เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ว่ายพระจันทร์thisisnothing
เสี้ยว
  • 5

    การที่อยู่ ๆ จะมาเปิดปากคุยกับคนแปลกหน้าบนยานพาหนะสาธารณะนี่ก็ไม่ใช่เรื่องปกตินักสำหรับฉัน แต่เพราะอะไรบางอย่าง — ฟังดูน่าสงสัย แต่อันที่จริงฉันอาจแค่ขี้เกียจสรรหาถ้อยคำ — วันนี้ฉันเป็นฝ่ายเอ่ยทักเธอก่อน

    "สวัสดีค่ะ"

    ดวงตาชั้นเดียวของเธอสวย เย็น ขนตาเป็นแพหนา ฉันอยากบรรจงแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าให้เธอ แต่เสียอย่างเดียว — ไม่สิ สองอย่าง

    1. เราไม่รู้จักกัน และ 2. ฉันแต่งหน้าไม่เป็น

    ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหนก็ชวนให้คนฟัง (ฉัน และคุณ) ต้องกลอกตามองบน

    แต่เข้าใจใช่ไหม ความรู้สึกนั้น เวลาเห็นของที่งดงามมากเสียจนอยากให้เป็นผลงานจากปลายนิ้วตนเอง

    ฉันนี่เพ้อไปไกลใหญ่แล้ว

    เธอยิ้ม สุภาพ แล้วหลุบตาลงมองเวลาที่ข้อมือ (สาย หรือกระอักกระอ่วน) มีผู้หญิงวัยกลางคนยืนคั่นระหว่างเรา

    "ไปก่อนนะ" เธอพยักหน้าให้ฉันหนึ่งที

    ฉันโบกมือให้เรือนผมสีนิล



    6

    เกิดอะไรขึ้นกันนะ

    ฉันนึกสงสัยความเป็นไปได้ที่เราจะได้เจอหน้ากันบ่อย ๆ ความบังเอิญเปลี่ยนไปเป็นความตั้งใจแล้วหรือเปล่า

    สำหรับฉัน คำตอบนั้นชัดเจนมาตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ฉันมาดมั่นว่าต้องขึ้นจากตำแหน่งและเวลาเดิมแล้ว

    ฉันมองเธอ — ผู้กำลังก้าวขึ้นรถมา ตำแหน่งเดิม เวลาเดิม — แล้วกลืนคำถามชวนอึดอัดลงคอไป "สวัสดี"

    ถ้าไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน ก็คงไม่เห็นหน้ากันบ่อยขนาดนี้หรอกใช่ไหม

    "เป็นไงบ้าง" เธอว่า "เมื่อวานฝนตกหนักใช่ไหม" เสื้อเชิ้ตสีเขียวแก่น่ารักเข้ากับริมฝีปากแดง ๆ ของเธอ

    "ใช่ กว่าจะถึงบ้าน" ฉันถอนใจ "ทำเอาหมดกำลังใจในการพยายามกลับบ้านเร็วไปเลย"

    เธอหัวเราะ ตายิ้ม "นี่ต้องนั่งรถต่ออีกใช่ไหมเนี่ย"

    "ใช่" ฉันครวญ "นี่ไม่ต้องนั่งต่อเหรอ"

    "คอนโดเราติดรถไฟฟ้า"

    "โห ดีจัง"

    "ก็ดีล่ะมั้ง"

    ฉันเอียงคอ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ สัมผัสได้ถึงเรื่องราวเบื้องหลังคำตอบนั้น แต่รู้สึกว่าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะถามก้าวก่ายได้ขนาดนั้น แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นชื่อภาษาอังกฤษบนแฟ้มในมือเธอ

    ว...ริส...ร-

    "นี่ไม่ใช่ชื่อเรานะ" เธอบอกฉัน อมยิ้มเหมือนรู้ทัน ส่วนสีหน้าฉันก็คงฟ้องชัดเจนว่าโดนจับได้

    แย่แล้วฉัน "ขอโทษ..." เธอยังยิ้มอยู่ แต่ใครจะรู้ว่าที่จริงคิดยังไง

    "ไม่เป็นไร ๆ" เธอหลุบตาลง ดูลังเล ก่อนดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยจะกลับมามองฉันอีกครั้ง "เราชื่อชา"

    ฉันตาโต ใจเต้นแรง "เราชื่อแอม"

    "สวัสดี แอม" รถไฟฟ้าชะลอตัวเทียบชานชาลา

    "สวัสดี ชา" ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ฉันโบกมือให้เธอ — ชา

    "บ๊ายบาย" ชาพูดแผ่วเบา

    ฉันยิ้มเหมือนคนบ้าไปจนถึงที่ทำงาน



    ("ถูกหวยเหรอ" เพื่อนโต๊ะข้าง ๆ ถาม

    "เปล่า")



    7

    "พ่อแม่ชอบดื่มชาเหรอ"

    "อืม พ่อเราสะสมใบชา"

    "โอ้โห แล้วแบบนี้เบื่อชาไหม"

    "ก็เบื่อบ้าง เบื่อชาสมุนไพรกลิ่นฉุน ๆ น่ะ พ่อชอบให้เราดื่ม บอกว่าดีต่อสุขภาพ"

    "แล้วดีจริงไหม"

    "ก็ไม่รู้ แต่เราชอบชาผลไม้ หอมแบบหวาน ๆ ดี แล้วแอมชอบชาแบบไหน"

    คำตอบที่บอกไม่ได้ผุดขึ้นมาในหัว ฉันยิ้มแป้นให้ชา "เราอยู่ทีมกาแฟ"

    "ขมจะตาย"

    "เฮ้ย หอมออก"

    เธอส่ายศีรษะ "ไม่ได้การแล้ว"

    ฉันหัวเราะ

    "แล้วทำไมชื่อแอม"

    "มาจากแอมแปร์" ชาทำหน้า 'โห' ให้ฉัน "พ่อเราจบด้านไฟฟ้ามา"

    "เท่"

    "พ่อเราบ้าไฟฟ้ามาก แต่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย"

    ชามองฉัน "แล้วแอมบ้าอะไร"

    "อืม" ฉันนึก "คนเราต้องบ้าอะไรสักอย่างด้วยเหรอ"

    เธอเงียบไป "ไม่ต้องหรอก แต่ถ้ามีก็ดีนะ"

    รถไฟฟ้าถึงที่หมาย เราลากันทั้งยังค้างคา คำถามและคำตอบของชาอยู่กับฉันไปตลอดทั้งวัน



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in