สวัสดีค่ะ คุณเพื่อนนักอ่านทุกท่าน
ทั้งสองเรื่องที่ผ่านมา ไม่ว่า จะเป็นบ้านดับจิต หรือ หลวงตาจิ๋วกับเจ้าป๋อง นั้นล้วนเกี่ยวข้องกับเด็กทั้งนั้น
"ผู้ใหญ่อาจจะไม่รู้หรือหลงลืมไปแล้วก็ได้ว่า การเป็นเด็กมันลำบาก"
"เมื่อฉันยังเด็ก
เรียกเล็กนักหนา
กายานำพา
สุขมาพาไป"
สมัยอนุบาลที่ 1
เราแอบอิจฉาคนอื่นมากที่มีพ่อแม่มารับ เพราะแต่ก่อนอยู่กับอาม่า อาโซ้ยอี๋ แต่ที่ต้องมาอยู่กับท่านทั้งสอง เพราะอนุบาลใกล้บ้านอาม่า อาโซ้ยอี๋ ซึ่งท่านทั้งสองดีกับเรามาก แต่เวลามีคนพูดว่า ทำไมพ่อแม่ไม่มารับ ก็รู้สึกน้อยใจแต่ก็ไม่กล้าบอกใคร และชอบถูกล้อว่า "ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่" (มีโว้ย อยากตะโกนบอก แต่พูดไม่ได้)
เราอยู่อนุบาลนี้ เราดันพูดภาษาไทยไม่ได้ ฟังภาษาไทยออกหมดแต่พูดไม่ได้ เขียนไม่ได้ พ่อเลยให้เรากลับมาเรียนแถวบ้าน
สมัยอนุบาลที่ 2-3
เราได้มาอยู่กับพ่อแม่แล้ว รู้สึกดีมาก จำได้ว่า ต้องเริ่มเรียนการเขียนภาษาไทยและพูดภาษาไทย ซึ่งทำให้รู้ว่าภาษาเรายากมาก เราพยายามฝึกฝน จนพูดได้ แต่จะมีปัญหาตรงออก ร ล ด ที่บางทีก็ออกได้โดยยาก
เราจำได้ว่า พอเรียนจบแล้ว โรงเรียนนี้ก็ถูกสั่งปิดทันที ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ก็ไม่รู้เพราะอะไร
สมัยชั้นประถมศึกษา
เราขอจบเรื่องราวในช่วงชั้นประถมนี้ โดยเขียนแบ่งออกเป็นตอนๆดังนี้
ตอนที่ 1 มังกรหยก
เราจำได้ว่า คุณแม่จะเป็นคนเลี้ยงลูกแบบให้ไปเล่นที่บ้านเพื่อนคนอื่นได้ เด็กๆจะมีเพื่อนเยอะมาก เพราะตอนนั้นสนิทสนมกับคนไปทั่ว และไปเล่นกับเพื่อน ส่วนใหญ่ที่เล่นก็จะชอบเล่นขายของ เล่นเกมมาริโอ้ในบ้านคนอื่น เล่นตุ๊กตากระดาษ เล่นกระโดดยาง เล่นงูกินหาง เล่นขี่ม้าส่งเมือง และเล่นหมากเก็บ
มีวันนึง ตอนนั้นดูมังกรหยก อยากเป็นเซียวเหล่งนึ่งมาก เราเลยบอกให้แม่ตัดชุดจีนให้ ให้พ่อทำดาบไม้ แม่กับพ่อก็ทำให้ไม่ได้ถาม เพราะแม่กับพ่อคงไม่รู้ว่า ลูกจะเอาไปเล่นพิเรนท์แน่ๆ
เมื่อแม่ตัดเสร็จ เราก็ใส่ไปเล่นบ้านเพื่อนที่เป็นโรงงานกระดาษ แล้วเราก็บอกกับน้องคนที่เล่นว่า
เรา: "ศิษย์น้อง พี่จะพาเจ้าไปฝึกวิทยายุทธ เจ้าจงรอพี่ก่อน พี่จะกระโดดลงไปในหุบเหว"
น้อง: "ศิษย์พี่จะบินได้จริงหรอ"
เรา: "ศิษย์น้อง นั้นย่อมแน่นอน พี่บินได้แน่"
เราก็เตรียมตัวร่ายรำกระบี่ ก่อนจะกระโดดลงมา และทำท่าโบยบิน แต่มันบินไม่ได้ แถมหล่นลงมา ดัง ตุ๊บ ตอนแรกรู้สึกเจ็บ แถมเลือดกำเดาไหลออกมานิดนึงอีก จำได้ว่า น้องตกใจมาก รีบปีนลงมาช่วย
