เราเป็นคนนึงที่ถึงตอนนี้ยังไม่มีความฝัน เลยลองหาหนังหรือแรงบันดาลใจที่จะหาฝันของตัวเองให้เจอ พอดูหนังเรื่องนี้จบ ก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้ฝัน แต่บอกถึงวิธีการรับมือกับความฝัน เราจะอยู่ในโลกแห่งความฝันที่เรายึดมั่น หรือเราจะอยู่ในโลกของความเป็นจริงที่ผสมความฝัน สองข้อที่บอกไปมีความแตกต่างกันอยู่
โลกแห่งความฝันที่เรายึดมั่น นั้นคือการที่เราทำสิ่งที่เราฝัน 100% ปราศจากแรงกดดันจากสังคมภายนอก ปราศจากความคิดเรื่อง จะได้เงินเท่าไหร แค่ทำตามฝันแล้วมีความสุข แต่จะอยู่รอดไหมนั้นก็อีกเรื่อง
ส่วน
โลกของความเป็นจริงที่ผสมความฝัน เป็นโลกที่เราต้องปรับฝันของเราให้เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง เราอาจจะไม่ชอบบางอย่างที่มากับฝันแบบนี้ อย่างเซบาสเตียนตัวละครในเรื่องที่ต้องการเปิดคลับ ที่มีตัวเองเล่นดนตรีแจ๊ส นั้นคือฝันของเขาแต่ในความเป็นจริง เขาได้ทำงานในวง Band ต้องยิ้มให้กล้องเมื่อถ่าย Photoshoot เล่นดนตรีประเภทที่เขาไม่ได้ชอบแต่ก็ยังมีความฝันของเขาปนอยู่ นั้นคือเขาได้เล่นดนตรี แต่ดนตรีที่เขาชอบคือ Jazz เพลงที่เขาเล่นไม่ใช่ Jazz 100% แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขามีรายได้ อยู่ได้ แต่ต้องแลกกับครึ่งของฝัน และ เวลาที่หายไป
จนทำให้ทะเลาะกับมีอา แฟนสาวของเขา
ประโยคที่เจ็บปวดที่สุดในหนังเรื่องนี้สำหรับเราคือ ตอนที่เซบาสบอกว่า
"คุณอยากให้ผมกลับไปเป็นแบบเดิม(ตอนเล่นเพลงJazzไส้แห้ง)เพื่อที่มันจะทำให้คุณดูเหนือกว่าผมนะสิ"
นั้นทำให้เรา
เจ็บปวดผ่านตัวละคร มีอา
เธอไม่ได้ต้องการแบบนั้นแน่นอน
เธอแค่ต้องการให้เซบาสนึกถึง ความฝันที่เขายึดมั่นตั้งแต่แรกต่างหาก
เมื่อนักฝันทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกันชีวิตย่อมไม่ราบรื่นเสมอไป เราชอบที่หนังเรื่องนี้สื่อแบบนั้น เราทุกคนล้วนเป็นนักฝัน และระหว่างทางที่เราฝันเราย่อมเจอนักฝันเช่นกัน เหมือนที่มีอาและเซบาสได้เจอกัน
หนังเรื่องนี้เราชอบที่ได้เห็นเอ็มม่าแสดงแบบมิวสิคัล เธอทำได้ทุกอย่างจริงๆคนเก่ง เราชอบฉากที่สองคนเต้นกันข้างหลังท้องฟ้าสีม่วง มันเป็นภาพที่สวยมากๆส่วนการเต้นของทั้งสองคนก็ยอดเยี่ยมนอกจากนั้นเรื่องนี้เป็นหนังที่ผสมความ วินเทจ และ ปัจจุบันได้สวยงาม เราชอบเสพภาพอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
หนังเรื่องนี้นอกจาก Visual Fashion แล้ว Soundtrack ก็สุดยอด
เพลงทั้งหมดในหนังนั้นอาจทำให้คุณหลงรัก Jazz ก็เป็นได้
- จากคนไร้ฝัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in