รีวิวเว้ย (336) "มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล" เป็นข้อความที่ผูดพรายขึ้นในหัวเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลง เพราะตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต ปัจจัยหนึ่งที่ยังผลให้เกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่ง ๆ ในครั้งอดีต มักเป็นน้ำมือของธรรมชาติและสิ่งเหนือธรรมชาติ (ดาวหางชน) แต่เมื่อการก่อกำเนิดขึ้นของสายพันธุ์หายนะอย่างกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตระกูล Homo การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิดผุดพรายขึ้นอย่างรวดเร็วและจงจัย อาจเรียกได้ว่า Homo คือสายพันธุ์ของนักทำลายล้างและนักสร้างความฉิบหา่ยอย่างแท้จริง และเมื่อสายพันธุ์ Homo พัฒนามาสู่ Homo sapiens sapiens (https://www.quora.com/Whats-the-difference-between-homo-sapiens-and-homo-sapiens-sapiens) ความฉิบหายและความบรรลัยดูจะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อมนุษย์สายพันธุ์ปัจจุบัน ดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง ทั้งในรูปแบบของสงครามเพื่อรักษาผลประโยชน์และแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างกัน หรือแม้กระทั่งฆ่ากัรเพียงเพราะมนุษย์อีกผู้หนึ่งขับรถปาดหน้า หรือเต้นเหยียบตีน เหตุผลเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้มนุษย์สายพันธุ์ปัจจุบันหันมาฆ่ากันเองอย่างสนุกสนาน
หนังสือ : ยุโรปมืด THE SUN STILL SHINES
โดย : พีรพัฒน์ ตัณฑวณิช
จำนวน : 360 หน้า
ราคา : 345 บาท
"ยุโรปมืด THE SUN STILL SHINES" หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของการท่องเที่ยวไปในดินแดนที่ปัจจุบันถูกเรียกว่ายุโรปตะวันออก ซึ่งดินแดนเหล่านี้เคยเป็นพื้นที่ที่มีกิจดรรมการฆ่าฟันกันอย่างสนุกสนานเกิดขึ้นในหลายยุคหลายสมัย หนังสือเล่มนี้พาเราออกเดินทางไปดูสถานที่สำคัญ ๆ ในยุโรปตะวันออกและพื้นที่ของเยอรมันบางส่วนเพื่อสำรวจเส้นทางของการเกิดขึ้นของมหาสงครามหรือที่หลายคนขนานนามมันว่า "สงครามโลก"
การวางเส้นทางการท่องเที่ยวของ "ยุโรปมืด THE SUN STILL SHINES" คือการวางเส้นทางตามรูปแบบการเดินทัพของกองทัพนาซีเยอรมัน โดยมีจุดเริ่มต้นที่ดินแดนที่เป็นชนวนของมหาสงครามได้เริ่มต้นขึ้น และค่อย ๆ ออกเดินทางตามเส้นทางเดิมทัพของนาซีในครั้งอดีต ตลอดเส้นทางการเดินทาง หนังสือเล่มนี้ฉายให้เห็นภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทาง ทั้งประวัติศาสตร์ การค้า ความรุนแรง การใช้กำลัง หรือแม้กระทั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง
"ยุโรปมืด THE SUN STILL SHINES" ฉายทับภาพของอดีตของดินแดนและพื้นที่ที่ตัวผู้เขียนเดิยทางไปถึง พร้อมทั้งบอกเล่าถึงสภาพปัจจุบันและความทรงจำที่เป็นบาดแผลของพื้นที่เหล่านั้น รวมถึงหนังสือเล่มนี้ยังช่วยฉายภาพอนาคตของเมืองและสถานที่เหล่านั้นผ่านบริบทการพัฒนาที่น่าสนใจ ด้วยความที่ผู้เขียนทำงานอยู่ในหน่วยงานที่ดูแลและสังเกตุเรื่องของการพัฒนา อย่างสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า สภาพัฒฯ ดังนั้นการฉายภาพของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จึงวางอยู่บนฐานของการวางสมุติฐานที่น่าสนใจ และชี้ชวนให้เราเข้าใจว่าบริบทของพื้นที่หนึ่ง ๆ มีพลวัตรเป็นเช่นไร
"ยุโรปมืด THE SUN STILL SHINES" ได้ฉายภาพความโหดร้ายที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ และได้ฉายภาพความหวัง ความงดงาม ที่มนุษย์กระทำเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไปพร้อม ๆ กัน เช่นนั้นหากให้นิยามหนังสือเล่มนี้ มันอาจจะไม่ได้ว่าด้วยเรื่องของ "ความมืดและสิ้รหวัง" แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่หนังสือเล่มนี้ยังช่วยให้เรามองเห็นแสงสว่างทีนับได้ว่าเป็นจุดกำเนิดแสงท้ามกลางความมืด เช่นเดียวกันกับดวงดาว หากพื้นที่โดยรอบไม่มืดมิด เราก็จะไม่มีวันเห็นแสงของกวงดาวทั้ง ๆ ที่เรารับรู้ว่ามันมีอยู่จริง อีกสิ่งหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดข้อคิดเอาไว้ คือ บางครั้งเราแค่รับรู้ว่าดวงดาวมีแสง และเชื่อมั่นในแสงเหล่านั้นโดยที่บริเวณโดยรอบไม่จำเป็นต้องมืดมิดลงแบบเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วก็ได้ เพราะเรารู้แล้วว่าดาวส่องแสงแม้ในยามที่ท้องฟ้าไม่มืดมิด
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in