เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ride, road, written2:28am
01 NAOSHIMA ไม่ได้มีแค่ฟักทอง
  • เรารู้จักเกาะนาโอชิม่าครั้งแรกเพราะเจ้าฟักทองสีเหลือง ผลงานของคุณ Yayoi Kusama พอลองหาข้อมูลดูถึงได้รู้ว่าเกาะนาโอชิม่ายังเป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์คุณอันโด ทาดาโอะ และพิพิธภัณฑ์ที่ออกแบบโดยคุณอันโด ทาดาโอะอีกด้วย เพราะชอบผลงานของคุณอันโดก็เลยบอกกับตัวเองว่าจะหาโอกาสไปให้ได้สักครั้ง

    ครั้งนี้เรามีเวลาแค่หนึ่งวัน จากความตั้งใจแรกที่จะไปทั้งเกาะ Naoshima และ Teshima เลยต้องตัดเหลือแค่ Naoshima เราเริ่มออกเดินทางจากโอซาก้าโดยชินคังเซ็นไปลงที่สถานี Okayama เปลี่ยนเป็นสาย Marine Line ไปลงสถานี Chayamachi เพื่อเปลี่ยนสายไปสถานี Uno อีกที ตอนถึงสถานี Chayamachi ระหว่างรอรถไฟอีกขบวนอยู่ที่ชานชาลาข้างๆ ก็มีฝรั่งคนหนึ่งเดินวนไปมา มองป้ายบนชานชาลาสลับกับหน้าจอโทรศัพท์ สักพักเธอก็เดินเข้ามาถามเราว่า "ไปสถานี Uno ต้องขึ้นที่ชานชาลานี้ใช่ไหม" เราจึงตอบกลับไปว่า "ใช่ เราก็กำลังไปสถานีนั้นเหมือนกัน" เมื่อรถไฟมาถึงเราก็มองหาที่นั่งริมหน้าต่าง เธอคนนั้นมานั่งลงยังที่ว่างข้างๆ เรา เธอหันมาชวนเราคุยตลอดทาง "กำลังไปเกาะนาโอชิม่าเหมือนกันใช่ไหม" "ฉันมาจากอเมริกา มาเยี่ยมพี่สาวที่โตเกียวเลยแวะมาเที่ยวที่นี่" จนกระทั่งถึงสถานี Uno ปรากฏว่าเธอแทบไม่ได้หาข้อมูลอะไรมาก่อนเลย จากทริปคนเดียวเลยกลายมาเป็นทริปชาวต่างชาติพาชาวต่างชาติตะลุยเกาะญี่ปุ่น


    เราเดินจากสถานี Uno มายังท่าเรือ Uno ซื้อตั๋วกับตู้ขายอัตโนมัติ 2 ใบเผื่อสาวเมกันอีก 1 ใบ — จนจบทริปแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ถามชื่อเธอเลยขอเรียกว่าสาวเมกันก็แล้วกัน รอไม่นานเรือที่จะไปเกาะนาโอชิม่าก็เข้าเทียบท่า ยื่นตั๋วให้กับเจ้าหน้าที่ก็เดินขึ้นเรือไปเลือกที่นั่งได้เลย ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึงท่า Miyanoura — การเดินทางไปยังเกาะนาโอชิม่าสามารถเข้าได้จากหลายท่า แต่เราเลือกมาลงที่ท่า Miyanoura เพราะต้องการไป Benesse House Area ก่อนและวนเป็นวงกลมกลับมายังท่าเดิม


    เดินออกจากท่าเรือมาจะเจอกับเจ้าฟักทองสีแดง ผลงานของคุณ Yayoi Kusama ด้วยความที่เวลาน้อยเลยแวะชักภาพไปไม่กี่รูปก็พาฝรั่งไปเช่าจักรยาน — ร้านเช่าจักรยาน Cafe Ougiya อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ่ทาเรือไปทางซ้ายเล็กน้อย เราเลือกจักรยานไฟฟ้าเพราะจากที่อ่านมา ทางไป Chichu Art Museum มีทางขึ้นเขาพอสมควร ค่าเช่าราคา 1,000 เยน/วัน พอกรอกข้อมูลและจ่ายเงินเรียบร้อย พนักงานร้านจะให้กุญแจที่มีเลขกำกับพร้อมกับอธิบายการใช้จักรยานเบื้องต้น และเอาโกดังเก็บจักรยานของร้าน


