้สัมผัสกับตัวเอง


    จนกระทั่งคืนหนึ่งที่โลกของฉันหยุดหมุนไปชั่วขณะ
    ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว 
    และเวลาทั้งหมดในโลกเป็นของเรา



                             ถ้าจะบอกว่าวินาทีนั้นมันช่างสวยงามจนลืมหายใจ ก็ไม่ใช่คำเปรียบเปรยที่เกินจริง      วิคตอเรียไม่ได้เป็นเพียงนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ยืนดื่มด่ำกับทัศนียภาพราคาแสนแพงจนเกินเอื้อมจากจุดชมวิว   แต่ฉันคือหญิงสาวผมบบลอนด์ในชุดเดรสสีดำ  ผู้เต้นรำกับสะพานเก่าแก่บนฝ่าเท้าเปลือยเปล่า  พลุไฟลอยขึ้นฟ้าเป็นท่วงทำนอง หนักเบาสลับกันไป 


                              ช่วงเวลาอันมีค่า เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม และน่ากลัวว่าตัวฉันเองก็อาจจะยอมเสียสละอะไรในชีวิตอีกมากมายเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งช่วงเวลาไม่กี่วินาที    
     



                             นี่มันบ้าชัดๆ ความรู้สึกประเภทที่มีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้องควรจะมีแต่ในนิยายไม่ใช่หรอ พวกอาการท้องไส้บิดมวน ลมหายใจสะดุด ต่างๆนาๆนี่มันคำบรรยายที่เคยอ่านเจอแต่ในหนังสือ ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปเล่าต่อให้เพื่อนฟัง พวกเธอต้องหาว่าฉันเพ้อฝันเป็นนางเอกอย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นฉันจะเขียนทุกอย่างลงในบล็อคแทนก็แล้วกัน



    เมื่อใดที่เราปล่อยให้หัวใจได้สัมผัสถึงสิ่งรอบกายแทนสายตา 
    เมื่อนั้นความรักจะถูกส่งผ่านการกระทำ 



                             เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมากเพียงใดที่ความเงียบสามารถออกเสียงได้แทนคำพูดนับร้อยพัน จังหวะชีพจรของสองร่างกายเต้นพร้อมกันเป็นหนึ่งเดียว การเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยเพียงพอที่จะหยุดโลกทั้งใบจากการหมุนรอบวงโคจร  

                             และทันใดนั้นเองทุกสิ่งอย่างที่สำคัญก็พลันถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ปัญหาชีวิตร้อยแปดที่ยังไม่ถูกแก้กลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในอากาศ เราทั้งคู่เสมือนลืมเลือนว่าเคยเป็นใคร มาจากไหน แม้กระทั่งลืมเลือนว่าเคยบาดหมางจนทำให้มีรอยร้าวรานในความสัมพันธ์      

                             ชีวิตยังต้องเดินต่อไปข้างหน้าเพียงเพื่อเจออุปสรรคมากกว่าที่เป็นอยู่ ฉันรู้ดี แต่แค่สิบวินาทีแห่งการลืมเลือนก็มากพอที่จะเติมเต็มความต้องการให้ล้นปรี่




                             หนึ่งในความเชื่อของฉัน คือการเชื่อว่ามนุษย์เราคือภาพจิ้กซอว์อันไม่สมบูรณ์แบบ และจะต้องตามหาชิ้นส่วนที่ขาดหายอยู่ร่ำไป  ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเติมเต็มความต้องการอันมาจากเบื้องลึกในจิตใจได้เอง เกือบทุกอย่างล้วนมาจากคนแปลกหน้าที่หยิบยื่นชิ้นส่วนต่างๆให้ บางครั้งก็พอดี บางครั้งก็ไม่           

                             แต่ไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่ฉันจะไม่สามารถสรรหามาเติมเต็มแรงปราถนา ทุกชิ้นส่วนที่ขาดหายล้วนสมบูรณ์แบบได้ด้วยสองมือ การรอคอยให้ใครเดินเข้ามาในชีวิตเพื่อจะยื่นชิ้นส่วนอันไม่มีสิ่งใดรับรองว่าชิ้นส่วนนั้นจะสามารถลงล็อคได้พอดี คือสิ่งที่เลิกทำไปนานแรมปี

                             ขนาดที่ว่าเขาเอากำไลข้อเท้าทองคำขาวมาคุกเข่าพร้อมบรรจงใส่ให้อยู่เบื้องหน้า ฉันยังไม่หวั่นไหว  สามารถปฏิเสธได้เต็มปากแม้จะนึกถูกใจกำไลนั่นจนอยากเห็นสายสร้อยสีเงินวาววับประดับอยู่เหนือส้นสูงคู่โปรด





