เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จะอย่างไร...เจ็บร้าวคงไม่ต่างกันดาญา
จะอย่างไร...เจ็บร้าวคงไม่ต่างกัน
  • ปรอยฝนโปรยในเช้าหนึ่งของฤดูหนาว สีของใบไม้แดง เหลือง ประปรายท่ามกลางเขียวอ่อนแก่ของแมกไม้ไม่พลัดใบอย่างต้นแอชและยูคาลิปตัส กลุ่มเมฆลอยเลื่อนอ้อยสร้อยเหนือยอดไม้บางเบาราวกับม่านสีเงิน เนินเขาเบื้องหน้าแลดูดังภาพวาด  เธอขยับสัมภาระข้างตัวคล้ายกับเรียกความมั่นใจทั้งหมดที่มี ตั้งต้นสวมใส่เสื้อกันฝน และผูกสายรองเท้าบู๊ทเดินป่าให้กระชับ การเดินทางที่รอคอยอยู่ข้างหน้านั้นไม่ว่ามันจะลำบากเท่าไร ก้าวแรกก็ดูเหมือนจะยากยิ่งทบทวี 

    เธอตัดสินใจแล้วไม่ใช่หรือ...ตัดสินใจทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไรเลยด้วยซ้ำ  เอาเถอะ จะอยู่หรือไปความเจ็บร้าวก็คงไม่ต่างกัน เธอไม่จำเป็นต้องบอกเขากับการตัดสินใจครั้งนี้ เขาคงจะรู้เอง ถึงการจากลาของเธอ จะช้าจะเร็วก็เท่านั้น เขาอ่านเธอออกเท่าเทียมกันกับเธอ

    "ใจร้าย" คำที่เขาตัดพ้อกับเธอในวันหนึ่ง ขณะที่รถแล่นผ่านท่าเรือที่มีเรือประมงติดอวนแหหาปลาหลายลำจอดอยู่ เธอลดกระจกรถลง ลมทะเลหอบเอากลิ่นคาวเค็มมาปะทะหน้า ความเจ็บแปลบปร่า ยังยอกย้อนในอกใจ
    "แล้วเธอจะทำอะไรให้มันดีขึ้นกว่านี้ได้ไหม" ปอยผมของเธอปลิวตามลมที่หอบเอาถ้อยคำเชิงประชดประชันเหล่านั้นลอยกลับไปกลางทะเล
    "เธอก็รู้นี่นา..." เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่ทว่าเขาเลือกที่จะละไว้ให้ความว่างเปล่าเติมความหมายในประโยคนั้นเอง
    "ใช่สินะ...ฉันต้องรู้อยู่แล้วล่ะ" ขื่นขมในลำคอประดังประเดจนเธอต้องกลืนมันลงไป 
    เธอเสหน้ามองอาทิตย์ดวงกลมโตที่กำลังจะลาท้องฟ้าสีส้มอมชมพูและหายลับไปกับขอบเส้นของเวิ้งฟ้า

    ความสุขเศษเสี้ยวที่เธอและเขาใช้เวลาร่วมกันในห้องบังกะโล ที่มีหินสีสวยประดับปูนเปลือยบนผนังนั้นสั้นนัก ผ้าปูที่นอนยับย่นด้วยเสน่หาของคนสองคนที่กระโจนเข้าสู่ความสัมพันธ์ซับซ้อนที่ถักทอในโลกเสมือนจริง  แต่ความรวดร้าวที่กลับคืนนั้นยืนยันว่า ที่จริงแล้วเธอก็ยังมีเลือดมีเนื้ออยู่  
    เขากับเธอพบกันโดยบังเอิญของเวลา แต่หากความรู้สึกท้นทบทวีในแรกสบตานั้นไม่ได้เป็นแค่ความบังเอิญแน่แท้ ความรู้สึกเคยคุ้นที่มหัศจรรย์นัก เหมือนวิญญาณของความเปล่าดายสองดวงที่ได้มาพานพบราวกับความรู้สึกที่ได้หาคู่แฝดที่พรากจากกันไปนานจนเจอ ความรู้สึกที่ไม่สามารถถอดความได้ในถ้อยคำ แต่หากซึมซาบมันไว้ได้ทุกอณู  เขาและเครื่องดนตรีคู่กาย.... ฝ่าปราการหนาหนักของความผิดหวังซำ้ซ้อนที่กองพะเนินของเธอไปได้อย่างง่ายดายด้วยจูบเดียว