    เราเริ่มปั่นไปยัง Chichu Art Museum เป็นจุดหมายแรก ระหว่างทางเป็นทางขึ้นเขาเยอะพอสมควร แต่เพราะเป็นถนนลาดยางและแทบไม่มีรถยนต์วิ่งผ่านเลยปั่นค่อนข้างง่าย จอดแวะถ่ายรูปวิวทะเลได้ตลอดทางถือเป็นการพักเหนื่อยไปในตัว ขนาดว่าแวะตลอดทางก็ยังมาถึง Chichu Art Museum ก่อนเปิดทำการประมาณ 20 นาที แต่สำนักงานที่ขายบัตรจะเปิดทำการก่อน เลยเอาจักรยานไปจอดและเข้าไปซื้อตั๋วมานั่งรอพิพิธภัณฑ์เปิด ภายในพิพิธภัณฑ์ห้ามถ่ายรูป แต่สามารถนำกล้องเข้าไปได้ ไม่จำเป็นต้องฝาก นิทรรศการจะแบ่งเป็นโซนๆ ตามศิลปิน เราจัดให้ Chichu Art Museum เป็นความประทับใจอันดับ 1 ในทริปนี้ ทั้งสถาปัตยกรรมของคุณอันโด ทาดาโอะที่เน้นปูนเปลือยธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาที่โครงสร้าง และยังมีผลงานของคุณ James Turrell จัดแสดงอยู่ด้วย ผลงานที่เราชอบเป็นพิเศษคือ Open Field เป็นผลงานที่ใช้แสงสีน้ำเงิน กับบันได เจ้าหน้าที่จะให้เรายืนบนพื้นและมองผลงานก่อน สักพักก็จะแนะนำให้เราเดินขึ้นบันไดทีละขั้น แค่เปลี่ยนมุมมองคำจำกัดความของสิ่งที่เราเห็นก็สามารถกลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งได้ ชอบมากจนเดินครบทั่วพิพิธภัณฑ์แล้วต้องกลับมาชมอีกรอบ แวะซื้อของที่ระลึกอีกนิดหน่อยก่อนจะปั่นจักรยานไปยังสถานที่ถัดไป


    จาก Chichu Art Museum มาไม่ไกลจะเจอกับ Lee Ufan Museum บริเวณด้านนอกพิพิธภัณฑ์มีผลงานจัดแสดงอยู่บางส่วนให้คนเข้าไปเดินชมและถ่ายรูปโดยไม่ต้องซื้อบัตรเข้าชม ส่วนตัวไม่ค่อยอินกับผลงานของศิลปินชาวเกาหลีท่านนี้เท่าไหร่แต่มาถึงที่แล้วก็เลยแวะเข้าไปชมสักหน่อย

    ปั่นจักรยานจาก Lee Ufan Museum ตามทางมาเรื่อยๆ จะเจอกับป้าย Benesse House Museum เรามองหาที่จอดรถจักรยานเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เห็นคนอื่นๆ ที่ขี่ตามมาจอดทิ้งไว้ริมถนนกันหมด แต่คิดว่ามันน่าจะมีที่จอดเลยลองเข็นจักรยานขึ้นเนินทางเข้ามาด้วยก็เจอกับที่จอดจักรยานอยู่ด้านหน้าทางเข้าอาคารพอดี ส่วนตัวเหตุผลที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์นี้เพราะหนึ่งอาคารออกแบบโดยคุณอันโด ทาดาโอะ และสองคือเจ้ากำแพงนี้


    หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เลยเที่ยงมานิดหน่อยเลยตัดสินใจกินข้าวกลางวันที่ Museum Cafe ของพิพิธภัณฑ์ เมนูอาหารมีสองอย่างเท่านั้นคือ Squid Ink Curry กับ Pasta Amatriciana เราสั่งพาสต้ามาด้วยความไม่กล้าลองแกงกะหรี่หมึกปลาหมึก แต่พาสต้าก็รสชาติไม่ได้ดีไปกว่ารสชาติของแกงกะหรี่หมึกปลาหมึกในจินตการสักเท่าไหร่...


    ปั่นจาก Benesse House Museum มาเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเจอชายหาด ระหว่างทางจะมีผลงานจัดแสดงแบบ outdoor อยู่ตลอดทางเลยแวะจอดเดินถ่ายรูปเป็นพักๆ มีจุดที่เป็นชายหาดสามารถเดินลงไปเล่นและสัมผัสน้ำทะเลได้ ตอนที่ไปเราเจอคู่รักชาวต่างชาติปูผ้านอนอาบแดดก็ให้อารมณ์เหมือนไม่ได้อยู่ญี่ปุ่นไปอีกแบบ


    ปั่นต่อไปอีกหน่อยจะเจอชายหาดบริเวณโรงแรม Benesse House และเป็นที่ตั้งของเจ้าฟักทองสีเหลืองผลงานของคุณ Yayoi Kusama พอปั่นไปถึงบริเวณชายหาดจะไม่มีที่สำหรับจอดรถจักรยาน เลยลองปั่นจักรยานอ้อมไปทางด้านหลังโรงแรมทะลุมาอีกฝั่งของชายหาด มีจุดจอดรถจักรยานอยู่ริมถนนเลยตรงอินาริแล้วค่อยเดินย้อนเข้าไปทางชายหาด ความโชคดีคือคนไม่เยอะ รอคิวแค่คนเดียวก็ได้รูปแบบไม่มีคนแล้ว