                              จากผู้หญิงที่เชื่อมั่นมาตลอดว่าตัวเองมีเพียบพร้อมทุกอย่าง  มีอันต้องมาถูกสั่นคลอนความเชื่อดังกล่าวจนกำแพงทิฐิในใจพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี    ความหวาดกลัวว่าเมื่อช่วงเวลาแห่งความสุขหมดลง ฉันจะกลับไปเป็นเพียงหญิงสาวเจ้าของรองเท้าคริสตัลอีกข้างที่เจ้าชายไม่มีวันจะหาตัวเจอยังคงสลักแน่นอยู่กลางใจ แต่ฉันเลือกที่จะทิ้งมันไปชั่วคราว เพื่อที่จะได้จดจำช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ให้นานเท่าที่จะสามารถจดจำได้

                             อย่างไรเสียเมื่อนาฬิกาส่งเสียงบอกเวลาเที่ยงคืน ซินเดอเรล่าจะต้องทิ้งเจ้าชายเพื่อกลับไปยังพิธีครองราชย์ที่ปราสาทน้ำแข็งอันเป็นสิทธิ์โดยกำเนิด ส่วนเขาจะกลับไปเป็นเจ้าชายเลือดเย็นผู้สาปผู้สาปคนแคระทั้งเจ็ดให้หลับใหลไปตลอดกาล       แล้วทำไมเราสองคนไม่ตักตวงช่วงเวลา ณ ห้าทุ่มห้าสิบแปดนาทีเอาไว้นานอีกหน่อย และค่อยปล่อยมือกันและกันเมื่อถึงเวลาห้าทุ่มห้าสิบเก้า แยกจากหลังจากเสียงระฆังดังครบสิบสองครั้ง  โดยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เต้นรำท่ามกลางป่าต้องคำสาปอีกเมื่อไหร่







                             หนึ่งวินาทีสามารถถูกยืดออกไปได้ถึงหนึ่งร้อยปี ถ้าหากพระราชินีจะแค่ยอมทิ้งปัญหาความบาดหมางทางการเมืองและสวมกอดพระราชาโดยไม่มีข้อแม้  แท้จริงแล้วความรักที่เคยหลุดลอยเมื่อครั้งถูกพ่อมดใจร้ายหลอกลวงได้กลับมาอยู่ตรงหน้า ทั้งหมดที่ต้องทำคือการสวมกอดเอาไว้ให้แนบแน่นราวกับว่าตลอดชีวิตนี้จะไม่สามารถจับต้องได้อีกเป็นครั้งที่สอง

                             ท้องพระคลังของอาณาจักรจะถูกประดับด้วยเพชรล้ำค่าจากใต้มหาสมุทร ถ้าหากพระราชาจะแค่ยอมสละเวลาว่าราชการในช่วงเย็นเพื่อออกไปขี่ม้าเลียบลำธารกับพระราชินี บางทีสร้อยพระศอที่จับเข้าชุดกับรองเท้าบูทวันนั้น อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแหวนทับทิมสีเลือดบนพระดัชนีที่หายไปก็ได้



    นอกจากเวลาที่ไม่สามารถเอาชนะ
    คำว่า "ถ้าหาก" ก็ไม่สามารถถูกสยบได้เช่นเดียวกัน



                             นิทานประหลาดฉบับนี้สนับสนุนเป็นอย่างยิ่งให้มังกรร้ายพ่นไฟใส่อัศวินขี่ม้าขาว แต่จะเปิดทางให้กับหญิงชราผู้หลงทาง ในประสาทไม่มีซุปรสเลิศคอยต้อนรับ เตาผิงไม่ได้ถูกจุดให้ความอบอุ่น มีเพียงโคมไฟระย้าจับฝุ่นประดับกลางห้องโถง กับลูกธนูสีดำแขวนบนกำแพง   ไม่จำเป็นต้องมีแอปเปิ้ลอาบยาพิษ เพราะก่อนฟ้าสาง เหล่าผู้มาเยือนจะโดนอาถรรพ์เข้าเล่นงานจนหนีไปทุกราย





    ในตอนสุดท้ายขอนิทาน ไม่ได้ระบุว่าลงเอยเช่นไร
    หน้ากระดาษว่างเปล่ามีเพียงประโยคเดียว

    "และเข็มนาฬิกา ได้กลับมาเดินอีกครั้งอย่างที่ควรจะเป็น"





