เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
2022_internship.zipLooktan Looktann
1



  •       

            สวัสดีค่ะ เราชื่อ ลูกตาล เป็นนิสิตเอกวรรณกรรมสำหรับเด็ก ตอนนี้เราฝึกงานอยู่ที่ห้องสมุดศิลปะ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หรือที่ทุกคนเรียกกันว่าหอศิลป์ แต่ก่อนที่เข้าเรื่อง เราขอย้อนกลับไปในส่วนของเรื่องราวการหาที่ฝึกงานก่อน

             ตั้งแต่เปิดเทอม 2 มา เราก็เริ่มคิดเรื่องหาที่ฝึกงานอยู่เรื่อย ๆ แล้วเราก็ตัดสินใจว่าจะลองสมัครสำนักพิมพ์ดู เพราะอยากลองทำงานเกี่ยวกับหนังสือนิทาน เรายื่นสมัครที่แรกไปแล้วผลออกมาว่าผ่าน แต่ต้องสัมภาษณ์อีกที ซึ่งเราคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้กดดันมาก เราทำอะไรแบบนี้ได้ไม่ดีเลย พูดไม่เก่งและคิดไม่ค่อยทัน และแล้วผลก็ออกมาว่าไม่ผ่าน จากนั้นเราเลยยื่นสมัครสำนักพิมพ์ไปอีกสองที่ แต่ทางสำนักพิมพ์ก็เงียบหายไป เราเลยลองกลับมาคิดอีกครั้งว่าจริง ๆ แล้วเรายังอยากทำอยู่ไหม สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าจะยื่นที่ห้องสมุดศิลปะเพราะคิดว่าคงจะได้ลองทำงานที่หลากหลาย








    24-28 

             สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์แรกที่เริ่มทำงาน วันแรกที่มาถึงก็ได้เจอกับ พี่ผึ้ง ซึ่งจะเป็นพี่เลี้ยงเราตลอดการฝึกงานสองเดือนกว่า ๆ นี้ พี่ผึ้งแนะนำให้รู้จักกับส่วนต่าง ๆ ของห้องสมุดและสิ่งที่ห้องสมุดทำ วันแรกยังไม่มีอะไรมาก พี่ผึ้งให้คิดกิจกรรมที่จะทำในส่วนของ kid’s corner ซึ่งเราคิดกิจกรรมศิลปะตัดแปะไป แต่ปัญหาก็มีอยู่ว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็ก ๆ เปิดเทอมกันแล้ว ตอนเช้าจนถึงบ่ายเลยไม่มีใครเข้ามาใช้ห้องสมุด งานของเราจริง ๆ เลยเหมือนจะเริ่มตอนสี่โมงเสียมากกว่า เพราะหลังเลิกเรียนจะมีเด็ก ๆ เข้ามาที่ห้องสมุดเป็นประจำ หน้าที่ของเราคือหาอะไรให้เด็ก ๆ ทำ แต่พอมาเจอเด็กจริง ๆ กลับกลายเป็นว่าต้องตามใจพวกเขามากกว่า เพราะช่วงเวลาหลังเลิกเรียนพวกเขาจะอยากทำอะไรที่อยากทำ แต่ก็ยังเป็นกิจกรรมที่วนเวียนอยู่กับการวาดรูป ระบายสี พับกระดาษ และสิ่งที่เด็ก ๆ ชอบที่สุดคงจะเป็นการดูหนังสือ (ใช่แล้ว) ต้องใช้คำว่าดูหนังสือ เพราะน้อง ๆ จะเลือกหนังสือเล่มที่ชอบมาเปิดดูพร้อมกัน เป็นเล่มที่มีภาพเยอะ ๆ ซึ่งหนังสือส่วนใหญ่ที่หยิบมาก็จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับสัตว์และวิทยาศาสตร์ โชคดีหน่อยที่เราชอบวิทยาศาสตร์แล้วก็เรื่องสัตว์มาก ๆ เวลาน้องถามอะไรเราก็เลยสามารถอธิบายให้ฟังได้ ซึ่งน้อง ๆ ก็ชอบฟังมาก (แล้วเราก็ชอบเล่ามาก) ตอนนี้เราเลยเหมือนได้เพื่อนคุยใหม่อีก 3 คนเลย

