เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีวิวเว้ย (2)Chaitawat Marc Seephongsai
ประชามติ: ที่มาและพัฒนาการ By ชาย ไชยชิต
  • รีวิวเว้ย (1154) รีวิวเว้ย × สถาบันสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    "ประชามติ" ในภาษาไทยหากคิดแบบเร็ว ๆ อาจจะพบว่าที่มาของคำดังกล่าวมาจาก "ประชา" มาร่วมเข้ากับคำว่า "มติ" แต่เมื่อค้นลึกลงไปในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2555 จะพบว่าคำว่า "ประชามติ" มีความหมายแตกย่อยออกเป็น 2 แบบ คือ ประชามติแบบ "Plebiscite" กับประชามติแบบ "Referendum" ที่ในพจนานุกรมได้กำหนดความหมายเอาไว้ว่า

    ประชามติ (Plebiscite) /น./ มติของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่แสดงออกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือที่ใดที่หนึ่ง

    ประชามติ (Referendum) /น./ มติของประชาชนที่รัฐให้สิทธิออกเสียงลงคะแนนรับรองร่างกฎหมายสำคัญที่ได้ผ่านสภานิติบัญญัติแล้ว หรือให้ตัดสินในปัญหาสำคัญในการบริหารประเทศ

    น่าสนใจว่าหากย้อนกลับมาตั้งคำถามถึงคำว่า "ประชามติ" ในสังคมไทย ภาพจำและความรับรู้ในเรื่องของประชามติในสังคมไทยอยู่ในลักษณะของประชามติแบบใด เพราะบ่อยครั้งเรามักจะได้ยินการให้นิยามของประชามติในแบบของ ประชามติ (Referendum) มากกว่ารูปแบบอื่น ๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือพัฒนาการของของ "ประชามติ" มีที่มาที่ไปอย่างไร
    หนังสือ : ประชามติ: ที่มาและพัฒนาการ
    โดย : ชาย ไชยชิต
    จำนวน : 196 หน้า

    "ประชามติ: ที่มาและพัฒนาการ" หนังสือที่ทำการศึกษาในเรื่องของ "ประชามติ" ทั้งที่มา พัฒนาการ รูปแบบ ความแตกต่างของประชามติแต่ละรูปแบบและรูปแบบของประชามติในแต่ละประเทศ โดยที่ในหนังสือผู้เขียนได้มีการบอกเล่าถึงการออกเสียงประชามติว่า "การออกเสียงประชามติในปัจจุบัน เป็นสถาบันการเมืองที่พัฒนาขึ้นในบริบทพัฒนาการของระบบการเมืองสมัยใหม่ และเป็นเพียงกลไกเสริมในระบบการเมืองแบบตัวแทน" (น. คำนำ) ซึ่งประชามติกลายมาเป็นพื้นฐานที่ประเทศหลายประเทศหยิบขึ้นมาใช้ในฐานะกลไกของประชาธิปไตยทางตรงรูปแบบหนึ่ง

    ความน่าสนใจอีกประการของหนังสือ "ประชามติ: ที่มาและพัฒนาการ" คือเรื่องของการที่ผู้เขียนชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นถึงความแตกต่างของคำว่าประชามติ "Plebiscite" กับ "Referendum" ที่ก่อนหน้านี้ความเข้าใจในเรื่องของคำว่าประชามติผูกติดอยู่กับคำว่า ประชามติ (Referendum) แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยในบทที่ 7 ที่ว่าด้วยเรื่องของทวิลักษณ์ของประชามติ ที่ผู้เขียนได้มีการนำเสนอเอาไว้ว่า

     "คำว่า Plebiscite ที่ใช้กันภายใต้มโนทัศน์ทางการเมืองสมัยใหม่ มีนัยถึงกระบวนการตัดสินใจของพลเมืองต่อข้อเสนอหรือญัตติที่ผู้มีอำนาจปกครองเสนอลงมา เพื่อให้พลเมืองออกเสียงแสดงการรับรองหรือไม่รับข้อเสนอดังกล่าว โดยยึดผลการตัดสินจากคะแนนเสียงข้างมากของพลเมืองที่ออกเสียง" (น. 140) และ "คำว่า Referendum ในความหมายปัจจุบันเริ่มมีการใช้ในภาษาอังกฤษในราวคริสต์ทศวรรษ 1880 ... เป็นคำที่ใช้ในแวดวงการทูต สำหรับกล่าวถึงข้อตกลงระหว่างประเทศที่ต้องได้รับการให้สัตยาบันจากบุคคลที่ได้รับอำนาจในการตัดสินใจของรัฐเสียก่อน จึงจะสามารถมีผลผูกพันโดยสมบูรณ์ ... Referendum จึงมักเป็นการออกเสียงแสดงประชามติที่จัดขึ้นเพื่อให้พลเมืองเป็นผู้ร่วมกันตัดสินประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศเป็นหลัก" (น. 154 - 156)

    สำหรับเนื้อหาของ "ประชามติ: ที่มาและพัฒนาการ" แบ่งออกเป็นบทต่าง ๆ ดังนี้

    บทที่ 1 นครรัฐเอเธนส์: ประชามติในระบอบประชาธิปไตยทางตรง

    บทที่ 2 สาธารณรัฐโรมัน: ประชามติในสภาสามัญชน

    บทที่ 3 ยุโรปยุคกลาง: ประชามติในสภาประชาชนกลางแจ้ง

    บทที่ 4 ฝรั่งเศส: ประชามติบนหลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน

    บทที่ 5 สวิตเซอร์แลนด์: ประชามติบนหลักประชาธิปไตยทางตรงสมัยใหม่

    บทที่ 6 สหรัฐอเมริกา: ประชามติบนหลักการยับยั้งและถ่วงดุลผู้แทน

    บทที่ 7 ทวิลักษ์ของประชามติ

    เมื่ออ่าน "ประชามติ: ที่มาและพัฒนาการ" จบลง สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้ คือ เรื่องของรูปแบบ ความหลากหลายและความสำคัญของการทำประชามติ ที่ในแต่ละยุคสมัยและในแต่ละประเทศก็มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ รวมถึงรูปแบบของการทำประชามติที่แตกต่างกันออกไปตามบริบทของเวลาและสถานที่ เมื่อย้อนกลับไปที่คำของผู้เขียนที่ว่า "การออกเสียงประชามติในปัจจุบัน เป็นสถาบันการเมืองที่พัฒนาขึ้นในบริบทพัฒนาการของระบบการเมืองสมัยใหม่ และเป็นเพียงกลไกเสริมในระบบการเมืองแบบตัวแทน" (น. คำนำ) ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่า "แล้วการทำประชามติที่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทย เราจะเรียกมันว่าเป็นกลไกเสริมในระบบการเมืองแบบตัวแทนได้หรือไม่ในทางปฏิบัติ" (?)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in