เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ว่ายพระจันทร์thisisnothing
ค่อน
  • 13


    ชากลับมา — ฉันเห็นเธออีกครั้ง — ก็เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า


    ตั้งแต่เธอหายไป


    อะไรบางอย่างในตัวฉันเปิดออกอีกครั้ง สมองฉันสะดุดกึก รู้สึกเหมือนร่างกายเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง ความรู้สึกบางอย่างที่ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไรโถมเข้าใส่ กลบให้เสียงแวดล้อมทุกอย่างกลายเป็นคลื่นรบกวน


    ตัวฉันชาไปหมด แต่เมื่อเธอหันมาเห็นฉัน — ทำไมฉันไม่ย้ายขบวนรถที่ขึ้นนะ — อันที่จริงฉันเองก็รู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว


    ฉันยิ้มให้เธอ


    ทุกอย่างในหัวเกิดขึ้นชั่วลมหายใจวิ่งเข้าออกหนึ่งครั้ง ชาพึมพำคำขอโทษ พลางเบียดคนมากมายเข้ามาหาฉัน


    ฉันอยากจะโกรธเธอ — ไร้เหตุผล ฉันรู้ดี — แต่เมื่อชาเอ่ยชื่อฉัน ก็เหมือนมีคนกดให้วิดีโอดำเนินต่อ หลังจากมีใครไปกดหยุดเอาไว้


    ความรู้สึกต่าง ๆ ที่พรั่งพรูเข้ามาในทีแรกเมื่อเห็นหน้า รวมถึงถ้อยคำตัดพ้อมากมายก็ถูกดันเข้าไปส่วนในสุดของลิ้นชักชั้นล่าง ทับด้วยข้าวของทั้งหลายที่ไร้ประโยชน์แต่ก็ยังเก็บเอาไว้เพราะคิดว่าวันหนึ่งคงได้ใช้


    ชาเล่าให้ฟังว่าเธอไปอเมริกามา ความจำเป็นของอาชีพ และบริษัทแม่ก็ตั้งอยู่ที่เมืองใหญ่ติดมหาสมุทรทางด้านตะวันตกของทวีป


    ชามีของฝากมาให้ฉันด้วย


    ของในถุงกระดาษที่ชายื่นให้คือชาพีช เธอเล่าว่ามาจากร้านชื่อดังในเมือง และย้ำแล้วย้ำอีกกับฉันว่าต้องดื่มให้ได้


    ฉันยิ้ม รับคำเธอ ให้สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าต้องดื่มแน่นอนอยู่แล้ว และฟังเธอเล่าเรื่องน่าตื่นเต้นมากมายจากแดนไกล สายตาเธอแพรวพราว ฉันรู้สึกว่าแย่แล้วสิเรา


    คำถามที่ผุดขึ้นในสมองโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่บ่อยครั้งหวนกลับมาอีก


    ฉันกลืนมันลงไป และบอกให้ตัวเองลืมเสีย ไร้ประโยชน์กับการตั้งคำถามที่ตัวเองจะไม่มีวันถาม และเพราะแบบนั้น ก็คงไม่มีวันรู้คำตอบ




    14


    ฉันนั่งอยู่ในห้อง กลิ่นพีชตลบอบอวลไปทั่ว เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ฉันก็นึกถึงที. เอส. เอลเลียตขึ้นมา


    บทกลอนของเขาช่างแทงใจดำเสียเหลือเกิน


    ฉันจิบชา หายใจเข้าลึก ๆ สูดความหวานละมุนเข้าร่างกาย ตอนนี้มืดแล้ว แต่ฉันยังฝันกลางวันถึงเรือนผมดำขลับ และริมฝีปากสีส้มแดง


    ฉันไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เธอตราตรึงในทุกโสตประสาท ฉันกับเธอเป็นเพียงคนที่พบหน้ากันบ่อยครั้งบนยานพาหนะสาธารณะ อาจจะเป็นนัยน์ตาเศร้าสร้อยของเธอ หรือเสียงหวานเป็นกันเอง หรือไม่ก็วิธีการที่เธอสัมผัสฉัน


