เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
How to liveJame Curser
อีกหนึ่งมุมมองของคำว่า "โรคจิต"
  • ในมุมมองของตัวผม (ผู้มีอาการทางจิต ในลักษณะที่สามารถควบคุมได้) อาการทางจิตใจนั้นมีหลากหลายลักษณะสุดๆเลยล่ะ 

    ในบทความนี้ผมขอใช้มันเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประสบการณ์ ที่ใกล้เคียงกับอาการทางจิต หรือทางประสาท ในช่วงวัยต่างๆของผม ส่วนความคิดเห็นหรือมุมมองที่คุณผู้อ่านจะได้รับนั้น ขอให้เป็นไปตามวุฒิภาวะ จินตนาการ ความคิด และประสบการณ์ของคุณผู้อ่านได้อย่างเต็มที่เลยครับ 

    เด็ก

    เกริ่นถึงวัยเด็กช่วงประถมศึกษา เป็นช่วงเวลาที่ความมีเหตุและผลของผมต่ำมาก แต่จินตนาการและความเพ้อฝันนั้นกลับสูงมาก ทั้งสองอย่างนั้นมีทิศทางที่ตรงข้ามกันอย่างสุดขั้วจริงๆ ความฝันของผมในตอนนั้นคืออยากครองโลก ให้โลกทั้งใบอยู่ภายใต้กฎของผมเอง 

    ทุกสิ่งที่ผมได้สัมผัสรับรู้มัน ผมมักจะคิดไว้เสมอว่ามันจะต้องเป็นไปอย่างที่ผมหวังไว้อย่างแน่นอน โดยไร้ซึ่งข้อขัดแย้งใดๆในโลกความเป็นจริง แต่เมื่อเติบโตขึ้นผ่านกาลเวลา และเผชิญความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งต่างๆเหล่านั้นมันค่อยๆดึงผมออกมาจากโลกส่วนตัวและจินตนาการอันสวยหรูของตัวเอง 

    การที่ต้องยืนเผชิญหน้ากับความจริง มันคือจุดเริ่มต้นของความคิดในใจตัวเอง ความคิดที่ว่าผมนั้นแปลกประหลาด แตกต่าง ไม่ใช่พวกเดียวกันกับคนอื่นๆ ช่วงเวลาในตอนนั้นผมมักจะเกิดความคิดที่ว่า ผมเป็นมนุษย์ต่างดาวรึเปล่า? หรือว่า พ่อแม่เก็บผมมาเลี้ยง? หรือ ผมมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากคนอื่นๆรึเปล่า? และมีอีกหลายความคิดมากๆ ที่เกิดขึ้น เพราะความแตกต่างระหว่างความจริงกับในสิ่งที่ผมเป็น

    สภาวะจิตใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแบบนั้น เริ่มหนาแน่นและชัดเจนขึ้น จนเกิดเป็นอาการต่างๆตามมา อย่างเช่น สับสน ขี้ระแวง ไม่ไว้ใจคนรอบตัว และเริ่มพยายามจะเก็บตัว และถอยห่างออกจากสังคม ห่างจากครอบครัว เพื่อน ครู พี่น้อง เพราะความคิดที่ว่า พวกคนเหล่านั้นไม่ใช่พวกเดียวกับเรา ไม่เข้าใจในตัวตนเราและสิ่งที่เราเป็นจริงๆ คล้ายกับว่าผมคิดว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธ์อื่นบนโลกก็น่าจะได้ 

    และเมื่อการแบ่งแยกระหว่างตัวผมกับสังคมเกิดขึ้น มันส่งผลให้เกิดระยะห่าง และมันไปสร้างสภาวะการรับรู้ภายในขึ้นด้วย หรือที่พวกคุณเรียกกันว่า introvert นั่นแหละ เนื่องจากผมปลีกตัวออกจากกระแสของสังคม ทำให้ผมมีเวลากับตัวเองเยอะมากขึ้นมากๆ มากซะจนผมมีเพื่อนในจินตนาการที่ชัดเจนและเป็นรูปร่างอยู่ภายในความคิด ในโลกจินตนาการของตนเอง พวกเขามีชื่อ มีเอกลักษณ์ของตัวเอง มีความแตกต่างของแต่ละคน และ ในบางครั้งพวกเขาก็แทบจะมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ โดยถ่ายทอดจากจิตใจผ่านร่างกายอันเดียวกันนี้ ซึ่งพฤติกรรมในลักษณะนี้ คนส่วนใหญ่มักจะเรียกว่า "บ้า"