    เธอเลือกจำเฉพาะควาทรงจำที่มันทำให้เธอเจ็บน้อยที่สุด ความทรงจำที่อย่างน้อยเจือด้วยรสหวานแทนที่จะปร่าขมและแห้งเหือดอย่างที่เป็นอยู่ ความทรงจำที่ครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นและยังแจ่มชัดในมโนนึก....
    "ไม่อยากไปเลย" เสียงของเขาสั่นระริกเมื่อลาจาก แขนของเขากระหวัดรัดเกี่ยวอีกร่างแนบกายเหมือนกลัวว่ามันจะอันตรธานหายไปในวินาทีนั้น แสงไฟสะท้อนแวววามของหยาดนำ้ตาในตาสองคู่ที่สังเวยแก่การจากพรากที่มาเยือน สองมือที่กุมประสานราวถ่ายทอดคำสัญญาที่ไม่ได้เอ่ยเอาไว้อย่างแน่นหนา เธอเอ่ยคำที่ดูเหมือนจะมีแต่คนที่เข้มแข็งที่สุดเท่านั้นที่จะทำได้
    "ไปเถอะ"  เธอปล่อยให้เขาจากไปกับหวูดรถไฟ จากไปจากชานชลาที่คลาคร่ำด้วยผู้คน สัมภาระ ความรู้สึกหลายสิ่งอันปนเปกับกลิ่นบุหรี่ผสมกับกลิ่นนำ้มัน อวนอยู่ในบรรยากาศ  การรอคอยที่แช่มช้าทว่าเย็นเยือก เยือนหน้ามาอีกครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่ง เรื่อยมา





  • แม้กระทั่งตอนนี้  เวลาไม่ได้ร้องขออะไรมากไปกว่าการก้าวเดินไปข้างหน้า ที่สิ่งที่ตกค้างอยู่เบื้องหลังนั้นยากยิ่งที่จะปลดเปลื้อง ราวกับการตื่นขึ้นด้วยเสียงสะอื้นของตนเองเมื่อยามรุ่งสาง ยำ้ๆซ้ำๆอย่างนั้น พันธนาการของอดีตที่ไม่อาจหลีกหนี

    "มันก็แค่นั้นล่ะนะ" เธอปรารถนาที่จะกล่าวอะไรมากกว่านั้น หรือแม้กระทั่งโวยวาย ร้องไห้อย่างคลุ้มคลั่ง   แต่เท่าที่เธอจะทำได้ก็เพียงมองตรงไปยังคนข้างๆ ด้วยสายตาที่ผาดเผินดูว่างเปล่า แต่ทว่ามันซ่อนคำอุทธรณ์ของความเลื่อมลำ้ร้ายแรงในสัมพันธ์นี้ 

     ใยเธอจึงเป็นผู้เดียวที่รู้สึกรู้สามากมายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ใยเธอต้องเป็นเพียงสิ่งสำคัญเพียงชั่วยาม  ใยเธอต้องคอยปวารณาในสิ่งที่เขาต้องการเสมอ  ใยเธอจึงลืมตัวตนที่แท้ไปอย่างหมดสิ้น ใยเธอจึงเป็นคนที่ถูกนึกถึงในบริบทของความเป็นอื่น
    มันเป็นคำถามที่เธอก็รู้คำตอบเป็นอย่างดี เพราะทุกอย่างแท้แล้วมันล้วนขึ้นอยู่กับตัวเธอเอง  ไม่ว่าจะปล่อยให้มันผ่านไปเพื่อซื้อความสุขในช่วงระยะสั้น เพื่อที่จะพบกับความว่างเปล่าที่ต้องการคำปลอบใจลวงหลอก หรือจะเลือกการจากไป....ความรู้สึกที่เหลือมันก็แหลกรานปานกัน
    นี่หรือความรัก นี่หรือความหอมหวานที่มนุษย์มีอภิสิทธ์ได้ลิ้มลอง  
    เธอใช้สองมือปิดหน้าและก้มตัวลงซบหัวเข่าอย่างปราชัย เขาเอื้อมมือมาแตะหลังอย่างปลอบประโลม แต่เมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้สะอื้นไห้...มือนั้นก็ค่อยๆผละไป