    หรืออาจจะเป็นทั้งหมดทั้งปวงรวมกัน


    ฉันพร่ำเพ้อถึงเธอจนละอายใจ สมเพชความคลั่งไคล้ของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็โหยหาเรื่องราวต่าง ๆ นานาที่ชาเล่าให้ฟังอย่างกระตือรือร้น จนฉันอดรู้สึกถึงอารมณ์ร่วมมากมายไปพร้อมกับเธอด้วยไม่ได้ คนเรามันก็ต้องโอดครวญกับอะไรสักอย่างกันบ้างใช่ไหมล่ะ ฉันเองก็คนเหมือนกัน


    ชาหยดสุดท้ายจรดริมฝีปาก


    ความคิดหวนไปยังวันแรกที่เดินถือถุงชาอีกชนิดกลับบ้าน และความรู้สึกมากมายที่ตามมาหลังจากนั้น เจ็บปวด ขื่นขม จะบอกว่ามันหายไปแล้วทั้งหมดก็คงเป็นการโกหก ความจริงฉันก็เป็นคนยึดติดและดื้อรั้นพอสมควรเหมือนกัน


    แต่หากเสียงนั้นเรียกชื่อฉันอีกครั้ง ฉันก็พร้อมจะโยนทุกอย่างทิ้งไว้ข้างทาง




    15


    วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่เต็มสถานีรถไฟฟ้าใจกลางเมือง ฉันมองแสงแดดร้อนโลมเลียผิวหนังที่โผล่พ้นแขนเสื้อสีเขียวแก่ของฉันออกมา สายตามุ่งเป้าไปยังห้างใหญ่ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำสมใจ


    ฉันสาวเท้ารวดเร็วไปยังที่หมายที่ไปประจำ ร้านหนังสือยักษ์ใหญ่ที่นำเข้าหนังสือจากต่างประเทศ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน รู้สึกผิดนิดหน่อยกับกองหนังสือที่บ้านที่ยังไม่ได้แตะเลยหลังจากหิ้วกลับมาวางไว้ด้วยกันบนชั้นหนังสือข้างหน้าต่าง แต่เอาน่า อย่างน้อยก็ขอให้ได้มองดูสักหน่อยเถอะว่ามีอะไรใหม่บ้าง


    ฉันออกจากบ้านในวันสุดสัปดาห์นาน ๆ ครั้ง หากขยันเป็นพิเศษ แผนการวันนี้คือช้อปปิ้งหนังสือ กินข้าวเที่ยง และดูหนัง จากนั้นคงเดินเล่นดูของน่ารัก ๆ ในละแวก และฉันก็รู้สึกว่าตัวเองต้องตอบแทนชาด้วยอะไรสักอย่าง ในเมื่อเธออุตส่าห์หาอะไรมาฝากฉันถึงสองครั้งสองคราแล้ว


    ระหว่างฉันกำลังไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนปกหลังหนังสือไซไฟเล่มหนึ่งอยู่นั่นเอง-


    “อ้าว” เสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างตัวฉัน


    ฉันละสายตาจากตัวหนังสือทันที “เอ๊ะ”


    “โห” เธอตาโต พลางหัวเราะ “โลกกลมสุด ๆ”


    ฉันยิ้มกว้าง ไม่อยากจะเชื่อกับความน่าจะเป็นครั้งนี้ “มาได้ไงเนี่ย”


    “ก็ทางเดียวกับที่แอมมานั่นแหละ” ชายื่นฝรั่งชิ้นสุดท้ายในถุงที่เธอหิ้วมาด้วยให้ฉัน “กินไหม”


    “เราขึ้นบันไดเลื่อนมานะ” ฉันพึมพำขอบคุณเธอ แล้วรับฝรั่งมากินแก้เก้อ


    “อ้าว แต่เราขึ้นลิฟต์มา”