    หลังจากนั้นโลกในจินตนาการ และทุกอย่างในความคิดมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผมมักจะใส่หูฟังตลอดเวลา (ตลอดเวลาจริงๆ) เพื่อตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ผมจะหวงโลกส่วนตัวมาก ผมไม่เคยให้ใครฟังเพลงที่ผมโหลดมาเก็บไว้ ไม่ชอบให้ใครหาตัวเจอ จะเรียกว่าผมไม่ชอบมนุษย์เลยก็ใกล้เคียงพฤติกรรมของผมในระยะนี้ ก็คงเริ่มมีอาการคล้ายๆโรคจิตอ่อนๆ คือมักจะชอบทำอะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจ หรือกลายเป็นคนที่ทำตัวลึกลับเข้าใจยากในมุมมองของคนอื่นๆ 

    เด็กโต

    เป็นช่วงเวลาที่ความมีเหตุผลเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น(เล็กน้อย) ความคิดส่วนใหญ่นั้นยังตั้งมั่นอยู่กับจินตนาการที่สุดโต่ง เพียงแค่ พลังวิเศษ หรือ เวทย์มนต์ เหล่านั้น ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น เงิน อำนาจ ความรู้ หรือ ชื่อเสียง ซึ่งในความจริงมันก็มีพลังมากพอๆกัน ในการจะดลบันดาลอะไรให้ได้อย่างใจเรานึก 

    ในที่สุดผมก็ได้เรียนรู้การเข้าสังคมอย่างจริงจัง ในตอนที่เข้าเรียนมัธยมต้นครั้งแรก ภาพฝันในใจนั้นมันคือการเรียนอย่างสนุกสนาน และ เป็นความสวยงามระหว่างเพื่อน คือสังคมที่อุดมด้วยความรู้และช่วงเวลาที่มีคุณค่าต่อชีวิต ซึ่งเด็กน้อยอย่างผมในตอนนั้น ไม่ได้เผื่อใจกับความผิดหวังที่ต้องมารับรู้ความเป็นจริงเข้าอีกครั้ง เมื่อได้รู้จักกับคำศัพท์ที่เรียกว่า การเสแสร้ง การสร้างภาพ 

    เมื่อความหวังบิดเบี้ยวไปแล้ว สิ่งที่ผมจะทำมันกลายเป็นการหนีกลับเข้าไปในโลกส่วนตัวของตนเอง ประกอบกับประสบการณ์แย่ๆ ไม่ว่าจะโดนแกล้ง ล้อเลียน เอาเปรียบ โดนโกง ทุกๆอย่างที่ไม่ดี มันทำให้เกิดความไม่สบายใจเล็กบ้างใหญ่บ้าง จนสุดท้ายสิ่งที่เกิดตามมาก็คือ ...กำแพง

    หลังจากผมเริ่มมีกำแพงภายในใจ อุปนิสัยของผมก็เปลี่ยนตามไปด้วย บุคลิกเริ่มแบ่งแยกอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่จินตนาการ 2 บุคลิกหลักๆ คือเด็ก กับ ผู้ใหญ่ (ผมขอเรียกแบบนี้แล้วกัน) ส่วนใหญ่ด้วยมุมมองของผมที่เข้าใจว่าโลกใบนี้มันโหดร้ายกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก ลักษณะที่แสดงออกโดยมากจึงเป็น ผู้ใหญ่ เงียบขรึม มีเหตุผลสูง(มากเกินไป) เผด็จการ หยิ่งผยอง และมักจะข่มผู้ที่อ่อนแอกว่า มันคือกลไกในการเอาตัวรอดของตัวผมในเวลานั้น ที่ประเมินว่าคนที่มีความคิด พฤติกรรม แบบใดบ้างที่เอาตัวรอดได้ หลังจากนั้นมันจึงเกิดการเลียนแบบขึ้น จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่ง