    จากจุดที่มีฟักทองสีเหลืองเราปั่นจักรยานเลียบทะเลมาเรื่อยๆ จะเข้าสู่ Honmura Area แอบชอบแถวนี้เป็นพิเศษเพราะจะเริ่มเห็นบ้านเรือนความเป็นอยู่ของคนในเกาะ ทุกครั้งที่ปั่นจักรยานผ่านคุณป้าหรือคุณยายที่เดินอยู่แถวนั้นจะต้องได้ยินเสียงทักทาย "คนนิจิวะ" ตลอดทาง เลยต้องปั่นไปโค้งหัวพร้อมกับทักทายตอบว่า "คนนิจิวะ" ไปด้วยเกือบตลอดทาง

    — ระหว่างทางเจอเจ้าโดมหน้าตาเหมือนองุ่นเลยจอดแวะดู ประกฏว่ามันคือจุดจอดรถจักรยานนั่นเอง

    — แม้แต่ห้องน้ำสาธารณะก็ยังคงความมินิมอล


    พอเริ่มเจอชุมชนที่อยู่อาศัยก็จะเจอคาเฟ่น่ารักๆ ซ่อนตัวอยู่เต็มไปหมด เสียดายที่เวลาน้อยเลยไม่ได้แวะลองสักร้าน เราแยกกับฝรั่งสาวเมกันแถวๆ นี้เพราะเธอต้องรีบกลับไปโตเกียววันนี้เลย — ตอนนั้นคิดในใจว่าโหดมาก ขนาดเรากลับแค่โอซาก้ายังรู้สึกว่าทุกอย่างมันเร่งรีบไปหมด


    สถานที่สำคัญใน Honmura Area คือ Ando Museum และ Art House Project เราแวะไปจอดรถจักรยานตรง Art House Project 'Minamidera' — สามารถซื้อบัตรเข้าชม Art House Project ทั้งหมดได้ที่นี่ แต่เราเดินไปยัง Ando Museum ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของการมาครั้งนี้ก่อน ด้านนอกพิพิธภัณฑ์เป็นบ้านญี่ปุ่นแบบสมัยก่อนแต่ภายในตกแต่งใหม่ให้เป็นสไตล์คุณอันโด ทาดาโอะที่เน้นปูนเปลือย มีเล่าประวัติความเป็นมาของสถาปัตยกรรมแต่ละชิ้น และมีหนังสือรวมผลงานขาย


    ใช้เวลาใน Ando Museum ไม่นานเลยแวะ Art House Project ก่อนกลับ จาก Ando Museum เราเดินไปซื้อบัตรเข้า Art House Project จากร้านขายบุหรี่ (ใช่ค่ะ ร้านขายบุหรี่) ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามป้ายรถเมล์ Nokyo-Mae จะใกล้กว่ากลับไป Minamidera บัตรเข้าจะมาในลักษณะแผ่นพับ มีรายละเอียดและแผนที่บอกตำแหน่งของบ้านแต่ละหลัง พอเข้าชมบ้านหลังไหนเจ้าหน้าที่ก็จะประทับตราลงในแผ่นพับให้ เสียดายที่เวลาน้อยเลยเก็บได้ไม่ครบ ยังเหลืออีกสองหลังที่อยู่ไกลเลยไปไม่ทัน — ใครที่ไม่ได้เช่าจักรยานแต่นั่งบัสแทนอาจจะลำบากหน่อยตอนไปบ้านต่างๆ ของ Art House Project เพราะแต่ละหลังค่อนข้างไกลกันพอสมควร

    ส่วนตัวในบ้านทั้งหมดที่ไปเราชอบ 'Minamidera' ที่สุด การเข้าชมจะแบ่งให้เข้าเป็นรอบๆ ข้างในมืดสนิทจะมีเสียงเจ้าหน้าที่คอยบอกทางให้และใช้มือคลำๆ ทางไปจนเจอเก้าอี้นั่ง นั่งอยู่สักพัก ไม่รู้ว่านานแค่ไหน นั่งจนสายตาเริ่มชิ่นกับความมืด เจ้าหน้าที่จะถามว่าเราเห็นอะไร และสักพักก็จะให้เราลุกขึ้นค่อยเดินไปข้างหน้าเพื่อค้นหาคำตอบว่าภายในห้องสี่เหลี่ยมนี้คืออะไร เป็นศิลปะที่ใช้ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ ง่ายๆ แต่น่าจดจำ