    “นั่นไง คนละทางแล้ว มั่วนี่นา” ฉันส่งไม้จิ้มฝรั่งคืนให้เธอ


    “เราให้กินแล้วยังต้องทิ้งเองอีกเหรอ” เธอเบะปากน่ารัก วันนี้ชามาในชุดเสื้อยืดขาวขลิบดำ กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล พร้อมแต่งหน้าเบาบาง แก้มใสแต้มสีส้มอ่อน ริมฝีปากสีอิฐดูเป็นธรรมชาติ แถมวันนี้ยังมัดผมเป็นจุกยุ่ง ๆ ที่วิเคราะห์แล้วคงจงใจให้เป็นอย่างนั้น


    “งั้นเอามา” ฉันแบมือ “เดี๋ยวเราทิ้งเอง”


    “บ้า เราล้อเล่น”


    “แต่เราจะทิ้งให้จริง เอามาสิ”


    “ทำไม แอมพกถังขยะมาด้วยเหรอ” ว่าจบก็วางถุงเปล่าลงมาในมือฉัน


    “ถังขยะข้างบันไดเลื่อนนู่นสิ” ฉันชี้ ไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าถูกทิศหรือเปล่า


    ชาพยักหน้าไปกับฉัน “นี่เรื่องอะไรอะ จะซื้อเหรอ”


    “อืม” ฉันกวาดสายตาอ่านคำเปรยอีกครั้ง แล้ววางหนังสือลงบนชั้น “ไม่หรอก แค่คิดว่าน่าสนใจ”


    ชาหยิบมันขึ้นมาดูบ้าง “น่าสนใจไม่พอเหรอ”


    “คงอย่างนั้น”


    เธอวางหนังสือลงที่เดิม




    16


    กลายเป็นว่าเรายืนคุยเรื่องหนังสือกันจนเมื่อยขา สุดท้ายเราทั้งคู่เดินออกมาจากร้านตัวเปล่า แล้วตกลงว่าจะไปหาอะไรกินด้วยกัน ฉันคิดไม่ตกว่าจะกินอะไรดี ถ้ามีตัวคนเดียวก็คงเดินเข้าร้านอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องคิดมาก แต่พอมีกันสองคน สมองก็ดันคิดว่ามื้อนี้ต้องพิเศษกว่าปกติขึ้นมาทันที


    ฉันเล่าเรื่องนี้ให้ชาฟัง เธอเองก็เห็นด้วย “ก็มีสองคนนี่นา ต้องใช้โอกาสนี้กินร้านที่ปกติไม่กล้าเข้าคนเดียว” ฟังดูมีเหตุผลพอสมควรทีเดียว


    เราเดินมาหยุดที่หน้าร้านอาหารเม็กซิกัน หลังจากปรึกษากันนานสองนาน “ฉันอยากลองกินมานานแล้ว”


    “เข้าเลย” ชาจูงมือฉัน “เดี๋ยวคิดมากแล้วเปลี่ยนใจอีก”


    ฉันยิ้ม ส่วนชาหัวเราะราวจะบอกว่าตัวเองรู้ทัน เราเดินเข้าร้าน ส่งสัญญาณบอกบริกรว่ามากันสองคนเท่านั้น เขาพาเราไปนั่งที่โต๊ะ ก่อนจะส่งรายการอาหารให้เราทั้งคู่ ไม่นานนักก็สั่งอาหาร ตกลงว่าจะแบ่งของตัวเองให้อีกฝ่ายกินเพื่อความคุ้มค่าของมื้ออาหารสำหรับสองคนมื้อนี้


    เรานั่งคุยเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยรออาหารมา ชาเป็นคนเล่าเรื่องเก่ง มีเสน่ห์ ฉันฟังแล้วก็อยากฟังต่อไปเรื่อย ๆ เรื่องไปเที่ยว เรื่องนักร้องที่ชอบ เรื่องเครื่องสำอาง เรื่อยมาจนเรื่องประเด็นสังคมในตอนนั้น ฉันจำไม่ได้ว่าเราวกเข้าเรื่องสิทธิสัตว์และการกินอาหารมังสวิรัติได้อย่างไร แต่สุดท้ายก็จบด้วยการตักเนื้อไก่เข้าปากกันคนละคำอย่างเอร็ดอร่อย


