ในบางครั้งหรือหลายๆครั้ง หญิงสาวมักจะถูกสบประมาทด้วยคำพูดจากคนรอบข้างว่า "เธอไม่สวย" "เธอมันยัยขี้เหร่" "แต่งตัวอะไรของเธอเนี่ย เห่ยชะมัด" หรือคำวิจารณ์ในแง่ลบที่พูดออกมาเพียงเพื่ออยากจะกดคนฟังให้ดูต่ำลง ซึ่งทำเหมือนตัวเองจะดูสูงส่งขึ้นเมื่อทำแบบนั้น
ฉันขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะ การกระทำแบบนั้นมันไม่น่ารักเอาเสียเลย เพราะความจริงบางอย่างคุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดออกมาหากว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนอื่น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณหรือมีผลกระทบกับชีวิตคุณ อย่างน้อยสิ่งที่คุณพอจะทำได้คือเก็บทัศนคติแย่ๆที่มีเอาไว้ในใจ ไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมา เพราะไม่มีใครยินดีที่จะรับมัน
ทำไมไม่ลองเปลี่ยนจากคำติมาเป็นคำชมแทนล่ะ? อะไรก็ได้เล็กๆน้อยๆที่มันจะทำให้คนฟังรู้สึกดีไปตลอดทั้งวัน บางทีอาจจะไม่ต้องเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา อาจเป็นอะไรที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ก็ได้ เช่น "วันนี้เสื้อเธอสวยดีนะ" "พึ่งเข้าสปามาใช่ไหม ผมเธอดูสุขภาพดีชะมัด" หรือแม้แต่ "เล็บของเธอดูดีมาก วันหลังฉันคงต้องขอไปนอนค้างบ้านเธอเพื่อทำเล็บบ้างแล้วล่ะ"
เชื่อหรือไม่ แค่เพียงคำชมเล็กๆน้อยๆก็สามารถทำให้ใจคนเราฟูฟ่องเหมือนมัฟฟินอบใหม่ออกจากเตาได้เลย ❤️
ที่ฉันอยากจะสื่อก็คือผู้หญิงทุกคนมีความสวยงามอยู่ในตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน สีผมอะไร หรือเคยผ่านอะไรมา ความงามก็ยังคงเปล่งประกายอยู่ในตัวคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่านทางรอยยิ้ม
และอย่าบอกฉันว่าคุณไม่รู้ว่าผู้หญิงจะสวยที่สุดตอนไหน
ก็ตอนยิ้มยังไงล่ะ!
เพราะเสน่ห์ของผู้หญิงทุกคนปรากฎอยู่ในดวงตาและริมฝีปาก แค่ลองนึกภาพตามฉันสิ ดวงตาเปล่งประกายแข่งกับแสงดาวนับล้านดวง ริมฝีปากแต้มลิปกลอสเผยรอยยิ้มอย่างไม่เสแสร้ง ถ้าผู้ชายคนไหนที่เห็นแล้วไม่ใจเต้นผิดจังหวะฉันบอกได้เลยว่าเขาคือไอ้งั่งที่ไม่เห็นค่าของคุณ จงรีบเดินออกมาจากหมอนั่นซะ
ฉันคือผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่ฝ่ายชายไม่เคยเลยสักครั้งที่จะชื่นชมในความงาม พอใจในสิ่งที่ฉันทำ หรือรักในสิ่งที่ฉันเป็น เขาแค่ตกหลุมรักฉันเพียงผิวเผิน ไม่ได้รักฉันจากข้างใน อย่างที่ความสัมพันธ์ควรจะเป็น
ทุกครั้งที่ฉันแต่งหน้า ฉันมักจะหันไปถามเขาเสมอว่าวันนี้ฉันสวยแล้วหรือยัง
คำตอบที่ได้คือสายตาเหนื่อยหน่าย
และมันทำให้ใจของฉันห่อเหี่ยวลงในทันที
ทุกครั้งที่ฉันสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ ฉันมักจะหันไปถามเขาว่าวันนี้ฉันแต่งตัวเป็นยังไงบ้าง
คำตอบที่ได้คือการพยักหน้าแบบขอไปที
และมันทำให้การออกไปข้างนอกวันนั้นทั้งวันเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ
เป็นเวลาสองปีเต็มที่ฉันตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์แบบนั้น
ถามว่าแล้วทำไมถึงไม่เดินออกมาเสียเลยล่ะ?
ทำไมถึงยังอยู่?
ด้วยอายุที่ยังน้อย มันทำให้ฉันกลัวที่จะก้าวเดินออกมาจากความสัมพันธ์ มันทำให้ฉันกลัวว่าหากเดินออกมาแล้วชีวิตที่ไม่มีเขาจะเป็นยังไง ฉันจะอยู่คนเดียวได้หรือ ความคิดเหล่านั้นก็เหมือนความคิดของสาวๆทั่วไปนั่นล่ะ ฉันเองก็เคยมีมุมที่ไม่แข็งแกร่งไม่ต่างจากคนทั่วไป
จนในที่สุด เมื่อฉันไม่สามารถแบกรับความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพจิตได้อีกต่อไป ฉันจึงตัดสินใจเดินออกมาอย่างเด็ดขาด ไม่หันหลังกลับไป และไม่มีสักวันที่ฉันจะคิดถึงเขาอีก
ในช่วงสองสามเดือนแรกฉันตกอยู่ในความเศร้าหมอง หดหู่ ไม่ดูแลตัวเองจนร่างกายทรุดโทรม แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ฉันส่องกระจกและรับไม่ได้กับสภาพผู้หญิงที่เห็นในเงาสะท้อน ฉันจึงสลัดความรู้สึกแง่ลบทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว ทารองพื้น ลงคอนซีลเลอร์ใต้ตา ปัดมาสคาร่า แต้มสีชมพูลงบนพวงแก้ม ปาดลิปสติกชาแนลแท่งโปรด สวมใส่ชุดเดรสที่คิดว่าสวยที่สุด จับคู่สีกระเป๋าคลัทช์กับรองเท้าส้นสูง ออกจากห้องที่เคยมีภาพของผู้ชายคนนั้น ออกไปหาความสุขใส่ตัวเอง
วันนั้นเองที่ฉันได้เรียนรู้สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆในชีวิต "ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร มันขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง" ยิ่งฉันเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ภาคภูมิใจในตัวเองมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in