หายไปวีคนึงได้ เราควรนึกละอาย แต่ที่เราหายไป ก็เพราะว่าเราสามารถกลับมาเขียนได้จริงๆ แล้ว งานของเราไม่หยุดชะงักอีกต่อไป เพราะงั้นเราเลยมีความสุขมาก ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เราหายไป ตัวตนของเราก็จะหายไปด้วย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว
เรามีความสุขจริงๆ
มาพูดถึงหัวข้อสำหรับวันที่สามกันดีกว่า
เป็นหัวข้อที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน จึงต้องขบคิดอย่างหนักว่าสมัยก่อนเราชอบของเล่นอะไร
อย่างที่เคยเล่าไปแล้วในวันที่สองว่าเราผูกพันธ์กับเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นนอกจากคอมพิวเตอร์ ของเล่นชิ้นอื่นกลับอยู่ในความทรงจำของเราอย่างเลือนราง
ถึงกระนั้นก็ยังมีของชิ้นหนึ่งที่เด่นชัดในที่สุดในความทรงจำอันเลือนรางเหล่านั้น
แต่เราไม่แน่ใจนักว่าจะเรียกมันว่าเป็นของเล่นได้หรือเปล่า
ของชิ้นนั้นคือตุ๊กตาตัวนึง
เป็นตุ๊กตาแมวสีส้ม ขนนุ่มนิ่ม หน้าท้องขาว มีโบว์มีทองผูกรอบคอ ขนาดสองคืบได้
เราตั้งชื่อให้ตุ๊กตาตัวนี้ว่า "ทามะ"
เราจำได้ชัดเจนว่าเราพบเจอทามะครั้งแรกในตอนนั้นที่เราอยู่ชั้นประถมสาม
เราได้ไปร่วมงานการกุศลงานหนึ่ง และทามะเคยถูกนำมาประมูลเพื่อสมทบทุนช่วยเหลืออะไรสักอย่างที่เราในตอนเด็กจำไม่ได้แล้ว
อาจเพราะเป็นการประมูลเพื่อการกุศล
ด้วยความพยายามของคุณแม่ สุดท้ายเราก็ได้ทามะมาครอบครอง
แต่แรกเริ่มเดิมทีเราไม่ใช่ผู้คนอันอ่อนหวาน ไม่ใช่เด็กหญิงที่ใกล้ชิดกับความนุ่มนวลนุ่มนิ่มของตุ๊กตา ดังนั้นการได้รับทามะมานั้นออกจะเป็นการคะยั้นคะยอของคุณแม่เสียมากกว่า
น่าแปลก
ตั้งแต่เด็กจนโต ทามะเป็นตุ๊กตาตัวเดียวที่เราคลุกคลีด้วย ถึงขั้นเอามานอนกอดบนเตียงนอนทุกคืน ขนอันนุ่มนิ่มของทามะช่วยให้เราที่เป็นเด็กติดหมอนข้าง กลายเป็นติดตุ๊กตาไป
เมื่อได้รับของบางสิ่งมาก็ต้องดูแลให้ดีอย่างยิ่งยวด
เราคิดแบบนั้น และพาทามะติดสอยห้อยตามไปทุกที
ตอนเด็กๆ เราไม่เคยคิดชอบแมว เพราะข้างบ้านของเราในตอนนั้นเลี้ยงแมวจำนวนมาก และพวกมันก็ชอบทะเลาะวิวาทกันบ่อยๆ ส่งเสียงดังเสียจนเราในตอนเด็กมองว่าแมวช่างเป็นสัตว์สี่ขาอันก้าวร้าว
แต่ทามะเป็นตุ๊กตาที่แสนนุ่มนิ่ม ดังนั้นจึงกลายเป็นข้อยกเว้น
ย้อนคิดไปแล้วเราก็อดขำกับตัวเองในตอนนั้นไม่ได้ เราในสมัยเด็กนั้นเป็นทาสหมาของแท้ ตั้งแง่กับแมวเป็นที่สุด ทว่าวันนี้ไม่เหมือนวันวาน ทุกอย่างสลับสับเปลี่ยน คนที่เข็ดขยาดแมวในตอนนั้นกลายเป็นยิ่งกว่าทาสของคุณเหมียวเสียอีก
หวนคิดไปแล้ว อาจเพราะทามะ
เราจึงไม่ได้เกลียดแมวอย่างสุดโต่งเหมือนตอนที่เราในตอนเด็กคิด
เมื่อเราโตขึ้น ทามะก็ค่อยๆ ลดความสำคัญลง แน่นอนว่าเราดูแลเพื่อนในวัยเยาว์เป็นอย่างดี มันถูกวางอยู่บนชั้นวางอย่างงามสง่า ชั้นวางกระจกที่ทามะจะไม่มีวันได้รับความขุ่นข้องหมองใจจากไรฝุ่นเป็นอันขาด
กระทั่งหลายปีก่อน คุณแม่กลับมาเยี่ยมเราที่บ้านพร้อมกับหลานสาวตัวน้อยของเรา
ในตอนนั้นเจ้าตัวเล็กจ้องมองทามะอยู่เป็นเวลานาน
เราไม่ได้ใช้เวลาใคร่ครวญมากนัก
และไม่เคยเสียใจที่ส่งต่อทามะให้กับหลานของเรา
เพราะครั้งหนึ่งในความทรงจำของเรายังมีทามะอยู่
ดังนั้นถึงชั้นโชว์จะว่างเปล่า แต่ทามะก็ยังอยู่ตรงนั้นเสมอ
ในใจของเรา
ขอบคุณที่กลับมาเขียน
ด้วยรัก ,
ตัวฉันเอง
190930
23:00 - 23:26
#WritingPrompt
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in