    ส่วนความเป็น เด็ก ผมมักจะเก็บมันไว้อย่างมิดชิด หลังกำแพงที่หนาและสูง โอกาสที่คนอื่นจะได้เห็นหรือรับรู้ว่าผมมีนิสัย รักสวยรักงาม อ่อนโยน อ่อนไหว ใจดี และอุปนิสัยอื่นที่ค่อนไปในทางตรงข้ามกันกับความเป็นผู้ใหญ่ในข้างต้นนั้น แม่แต้พ่อแม่ หรือ เพื่อนสนิท ก็แทบไม่มีโอกาสได้เห็น

    ผลกระทบที่เกิด คือ ความเก็บกด เพราะความเป็นผู้ใหญ่นั้น เป็นเพียงสิ่งที่ตัวผมสร้างมันขึ้นมาเองเท่านั้น และมันประสบความสำเร็จอย่างมาก พ่อแม่ คนรอบตัว คนส่วนใหญ่เชื่ออย่างสนิทใจว่านั่นคือตัวผม นั่นคือความสามารถของผม พวกเขาเชื่อว่าผมสามารถทำอะไรให้พวกเขาได้ตามต้องการ จนบางครั้งผมคิดว่าตนเองเป็นหุ่นยนต์ที่รับคำสั่งมาและมีหน้าที่ปฎิบัติตาม 

    เมื่อสิ่งที่ได้รับการยอมรับคือ ผู้ใหญ่ ผมจึงรู้สึกลำบากอย่างมากในการใช้ชีวิต เพราะการต้องเป็นผู้ใหญ่ ในความรู้สึกของผมเอง มันก็เหมือนกับการที่ต้องแสดงเป็นใครสักคนที่ตรงกันข้ามกับตัวตนของเราอย่างสิ้นเชิง ผมพยายามปรับให้ตัวเองใช้ชีวิตได้ปกติ ภายใต้สภาพจิตใจที่เปลี่ยนไปมา จนบางครั้งผมก็ดิ่งลงไปในโลกส่วนตัว เพราะฝืนอะไรไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

    เมื่อผมดิ่งลงไปในโลกส่วนตัว มันก็ไม่มี ผู้ใหญ่ อีกต่อไป มีแค่เด็กที่ต้องออกมาแบกรับเรื่องราวที่เขาไม่สามารถจะแบกรับมันไหว นั่นทำให้บางครั้งผมก็หัวเราะเสียงดัง แหกปากร้องตะโกน ทำร้ายตัวเอง ทำลายข้าวของ ร้องไห้ ตื่นตระหนก และอื่นๆ 

    เมื่อไม่มีผู้ใหญ่(เหตุผล) เด็ก(อารมณ์)ก็ล้นออกมาจนเละเทะไปหมด 

    แท้จริงแล้วผมไม่ใช่คนสองบุคลิก ความเป็นเด็กนั่นคือสิ่งที่ผมเป็น แต่มันแค่ไม่ใช่สิ่งที่ใครต้องการเท่านั้นเอง ผมแค่พยายามเป็นในสิ่งที่ใครต่อใครต้องการ โดยที่พยายามจะรักษาตัวตนเอาไว้พร้อมๆกัน 

    ผมพยายามจัดการเวลาทั้งเพื่อส่วนรวม และ ส่วนตัว เมื่อถึงเวลาที่ต้องร่วมงานสำคัญ ต้องอยู่ท่ามกลางผู้คน ผมจะเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อถึงเวลาที่สมควร ผมก็จะหายตัวไปจากสายตาของทุกคน เพื่อหามุมสงบๆของตัวเอง ให้เวลาตัวเองได้ชาร์จแบตเพิ่ม เพื่อจะกลับไป ไปเป็นคนที่พวกเขาต้องการ


  • พูดคุย

    ....
    สิ่งที่ท่านได้อ่านไป คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในชีวิตของผม ในความคิดและจิตใจของผม ในช่วงเวลาก่อนที่ผมจะเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ก็มีคนที่พยายามจะเข้ามาในโลกส่วนตัวของผม มีเพื่อนใหม่ และสังคมใหม่ที่แตกต่างจากช่วงมัธยม และได้ประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ จากกิจกรรม และ การทำงาน 
    ซึ่งมันก็เป็นจุดพลิกผันอีกครั้งในเรื่องราวของผม
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in