รีวิวเว้ย (367) "นาซี" เป็นชื่อที่หลายคนในสมัยปัจจุบันอาจจะพูดถึงกันแบบติดตลก โดยเฉพาะชื่อของผู้นำหนวดจิ๋มที่พ่วงมาพร้อมกันกับคำว่านาซีอย่าง "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" กลายเป็นภาพแทนของตัวตลกที่ถูกเอามาล้อเลียนอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศที่ระบบการศึกษาบกพร่องอย่างประเทศไทย ที่ภาพแทนของฮิตเลอร์อยู่ในสองสถานะนั้นคือ (1) ตัวตลอกที่ถูกหยิบจับมาล้อเลียน และ (2) ภาพแทนของอุดมการณ์และผู้นำทางการเมืองที่คนบางกลุ่มในสังคมหยิบฉวยขึ้นมาเป็นตัวแบบในการอยากเปลี่ยนแปลงสังคมในมีผู้นำแบบฮิตเลอร์ ซึ่งภาพแทนของฮิตเลอร์และนาซีใน 2 ลักษณะที่กล่าวมานั้น หลอมรวมกันกระทั่งบดบังประวัติศาสตร์และการรับรู้การกระทำของผู้นำทรราชที่ยังความเสียหายให้กับโลกใบนี้และมนุษยชาติอย่างร้ายแรง
หนังสือ : Sophie Scholl: กุหลาบขาวและนาซี
โดย : ไพรัช แสนสวัสดิ์
จำนวน : 380 หน้า
ราคา : 230 บาท
"ขบวนการกุหลาบขาว" เป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้านนาซีด้วยแนวทางสันติวิธี ที่ไม่เป็นที่รู้จักเท่าใดนักในสังคมไทย อาจจะเรียกได้ว่าประวัติศาสตร์ที่มีคสามเกี่ยวโยงกับนาซีที่นอกเหนือไปจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวและฮิตเลอร์ อาจจะมีเรื่องของรถถัง เครื่องบิน การสงคราม ก็ดูจะไม่มีอะไรที่อยู่ในความรับรู้ของคนไทยเท่าใดนัก โดยเฉพาะกับขบวนการต่อต้านนาซีที่ดำเนินการด้วยกระบวนการแบบสันติวิธีด้วยแล้ว สิ่งเหล่านี้ยิ่งอยู่นอกเหนือความรับรู้ของเราเข้าไปอีกไกลโข
"Sophie Scholl: กุหลาบขาวและนาซี" หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของประวัติของหนึ่งในผู้นำคนสำคัญของขบวนการกุหลาบขาวที่มีชื่อว่า "โซเฟีย โซล" ที่ตัวเธอและสมาชิกในกลุ่มเป็นเพียวแค่กลุ่มของนักศึกษา พอค้าขายหนังสือ นักออกแบบและนักเรียน ที่ล้วนแล้วแต่ก็เป็นคนชั้นกลางธรรมดา ๆ ในสังคมเยอรมันในช่วงเวลานั้น (1920-1945) ที่หาญกล้าออกมาต่อต้านการกระทำของกองทัพนาซีที่ละเมิดสิทธิของความเป็นมนุษย์ เหยียบยำทำลายศักศรีของความเป็นคน รวมถึงเรียกร้องและต่อต้านการกระทำความรุนแรงด้วยวิธีผิดมนุษย์ของเหล่านาซี
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงความเป็นมาของโซเฟีย นับตั้งแต่เธอลืมตาขึ้นมาดูโลกและบอกเล่าถึงสิ่งที่หล่อหลอมให้เธอกลายเป็น "โซเฟีย โซล ของขบวนการกุหลาบขาว" สิ่งหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดเอาไว้อย่างดี คงหนี้ไม่พ้นเรื่องของการถ่ายทอดความสามัญของบุคคลที่กล้าลุกขึ้นมาต่อต้านนาซีด้วยใจบริสุทธิ