    แน่นอนเธอไม่ได้สะอื้นไห้ หรือแม้กระทั่งนำ้ตาก็ไม่ได้หยาดหยดลงมาอย่างที่มันควรจะเป็น เธอเป็นคนเช่นนี้เอง  ดื้อดึง ต่อต้าน นอกกรอบและกฏเกณฑ์ แต่นั่นมันไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจเธอขึ้นมาสักเพียงนิด  แม้ว่าสิ่งนั้นมันดึงดูดให้เขาและเธอมาเจอกันเหมือนแม่เหล็กสองตัวเมื่อยามแรกพบ  หนำซำ้เมื่อเวลาผ่านไปเขากลับพบว่าเขาตกเป็นรองในกลเกมนี้  สิ่งที่เขาคาดหวังว่าเธอจะเป็นแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เธอดูเย็นชาและปิดกั้นตัวเองมากยิ่งขึ้น
    ทำไมเขาถึงหวังใจไว้ลึกๆว่าเธอจะร้องไห้ฟูมฟายร้องขอความรักจากเขามากกว่านี้  เขาหวังว่าเธอจะแดดิ้นครำ่ครวญถึงการอยู่อย่างเปลี่ยวดายเมื่อไม่มีเขา หากแต่ความเงียบ นิ่งงัน และสายตาที่เหมือนกระจกเงาเวลาที่เอาแต่จ้องมองเขาโดยปราศจากคำพูดใดนั้นมันทำให้เขานึกเกลียดเธอขึ้นมาครามครัน

    เขามีถ้อยคำที่กล่าวกับเธอนับครั้งได้ในครานี้  ความกังวลที่เต็มสองตานั้นถูกซ่อนเอาไว้อย่างเงียบเชียบ   
    เธอไม่เคยยุ่งย่าม หรือก้าวล่วงพื้นที่ส่วนตัวของเขาก็จริง แต่หากความซับซ้อนของอารมณ์ของเธอที่เขาเดาไม่ถูกมันทำให้เขาอึดอัด 
    แน่ล่ะว่าเขารักเธอ..... รักในความดิบ ความต่าง เรียบง่าย ไม่ปรุงแต่ง ความท้าทายของการค้นหา ที่เขาคิดว่ามันเป็นความพิสุทธิ์ และ เขาอยากจะพิชิตมัน  มันเป็นความรักในสิ่งที่ผู้หญิงอีกคนของเขาไม่มี 

    .................................................................................................................................................


    เธอปีนขึ้นมายังยอดสูงสุดของเทือกเขาเสียดฟ้า ท่ามกลางปรอยฝนที่เบาบางลงมากแล้ว คนนำทางส่งสัญญาณว่าคณะเดินป่าจะปักเต้นท์ และพักเอาแรงในคืนนี้ที่จุดใกล้กับหน้าผาที่มองเห็นเนินเขาที่มีความสูงต่ำคละกันไปหลายลูก
    เธอปาดเหงื่อที่ผสมกับหยาดฝนออกจากวงหน้า และวางเป้หนักหน่วงนั้นลง พลางทิ้งตัวลงบนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากเหลี่ยมผานัก เธอถอดรองเท้าบู๊ทหนาหนักออก พลางสำรวจเท้าที่บวมเป่งจากการเดินฝ่าเขาสูงชันมากว่าห้าชั่วโมงและลงมือนวดเบาๆตั้งแต่โคนน่องจนถึงปลายเท้า เธอทอดสายตาออกไปเบื้องหน้า ความงามมหัศจรรย์ปรากฏให้เห็นดังสวรรค์บนดินก็ไม่ผิดนัก  ช่างคุ้มกับความเหนื่อยยากที่ดั้นด้นขึ้นมา ทว่าคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ 
    "นี่เธอหนีพ้นสิ่งนั้นแล้วหรือยัง"
    อีกเสียงตอบว่า ถึงแม้ที่นี่จะงามประหนึ่งสรวงสวรรค์ ทว่าเธอก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งอยู่นั่นเอง เพราะเธอรู้แน่แก่ใจว่าเธอยังหลีกหนีไม่พ้น แม้ว่าเธอเกือบจะแตะท้องฟ้าของซีกโลกใต้แล้วก็ตาม

    น้ำในกระติกไหลลงคออย่างกระหาย เธอใช้หลังมือเช็ดหยดน้ำที่หยาดลงมาตามคางแล้วล้วงสมุดบันทึกเล่มน้อยในกระเป๋าเป้นั้นออกมา  ริบบิ้นสีดำคั่นไว้ที่หน้าสุดท้ายก่อนที่เธอจะจากมา ลายมือของเธอตวัดด้วยหมึกสีนำ้เงินหนาหนักมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่พรั่งพรูอยู่ทุกอักษร 