    หลังจากท้องอิ่ม ชาถามฉันว่าจากนี้มีแผนจะทำอะไรต่อ ฉันจึงบอกไปว่าอยากดูหนังแอ็กชันไซไฟอยู่เรื่องหนึ่ง


    “เราก็อยากดูหนังกับแอม” เธอว่า “แต่เรื่องนั้นเราดูแล้ว”


    “อ้าว” ฉันเองก็อยากดูกับชา “งั้นมีเรื่องไหนที่ชาอยากดูไหม”


    “ไม่เป็นไรหรอก แอมไปดูเรื่องที่แอมอยากดูเถอะ”


    แต่ฉันยังไม่อยากจากเธอตอนนี้ “เรื่องนี้ไว้เราดูคนเดียวก็ได้ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว หาเรื่องที่ดูด้วยกันได้ดีกว่า” ฉันไม่รู้ว่า ‘ไหน ๆ ก็ไหน ๆ’ ของฉันหมายถึงอะไร อาจจะรู้ แต่ก็ไม่อยากคิดเท่าไรนัก


    ชายิ้ม แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดูรอบหนังที่กำลังฉายอยู่ ก่อนจะหันหน้าจอมาให้ฉันดู “เรื่องนี้ไหม”


    “เอ่อ” ฉันกะพริบตาปริบ ๆ “เรากลัวผี”


    “เฮ้ย” สายตาชาดูมุ่งมั่นขึ้นมาทันที “เรื่องนี้ไม่ตุ้งแช่”


    ฉันส่ายหน้า “ไม่ตุ้งแช่ก็กลัวอยู่ดี”


    “ไม่น่ากลัวหรอก” ชาพยักหน้า “นี่ไงมีเราอยู่ด้วย”


    ฉันหัวเราะพรืด “แล้วชาจะตามเรากลับบ้านด้วยเหรอไง”


    “ถ้าแอมให้เราก็ไปนะ” เธอยิ้มยิงฟัน


    “หยุดก่อน อย่ามาหลอกกัน เราไม่ดูหรอก” ฉันปฏิเสธเป็นมั่นเป็นเหมาะ


    แต่ในที่สุดรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเข้ามานั่งดูหนังเขย่าขวัญสั่นประสาทอยู่ข้าง ๆ คอหนังสยองขวัญตัวยง ฉันบอกแล้วว่าชาน่ะพูดเก่งจริง ๆ ไม่ใช่เพราะเธอบอกว่า ‘เราจะจับมือแอมไว้ ไม่ต้องห่วง’ แน่นอน (จริง ๆ ฉันเองก็อยากดูหนังเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันน่า)


    หนังเรื่องนั้นไม่มีจังหวะ ‘ตุ้งแช่’ อย่างที่ชาบอก อีกทั้งไม่ได้น่ากลัวเท่าที่ฉันคิด แต่กลับทำให้รู้สึกหม่น ๆ เทา ๆ เสียมากกว่า สายตาและถ้อยคำของชายหนุ่มในฉากสุดท้ายทำฉันขอบตาร้อนผ่าวอย่างน่าอาย


    ชามองหน้าฉันตอนเราเดินจูงมือออกมาจากโรงภาพยนตร์ด้วยกัน “หน้าเหมือนหมาหงอย”


    “ก็มันเศร้า”


    “เป็นไง ชอบไหม”


    “อืม ชอบนะ”


    “ฉันชอบหนังพวกนี้มากเลยนะ” เธอมองไปทางอื่น แววตาเศร้าสร้อยนั้นยังติดอยู่ในหัวฉันเสมอมา


    “อืม พอจะเข้าใจแล้ว”


    เธอบีบมือฉัน น้ำใส ๆ ในดวงตาสั่นระริก “เรื่องผีน่ะ เต็มไปด้วยหัวใจที่แตกสลายจริง ๆ ว่าไหม”


    เป็นฉันเองที่ร้องไห้ออกมาในวันนั้น






เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in