ฉันถามหาเวลาที่จางหาย ไม่เคยคิดว่าเวลามีจุดสิ้นสุด ตราบเท่าที่ตัวเลขแปรผันทุกอย่างก็ดำเนินเรื่อยไป แต่เมื่อได้ย้อนนึกก็ค้นพบว่าเวลานั้นมีจุดสิ้นสุดในตัวมันเอง ฉันคิดถึงหอนาฬิกาหน้ามหาลัยที่ฉันไม่เคยสนใจจะแหงนมองเวลาของมัน ไม่เคยแม้แยแสว่ามันมีตัวตน ฝนตกแดดออกมีม๊อบก่อระเบิดถึงยังไงมันก็เป็นแค่อนุสรณ์ที่ไร้ค่าเป็นเพียงแค่จุดนัดพบของผู้คนรอบกาย ผลิ้วมาแล้วผ่านไปไม่เคยมีใครให้ความสำคัญ
ตราบจนเวลาข้ามหัวเรา ทุกคนกลายเป็นหุ่นยนทางการศึกษา โรงงานมนุษย์ขนาดมหึมาที่บ่มเพาะความกลวงเปล่าในจิตใจ บางคนอาจได้มิตร บางคนมีอำนาจทางปัญญา แต่ฉันได้เพียงความรู้สึกที่จืดจางของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันช่างกัดกร่อนความสุขมากล้นในวัยเด็กจนเหือดหาย ฉันจำไม่ได้อีกแล้วว่าเคยเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้น ผู้เคยความสุขทุกวันแม้เรื่องเล็กน้อยไร้ความหมายสำหรับผู้ใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องสำลักสำคัญ
ก้อนหินก็สามารถมีค่าดั่งทองได้สำหรับเด็ก แต่เมื่อโตขึ้นสิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดกลับกลายเป็นเพียงกระดาษใบเดียวเท่านั้น ที่ต้องเพียรพยายามถึงสี่ปีกว่าจะได้มันมาเพื่อบอกกล่าวว่าความเป็นเด็กของคุณได้ตายจากไป ใบสั่งประหารเด็กหญิงและเด็กชายในตัวคุณ ฉันเศร้าเหลือเกินเมื่อคิดได้ว่าอีกแค่หนึ่งปีเท่านั้นฉันจะต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ฉันไม่ถวิลหา เป็นฟั่นเฟือนในสังคมอุดมณ์อคติที่เราเกลียดชัง
เวลาช่างโหดร้ายมันขโมยทุกสิ่งจากเรา จากที่ไม่เคยแหงนมอง ฉันทำได้เพียงยืนตัวเล็กจิ๋วเหมือนแมลงแหงนสุดลูกตามองอนุสรณ์แห่งเวลาที่กระดิกเคลื่อนตลอดไม่ยอมหยุด แข็งแกร่งด้วยความกลัวสูงลิ่วของฉันที่มีต่อมัน และต่อจากนี้ในทุกชั่วโมงวันมันจะกลายเป็นดั่งประภาคารของพัสดุหน้านิ่งไร้ความปราณีที่จับตามองนักโทษอย่างฉันให้ถึงวันประหารโดยไว
ฉันทำอะไรมากไม่ได้นอกจากปล่อยให้เวลากัดกร่อนฉันไป รายวิชาที่หดสั้นลงไม่ได้ทำให้ฉันดีใจ แต่มันทำให้ฉันผวาขึ้นสมอง ฉันบอกกล่าวนักโทษคนอื่นให้ทราบแต่พวกเขาต่างเต็มใจเหลือเกินที่จะถูกประหารยิ้มกว้างถึงอนาคตอันสดใสที่ฉาบด้วยสนามนองเลือดแห่งการแข่งขัน ฉันจะทำอะไรได้อีก ฉันหมดหนทางแล้ว ฉันถูกโลกทั้งใบบีบคอให้จำนน ฉันต้องตายจากเด็กหญิงผู้นั้นไป พ่อแม่ญาติพี่น้องภาระทางสังคมเป็นดั่งโซ่ต่วนเหล็กกล้าที่ไม่มีวันแกะออกด้วยคำสาปของคำว่ากตัญญู
เมื่อครบจำนวนวันก็ถึงเวลาที่พัสดีจะลากคอฉันไปที่ลานประหารหมู่ ฉันถูกสวมด้วยชุดสีดำยาวเหมือนกับผู้คนรอบกายนับพัน ชื่อแล้วชื่อเล่าถูกเอ่ยขานให้ลาลับ ฉันภาวนาหลับตาไม่ไหวติ่ง .ได้โปรดเถิดอย่าฆ่าฉันเลย. ด้วยเสียงที่สั่นเทา หยาดเหงื่อลากไล้แทนน้ำตา ไม่กล้าแม้แต่จะลุกหนี ไม่มีแรงแม้แต่จะตะเกียกตะกาย และในที่สุดผู้พิพากษาก็เอ่ยชื่อของฉัน มัจฉา ธรรมมะดี ทุกคนปรบมือเหมือนมันเป็นดั่งงานฉลอง ฉันเดินช้าที่สุดในชีวิตเพื่อหวังว่าผู้พิพากษาจะเปลี่ยนใจ แต่ไม่เลยเขายัดเยียดความตายบางเฉียบใส่มือของฉัน ฉันก้มดูมันด้วยหัวใจเบาหวิว
ฉันพยายามเรียกเธออีกครั้ง แต่กลับไร้ชีวิตที่สัมผัสได้ ฉันกลายเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากเป็น ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากรู้สึก ถึงอะไรทั้งนั้น ฉันลากร่างไร้วิญญาณของวัยเยาว์ออกมายังอากาศไร้กลิ่นคาว เธอจากฉันไปแล้วด้วยความทรมานถึงที่สุด ฉันมองตรงไปยังอนุสรณ์แห่งเวลาด้วยความโกรธเกรี้ยว ขอให้แกล้มสลายไม่มีชิ้นดี ด้วยเสียงบ้าคลั่งและน้ำตาที่พรั่งพรูดั่งระเบิดและรถเครนที่กำลังรื้อถอนหอนาฬิกา อิฐและกระจกแตกกระจายกว้างราวกับอุกกาบาตพุ่งชนทุบตีกระแทกกระทั้งจนเหลือเพียงซากกั๋งที่ไม่มีใครอยากจดจำ ฉันมองมันล้มสลายด้วยความารวดร้าว เวลามีจุดสิ้นสุด และตอนนี้เวลาของฉันก็หมดลงแล้วลาก่อนเด็กหญิงของฉัน
#นิยาย #การเขียน #นักอ่าน #เรื่องสั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in