    สำนึกส่วนใต้สุดของจิตใจ ยังคงย้ำเตือนว่า ฉันยังยึดถือความรักนั้นอยู่อย่างไม่สิ้นสุด
    สำนึกนั้นกระซิบผ่านหยาดน้ำตาเยียบเย็นมันยังบ่งบอกว่า
    ฉันอยากเป็นคนแรก ที่เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจของเธอ เมื่อเธอดำดิ่งไปสัมผัสโลกใต้ทะเล
    ฉันอยากเป็นคนข้างๆที่บีบมือให้กำลังใจแก่กันและกันในยามเดินทางข้ามป่าเขาและปีนป่ายหน้าผาสูงชัน

    ฉันอยากสัมผัสหน้าเปื้อนยิ้มของเธอ เมื่อเธอพิชิตยอดภูสูงเสียดฟ้าที่ห่มคลุมด้วยหิมะขาวราวปุยนุ่น
    ฉันอยากนั่งข้างข้างเธอ ในความหนาวเย็นและสงัดเงียบของคืนที่ฟ้ามืดประดับด้วยดาวดารดาษ
    ฉันอยากลูบผมของเธอในยามเธอบรรเลงเพลงของเราผ่านกีตาร์เก่าแก่คู่ใจ
    ฉันอยากกอดปลอบประโลมเมื่อยามที่โลกและความหวังของเธอพังทลายในคืนและวันที่เปล่าเปลี่ยวที่สุด
    ฉันห้ามจินตนาการที่เจ็บปวดของฉันไม่ได้
    ว่าหากเพียงแต่เรายังมีกันและกัน
    หากว่าฉันอยู่ร่วมกับเธอในทุกความทรงจำนั้น
    หากว่าฉันจะเป็นคนที่เธอเลือก ...มันจะเป็นอย่างไร

    บางครั้ง ฉันเคยคิดเข้าข้างตัวเองว่า ที่เธอออกเดินทางอย่างไม่มีจุดหมายนั้น มันเป็นเพราะเธอกำลังตามหาอะไรบางอย่างที่เธอทำหายไป
    แต่กระนั้นความจริง ที่ว่า ไม่ว่าเขาสูง ผาชัน ในป่าฝนหรือร้อนแดดกลางทะเลทราย จากวันนั้นจนวันนี้ เธอยังคงมีใครสักคนเคียงข้างเสมอ
    และคนคนนั้นไม่เคยเป็น...และไม่มีวันเป็นฉัน

    ....................................................................................................................................................



    เธอปิดสมุดหน้านั้นลง สายตามองลงไปยังความเวิ้งว้างใต้เหลี่ยมผา เธอยกกระติกนำ้ขึ้นอีกครั้งเพื่อชดเชยความกระหาย  คนนำทางหากิ่งไม้เชื้อเพลิงที่พอหาได้มาสุมเพื่อให้ความอบอุ่นและเตรียมทำอาหารอย่างง่ายในมื้อเย็น  เธอเหยียดมือและเท้าสองข้างท้าตะวันรอนๆที่ขอบฟ้าไกลโพ้น 
    กระแสไฟฟ้าแล่นทั่วร่างไปยังปลายมือและปลายเท้า ใครสักคนที่เป็นเพื่อนร่วมทางยื่นวอดก้าในแก้วพลาสติกให้ด้วยมิตรไมตรี เธอกล่าวขอบคุณพลางจิบเมรัยขาวใสลงคอ
    ความร้อนวาบแผ่ซ่านจากปลายลิ้นเรื่อยไปจนถึงกระเพาะ คงไม่ใช่สิ่งที่ดีนักในตอนที่ร่างกายเหนื่อยอ่อนและท้องว่างอย่างนี้ 

    เสียงเล่นเพลงจากเครื่องเล่นซีดีประจำกายที่เธอยัดใส่กระเป๋ายังทำหน้าที่ของมันอย่างไม่บกพร่อง  เสียงเพลงของ นักดนตรีหญิงชาวอเมริกัน  แคท พาวเวอร์ เอื้อนทำนองของเพลงฮิตของเธอด้วยเสียงที่รวดร้าวตัดพ้อถึงการสูญหายไปของตนเอง

    "Once I wanted to be the greatest
    No wind or waterfall would stall me
    And then came the rush of the flood
    Star of night turned deep to dust"

      
    เธอรับรู้ถึงการแตกสลาย และ ตระหนัก.....  เธอสูดลมหายใจ ที่เหมือนมีเข็มเล็กๆพันเล่มเข้าไปในอกกลวงเปล่าช้าๆ ละเลียดความทุกข์ที่เท่าทุกข์นั้นให้หมด  ไม่ว่าสุขหรือร้าวรานเพียงใดในโลกเสมือนจริงนั้นคงมีแต่เธอคนเดียวที่รู้สึกรู้สมกับมัน....ก็เท่านั้น





              



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in