                 วันต่อมาห้องสมุดยังเงียบเหงาเหมือนเดิม วันนี้เราตั้งใจว่าจะทำแผ่นระบายสีใหม่ไปเติมไว้ในกล่องให้เด็ก ๆ ที่แวะเวียนเข้ามา แล้วก็ได้เจอเพื่อนจากอีกมหาวิทยาลัยที่มาฝึกงานด้วยกันอีก 3 คน ส่วนช่วงเย็นก็เหมือนเดิม คอยดูหนังสือ อ่านหนังสือ วาดรูปกับเด็ก ๆ ตั้งใจว่าจะให้น้อง ๆ ได้ลองอ่านหนังสือเยอะ ๆ เพราะแต่ละคนยังอ่านหนังสือกันไม่ค่อยคล่องเลย แล้วก็อยากให้น้องได้เรียนรู้การทำอะไรแบบใจเย็น ๆ และใช้สมาธิดู เพราะจากที่สังเกตมา เด็ก ๆ จะทำอะไรแบบรีบร้อนมาก นั่งอยู่นิ่ง ๆ ลงมือทำได้ไม่นานก็จะไปกระโดดเล่น พอผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ได้ดั่งใจ เขาก็จะพูดให้เราทำให้เลยทันที เราเลยอยากให้เขาลองฝึกดูใหม่ เช่น ถ้าพับกระดาษออกมาได้ไม่สวย เราก็จะให้เขาลองพับใหม่แต่แรกและคอยแนะนำให้

                  มาถึงวันที่สาม เราตัดสินใจปรึกษาพี่ผึ้งว่าขอทำงานออนไซต์ผสมกับ work from home เพราะเรื่องค่าใช้จ่ายที่เยอะในแต่ละวัน ด้วยความที่บ้านอยู่ไกลจากที่หอศิลป์มาก ซึ่งพี่ผึ้งก็อนุญาต และให้เราคิดกิจกรรมที่จะทำให้ kid’s corner เพื่อเอาไปทำตอนที่ work from home เราจึงเสนอไป 5 อย่าง 
     1. ทำสื่อผ้าให้เด็ก ๆ ที่มาใช้ห้องสมุดเล่น 
     2. ทำเกมบันไดงู เพราะพี่ผึ้งเคยบอกว่าอยากให้ทำให้เด็ก ๆ เล่น เราจึงนำมาคิดต่อและเสนอไปว่าทำให้ดี ๆ ไปเลยจะได้เก็บไว้เล่นอีกนาน ๆ 
     3. นิทานแอนิเมชัน เกี่ยวกับเรื่องครอบครัว เชื่อมกับตีม podcast ของห้องสมุด
    4. คลิปวิดีโอ DIY ศิลปะ
    5. คลิปวิดีโอ DIY ที่คั่นหนังสือจากกระดาษ

                วันที่สี่ วันนี้เป็นวันที่ห้องสมุดจัดกิจกรรมฉายนิทานกลางแปลงและกิจกรรมประดิษฐ์สวนขวดแก้ว เราได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรคู่กับเพื่อนฝึกงานอีกคนหนึ่ง เรากับการพูดเป็นอะไรที่ไม่ถูกกันมาก ๆ เราใช้ชีวิตแบบมีแผนตลอด เพราะการทำอะไรแบบปุบปับมันทำให้คิดไม่ทัน แต่พอมาเจอสถานการณ์นี้ สุดท้ายเราก็ต้องทำให้ได้ ซึ่งกิจกรรมจัดทั้งหมดสามรอบ เราก็พูดทั้งหมดสามรอบ และระหว่างประดิษฐ์สวนขวดแก้วก็คอยช่วยน้อง ๆ ที่มาร่วมกิจกรรมตลอดทั้งบ่ายจนถึงเย็น 

















             การมาฝึกงานในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เจอกับเด็กจริง ๆ (ถึงแม้ว่าจะมีน้องสาว แต่เด็กทุกคนก็ไม่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ!) ผ่านมาแค่หนึ่งสัปดาห์แต่ได้เจอพี่ ๆ เพื่อน ๆ เด็ก ๆ เยอะแยะมากสำหรับคนติดบ้านอย่างเรา ยอมรับเลยว่าก่อนมาฝึกงานเรากลัวมาก กลัวการเจอกับคนใหม่ ๆ เราชอบอยู่บ้านมากกว่าออกไปข้างนอก เราชอบอยู่คนเดียวมากกว่าเจอกับใครใหม่ ๆ เราเป็นคนพลังงานหมดไวมากพอต้องออกไปใช้ชีวิตข้างนอกบ้าน เป็นข้อเสียที่แก้ไม่ได้เลยจริง ๆ T-T เพราะพอร่างกายเราเหนื่อยมาก หัวก็จะเริ่มว่างเปล่า พูดไม่ไหวและไม่อยากพูดเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าพอโตขึ้นมันก็ต้องเจอโลกข้างนอกอีกเยอะ ต้องเรียนรู้ ต้องอดทน จนมาถึงตรงนี้ เราหวังว่าเราจะผ่านมันไปได้ด้วยดี เพราะเราเป็นพี่ลูกตาลนี่นา







Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in