เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
คน. รัก. ที่. โตเกียว.tiktokthailand
1 : มูราคามิที่เป็นนักเขียน และวิลเลียมที่เป็นชาวอังกฤษ



  • “เธอคิดจะทำอะไรก่อนเปิดเทอมเหรอ?” วิลเลียม กริมม์ ชายหนุ่มอังกฤษต้นวัยยี่สิบเอ่ยถามฉันในยามสายของวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2556 สถานที่คือห้องอาหารในบ้านพักรวมยี่ห้อซากุระเฮ้าส์ ย่านเซนดากิ
    ฉันเพิ่งเจอวิลเลียมเมื่อเย็นวาน และที่จดจำรำลึกจนถึงขั้นระบุวันที่เหล่านี้ได้อย่างแม่นยำก็เพราะว่า 18 สิงหาฯ คือวันที่ฉันนัดกับเพื่อนว่าจะไปดูคอนเสิร์ตโทโฮชินกิ (Tohoshinki) ที่สนามนิสสันสเตเดี้ยม เมืองโยโกฮาม่า และคอนเสิร์ตนี้เป็นคอนเสิร์ตที่ฉันตั้งตารอมาเกือบค่อนชีวิต (ขีดเส้นใต้ตัวหนาๆ)

    ฉันเดินทางมาถึงญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2556 ปีเดียวกับที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าท่องเที่ยวในญี่ปุ่นแล้วนั่นแหละ เมื่อแลนดิ้งลงดินแดนซามุไรแปลกหน้า ฉันใช้เวลา 3 วันพักที่โรงแรมเล็กๆ แถวสวนอุเอโนะ ก่อนจะแบกกระเป๋า โบกแท็กซี่ และย่างก้าวมาโผล่ที่ซากุระเฮ้าส์เมื่อเย็นย่ำวันเสาร์ที่ 17

    วิลเลียมคือมนุษย์คนแรกในบ้านพักรวมที่ฉันพบ

    เขาถามว่าฉันเพิ่งมาใหม่ใช่ไหม ก่อนจะพาเดินไปรอบบ้าน ชี้ให้ดูว่าตรงไหนคือห้องน้ำห้องท่า ส่วนไหนคือห้องครัวและห้องกินข้าว ถ้าอยากไปซูเปอร์มาร์เกตต้องเดินไปทิศนู้นนะ ส่วนมหาวิทยาลัยโตเกียวน่ะอยู่ทิศนี้ รถไฟที่ใกล้ที่สุดอยู่ทางทิศนั้น พอทำตัวเป็นกูเกิลแมพพูดได้เสร็จ เขาก็ยังสละเวลามาบอกเล่าชี้แนะเรื่องวัฒนธรรมการแยกขยะในญี่ปุ่นให้ฉันฟังอีก

    เป็นการเลคเชอร์ที่ย่นย่อ แต่ช่วยชีวิตฉันไว้ได้นานโข

    “ใจดีจัง” นั่นคือความรู้สึกแรกที่ฉันมีต่อเพื่อนใหม่ตัวสูงปรี๊ดคนนี้

    ฉันกำลังกินข้าวมื้อสายของวันอาทิตย์ตอนที่วิลเลียมโผล่เข้ามาในครัว เขาเดินไปปิ้งขนมปังและชงชาสักแป๊บนึง ก่อนยกชากลิ่นหอมฉุยมานั่งลงตรงข้ามฉัน
    พร้อมเอ่ยถามคำถามข้างต้น
    “เธอคิดจะทำอะไรก่อนเปิดเทอมเหรอ?”

    ฉันนิ่งไปแป๊บ ไม่แน่ใจว่าควรตอบสร้างภาพ หรือควรตอบตามความจริงให้หนุ่มแปลกหน้าฟังกันแน่
    “บ่ายนี้ฉันจะไปดูคอนเสิร์ต แต่ถ้าเป็นวันถัดๆ ไป ฉันตั้งใจว่าจะไปตามรอยหนังสือของฮารูกิ มูราคามิ น่ะ” สุดท้ายความจริงก็เป็นฝ่ายแย่งชิงพื้นที่ในบทสนทนาไปครอบครอง
    “เธออ่านงานของมูราคามิด้วย?” วิลเลียมถามเสียงสูง เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเขาทำเสียงอย่างนี้ ก่อนหน้านี้เขามักทำเสียงต่ำๆ พูดเรียบๆ เนิบช้า และดูท่าเป็นคนสุขุมมากกว่าใจร้อน
    “ก็...อ่านมาบ้าง” ฉันตอบอ้อมแอ้ม ไม่กล้าออกตัวแรงว่าฉันอ่านงานของนักเขียนญี่ปุ่นนาม ฮารูกิ มูราคามิ ทุกเล่มที่แปลออกมาเป็นภาษาไทย
    และที่สำคัญ ฉันรักเขา,
    เอ่อ...อันหลังหมายถึงมูราคามิ นะ ไม่ใช่หนุ่มอังกฤษสูงปรี๊ดตรงหน้าแต่อย่างใด

    “จะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะขอไปด้วย”
    เฮ้ย...ไม่น่าเชื่อว่าวิลเลียมก็อยากไปดูคอนเสิร์ตโทโฮชินกิในบ่ายนี้!
    “ที่บอกว่า จะตามรอยมูราคามิน่ะ ขอไปด้วยได้ไหม”
    อ๋อ...มูราคามิหรอกเหรอ แหะๆ ก็ว่าอยู่ว่าไอ้หนุ่มน้อยตรงหน้าไม่น่าจะรู้จักวงเกาหลีที่ดันโผล่มาดังในญี่ปุ่นวงนี้ได้หรอกน่า

    “อื้ม...ได้สิ” ฉันพยักหน้าตอบรับ

    “จริงนะ?” วิลเลียมทำเสียงสูงอีกแล้ว เป็นเสียงที่ปะปนอารมณ์ตื่นเต้นและโหยหาการผจญภัยเข้าไว้ด้วยกัน

    “ตั้งแต่มาฝึกงานหน้าร้อนที่นี่ นอกจากเข้าออฟฟิศแล้ว ฉันยังไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลย” เขาเล่าในตอนที่จิบชาอึกสุดท้ายลงไป

    “ถ้าเป็นไปได้ ไปเที่ยวด้วยกันนะ” ว่าแล้ววิลเลียมผู้อายุ 23 ปีก็ยิ้มตาหยีออกมา

    เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า เขาดูใจดีขึ้นอีกตั้ง 20 เปอร์เซ็นต์

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in