                              ไม่มีการผจญภัยครั้งไหนที่จะไม่มาพร้อมอันตราย สองอย่างนี้ย่อมมาควบคู่กันเสมอ หลายครั้งที่ฉันปิดกั้นตัวเองจากการก้าวออกไปด้วยความกลัว การทอยลูกเต๋าบนหน้ากระดานที่เราไม่ได้เป็นคนออกกฎ ไม่ใช่สิ่งปกติที่จะทำ      แต่เมื่อลองถามตัวเองในอีกสิบปีข้างหน้าดู ว่าหากไม่ขึ้นรถไป ถ้ามองย้อนกลับมาแล้วจะนึกอยากกลับมาแก้ไขเหตุการณ์ในวันนี้หรือไม่  ฉันก็หอบชายกระโปรงขึ้นไปนั่งบนเบาะหนังในทันที     ความคิดที่เสียดายอย่างเดียวที่มี คือรองเท้าที่สวมใส่น่าจะเป็นรองเท้าที่ดีกว่านี้ ฉันจะได้เด่นเป็นสง่าจนเขาไม่อาจละสายตาไปไหน    

                             เมื่อค่ำคืนแห่งการผจญภัยสิ้นสุดลง เราทั้งคู่ล้วนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตน บอกลาท่ามกลางความไม่เข้าใจ  สวมบทบาทเป็นใครอีกคนที่ไม่เคยมีช่วงเวลาบ้าบิ่นร่วมกัน  มีเพียงคนแปลกหน้าเป็นพยาน ว่าทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจริง   

                             ถึงอย่างนั้นฉันจะไม่โกหก การได้ใช้เวลาร่วมกับเขา เต็มเปี่ยมไปด้วยเสียหัวเราะ ความสุข  แรงบันดาลใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ร่วมแบ่งปันความชอบที่เหมือนกัน ผลัดเล่าเรื่องของตัวเองทีละน้อย ความลับเล็กๆหลุดออกมาเมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจถูกสร้าง เราทั้งคูุ่ไม่อาจปฏิเสธตัวเองได้ว่านั่นคือช่วงเวลาที่สะพานได้ถูกเชื่อม





                             เดาว่านั่นคงเป็นด้านมืดของพรจากนางฟ้าแม่ทูนหัว เมื่อทุกอย่างมาถึงจุดจบ จะไม่เหลืออะไรมากไปกว่าละอองสีทอง เปล่งประกายสวยงามในความมืด ใช่ แต่ไม่ถาวร ปรากฎแค่เพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหายไปตลอดกาล

                             แต่เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ใช่สิ แบบนี้ไม่ถูกต้อง  ฉันไม่มีนางฟ้าแม่ทูนหัวคอยเสกชุดราตรีขึ้นมาจากไม้คทา ไม่มีรองเท้าแก้วที่หลุดหายไปคนละทิศทาง   ฉันบรรดาลทุกอย่างในชีวิตขึ้นมาด้วยตัวเอง รองเท้าที่ไม่ครบคู่ก็โยนลงไปนอนเล่นก้นถังขยะ   เลิกเฝ้ารอเจ้าชายในฝันที่จะมาช่วยชีวิตจากหอคอยแล้วกระโจนลงไปขี่มังกรท่องเที่ยวรอบโลกตั้งนานแล้ว



                             เราต่างวาดฝันถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ในบางครั้งเมื่อไม่ทันตั้งตัว ฟันเฟืองชิ้นเล็กกลับมีอำนาจอย่างมหาศาล   ช่วงเวลามากมายขนาดไหนก็ไม่เคยเพียงพอ ถ้าปราศจากคนที่สามารถทำให้นาฬิกาหยุดเดิน พลุไฟบนท้องฟ้าจากเศษกระดาษสีเงินพลันกลายเป็นรองเท้าแก้วอันน่าหวงแหน  แม้แต่ในยุคดิจิตัลก็สามารถเสกสรรเวทมนตร์ออกมาง่ายดายราวดีดนิ้ว   

                             หากใครบอกว่าในนิทานต้องมีแต่เจ้าชาย เจ้าหญิง แม่มดใจร้ายกับนางฟ้าแม่ทูนหัว สิ่งที่ฉันจะทำ คือการยิ้ม และเล่าเรื่องราวของชายผู้ไม่ประสงค์จะถูกออกนามกับความบังเอิญที่หมุนให้เขากับหญิงสาวคนหนึ่งโคจรมาเจอกัน 





    เทพนิยายในเดือนแปด
    คือเรื่องราวของฉัน
    กับนาฬิกาที่หยุดเดิน





    - ???????? ?. ??????? ❤



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in