การกระทำของขบวนการกุหลาบขาว ดำเนินกิจกรรมอยู่บนฐายของการแจกใบปลิวแบบปิดลับให้กับคนเยอรมันในช่วงเวลานั้น โดยเนื้อหาของใบปลิวเหล่านั้นบอกเล่าถึงความเลวร้ายของอุดมการณ์และการกระทำของพรรคนาซี รวมถึงการเรียกร้องสำนึกของคสามเป็นมนุษย์จากชนชาวเยอรมันทั้งปวง การดำเนินกิจกรรมทั้งหมดของขบวนการกุหลาบขาวดำเนินไปด้วยหนทางแห่งสันติวิธี และทุก ๆ การดำเนินการมีเพียงนักเรียน นักศึกษาและคนธรรมดา ๆ เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ดำเนินการด้วยตัวเอง
"Sophie Scholl: กุหลาบขาวและนาซี" ได้บอกเล่าถึงจุดพลิกผันที่ทำให้ตัวของผู้นำขบวนการถูกจับได้และถูกนำตัวไปดำเนินการรีดเร้นความจริงโดย "แกสตาโป" และถูกพิพากษาพิจารณาคดีโดยศาลประชาชน ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรับใช้อุดมการณ์ของพรรคนาซีเยอรมันในช่วงเวลานั้น ในท้ายที่สุดผู้นำหลายคนของขบวนการอย่าง โซเฟีย โซล" และพี่ชาย "ฮัลล์ โซล" และผู้นำคนอื่น ๆ ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยกิโยติน แต่เบื้อหลังของการประหารในครั้งนั้นได้ทิ้งรอยแห่งอุดมการณ์เสรีบางประการเอาไว้ด้วย ภายหลังจากการประหารและกวาดล้างกลุ่มแกนนำของขบวนการกุหลาบขาวโดยนาซี ใบปลิวลำดับที่ 6 ของขบวนการได้หลุดรอดจากการทำลายของพรรคนาซีและถูกส่งจนถึงมือของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งหลังจากนั้นเพียงไม่นานใบปลิวฉบับที่ 6 ของขบวนการกุหลาบขาวกว่าล้านแผ่น ถูกโปรยลงมาในดินแดนเยอรมัน เพื่อเป็นการตอกย้ำและกระตุ้นเตือนให้คนเยอรมันสำนึกต่อการกระทำและการไม่กระทำบางประการของตน รวมถึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของขบวนการกุหลาบขาว ตามที่ผู้นำหลายคนมุ่งมันและคาดหวังเอาไว้ว่า "เสรีภาพจงเจริญ" ซึ่งเป็นคำพูดที่กึกก้องของ ฮัลล์ โซล ที่ก่อนที่ศรีษะของเขาจะขสดออกจากร่างเพียงไม่กี่วินาที
บาดแผล ความทรงจำ และการถอดบทเรียนจากการกระทำของพรรคนาซีในช่วงเวลาสงคราม ยังผลให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเยอรมัน ปรับตัวและวางรูปแบบเพื่อป้องกันและรับมือต่อการอาจจะหวนกลับมาของผู้นำอย่างฮิตเลอร์และอุดมการณ์ทางการเมืองแบบนาซี คนเยอรมันจดจำการระทำดังกล่าวได้อย่างดี และพวกเขาเลือกที่จะยอมรับ เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และศึกษามันอย่างถ่องแท้ เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นได้อีกในภายหน้า
เป็นการน่าแปลกใจที่ว่าเหตุใดประเทศบางประเทศที่ยกย่องตนเองว่าเป็นอารยะ กลับลบเลือนและทำลายความทรงจำบางประการ รวมถึงปกปิดความทรงจำรวมถึงบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ทั้งกาลก่อนและเมื่อไม่นานมานี้ ความทรงจำหลายอย่างถูกลบเลือนและถูกทำให้ลบเลือนอยู่เสมอในประเทศที่ยกย่องตนเองว่าเป็นอารยะ หากประเทศดังกล่าวลองปรับเปลี่ยนแนวทางของการจัดการความทรงจำบางประการ บางทีประเทศนั้นอาจจะเป็นอารยะขึ้นมาก็เป็นได้ในสักวันหนึ่ง ซึ่งก็หวังว่าวันนั้นคงจะมาถึงภายในระยะเวลาไม่นานนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in