    เราปั่นวนกลับมายังท่าเรือ Miyanoura เอาจักรยานมาคืนที่โกดังเก็บจักรยานของร้าน หย่อนกุญแจคืนในกล่องและเดินไปซื้อตั๋วเรือนั่งกลับไปยังท่าเรือ Uno แวะซื้อข้าวกล้องที่สถานี Okayama เป็นข้าวเย็นระหว่างนั่งกลับไปยังโอซาก้า ปิดทริป 1 วันกับการปั่นจักรยานรอบเกาะกับเพื่อนร่วมทางโดยบังเอิญ 1 คน


    / ข้อมูลการเดินทาง /

    〰 TO OKAYAMA STATION
    1 ชินคันเซ็น ลงสถานี OKAYAMA — เช็คตารางรถไฟ http://hyperdia.com/
    2 รถบัส (ขึ้นอยู่กับจังหวัดต้นทาง)

    〰 TO UNO PORT
    จากสถานี OKAYAMA,
    1 JR UNO LINE ไปลงสถานี UNO
    2 JR MARINE LINE ไปลงสถานี CHAYAMACHI เปลี่ยนเป็นสาย UNO PORT เพื่อไปสถานี UNO
    — การเปลี่ยนสาย, พอลงที่สถานี CHAYAMACH รอรถไฟที่ชานชาลาติดกันได้เลย บางทีรถไฟก็จอดรออยู่ก่อนแล้ว
    — เช็คตารางรถไฟ http://hyperdia.com/
    3 นั่งบัสจากสถานี OKAYAMA มาลงสถานี UNO PORT (ค่อนข้างใช้เวลา)จากสถานี UNO,เดินออกจากสถานีแล้วเลี้ยวขวามาจนเจอทางแยกเล็กๆ ให้เลี้ยวซ้าย ตรงไปเรื่อยๆ จะเจอทางข้ามเพื่อไปยังท่าเรือ UNO

    〰 TO NAOSHIMA ISLAND
    การซื้อตั๋ว,
    1 ซื้อจากตู้กดบัตรอัตโนมัติ — มีเฉพาะภาษาญี่ปุ่น จำไม่ได้ว่ามีให้เลือกอะไรบ้าง แรกสุดน่าจะให้เลือกตั๋วเที่ยวเดียวหรือไป-กลับ จากนั้นก็เลือกจำนวนแล้วเครื่องก็จะบอกราคาสุทธิให้เราใส่เงินเข้าไปตามปกติ
    2 ซื้อกับเจ้าหน้าที่ที่ตู้กระจก
    — ตารางการเดินเรือ http://benesse-artsite.jp/en/access/

    〰 การเดินทางภายในเกาะ
    1 รถบัส — ตารางรถบัส http://www.naoshima.net/wp-content/uploads/2015/11/bus_en.pdf
    บริเวณ BENESSE HOUSE AREA มี SHUTTLE BUS บริการให้ฟรี — ตารางการเดินรถ FRRE SHUTTLE BUS http://benesse-artsite.jp/en/uploads/access/BASN_bus_timetable_20170301-_e.pdf
    2 จักรยาน — ข้อมูลร้านเช่าจักรยานภายในเกาะ http://www.naoshima.net/en/access/rental/

    〰 CHICHU ART MUSEUM
    ค่าเข้าชม 2,060 เยน
    — เช็ควันเปิดทำการ http://benesse-artsite.jp/en/calendar/
    — จุดจำหน่ายบัตรและจุดจอดรถจักรยานอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์

    〰 LEE UFAN MUSEUM
    ค่าเข้าชม 1,030 เยน
     เช็ควันเปิดทำการ http://benesse-artsite.jp/en/calendar/

    〰 BENESSE HOUSE MUSEUM
    ค่าเข้าชม 1,030 เยน
     เช็ควันเปิดทำการ http://benesse-artsite.jp/en/calendar/

    〰 ANDO MUSEUM
    ค่าเข้าชม 510 เยน
    — เช็ควันเปิดทำการ http://benesse-artsite.jp/en/calendar/

    〰 ART HOUSE PROJECT
    ค่าเข้าชม 1,030เยน
    — เช็ควันเปิดทำการ http://benesse-artsite.jp/en/calendar/
    จุดจำหน่ายบัตร,
    1 MINAMIDERA
    2 ร้านขายบุหรี่ตรงข้ามป้ายรถบัส NOKYO-MAE และ HONMURA LOUNGE&ARCHIVE
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
WIDEWORLDtinyme (@cottonPanitta)
จะไปปี 2018 ค่ะ เผื่อลองตามรอย ขอบคุณค่ะ :)
mrssomine (@mrssomine)
เหมือนได้ปั่นจักรยานตามหลัง เหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลย ป.ล.รูปสวยมากๆอีกด้วย รู้สึกเหมือนโดนเชิญชวนให้ตามรอยมากๆ ฮือ