เรา: "ไม่เป็นไร" แล้วเราก็ขำใหญ่เลย น้องก็อดจะขำด้วยไม่ได้
ตั้งแต่นั้นรู้ว่า
"ไม่มีใครบินได้เหมือนละครจีนกำลังภายใน"
จำได้ว่า กลับบ้านไป ไม่กล้าบอกแม่กับพ่อว่า เกิดอะไรขึ้น ทั้งดาบหัก เสื้อขาด แม่ก็ไม่ว่าอะไร นอกจากเอาเสื้อตัดออก ไปเป็นผ้าเช็ดเท้าแทน
ตอนที่ 2 รู้จักเพื่อนคนรวย
เรารู้จักเพื่อนคนนี้เพราะเป็นเพื่อนแถวบ้าน เราจำได้ว่า สนิทสนมกับเพื่อนมาก เราชอบเวลาเพื่อนเล่าให้เราฟัง เวลาไปฝรั่งเศส ไปจีน ไปญี่ปุ่น ไปอเมริกา เพื่อนชอบเอาขนมแปลกๆจากหลายประเทศมาให้กิน และชอบเอาของเล่นหลากหลายรูปแบบมาให้เล่น
เราจำได้ว่า ตอนเด็กๆไม่เคยรู้สึกเลยว่า เพื่อนสองคนพี่น้องพูดจาอวด เพราะเพื่อนจะแบ่งปันเรื่องราวพร้อมรูปภาพให้ดูเสมอ
เราไม่เคยมีโอกาสได้ไปไหนเลย นั่งเครื่องบินก็ไม่เคย ไปต่างจังหวัดก็ไม่เคย ไปไหนก็ไม่เคย นอกจากเที่ยวห้าง แต่เราไม่เคยเสียใจเลยที่เกิดมาเป็นแบบนี้ เรารู้สึกภาคภูมิใจด้วย
ด้วยความภาคภูมิใจนี้ เราก็จะแบ่งปันเรื่องราวนี้ให้เพื่อนสองคนพี่น้องฟังเหมือนกัน พวกเราทั้งสามคนเลยเข้ากันได้ดี เพราะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดของกันและกัน
หลังจากนั้น เราต้องย้ายบ้าน ไม่ได้เจอเพื่อนทุกคนที่เล่นด้วยกันตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตอนนั้นรู้สึกเสียใจมากร้องไห้งอแงใหญ่ว่า หนูไม่อยากย้ายบ้าน
แล้วพอหลังจากย้ายมา
สถานที่เราย้ายมา มีเด็กหลายคนอยู่ แต่ไม่สนิทกัน ทุกคนดูเข้าถึงยาก เราคุยด้วย ก็ไม่คุย แถมชอบพูดจาดูถูกว่า"ไอ้เด็กวัด"
เราเคยคิดในใจว่า "เด็กวัดหนักหัวส่วนไหน" หลังจากนั้นก็ต้องมีการปรับตัวของเด็กแบบเราต่อไป
ตอนที่ 3 หนีเรียน
ตอนนั้น เราเริ่มคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนที่เราอยู่ว่า เข้ากับเพื่อนแถวบ้านไม่ได้ เพื่อนบอกว่า เข้าไม่ได้ ก็ช่าง มาหาอะไรสนุกทำดีกว่า
เพื่อนชวนไปทำอะไรตื่นเต้น คือ หนีเรียน โดดเรียนกัน เราก็ทำตามที่เพื่อนสอน ไม่ว่า ปีนรั้วโรงเรียน หนีเรียน และใช้กิ๊ฟสะเดาะกุญแจ เปิดประตูโรงเรียนเพื่อออกจากโรงเรียนกับเพื่อน
พอทำก็สนุกดี แต่บางครั้งก็รู้สึกว่า จะทำไปทำไม เรามานั่งคิดว่า อาจจะเป็นช่วงต่อต้านกับสิ่งที่เจอกับเพื่อนบ้านใหม่ก็เป็นได้
วันนั้น น่าจะไม่มีอะไร พวกเราดันไปเจอกับสารวัตรนักเรียนเข้า เขาก็จับมาส่งเราที่โรงเรียน เจอ ผอ. ยืนรออยู่
ตอนที่ 4 มิตรภาพช่วงเวลานี้ดีที่สุด
ผอ. เป็นครูที่ใจดีมาก และเข้าใจเด็กสุด ผอ.ที่ยืนรออยู่นาน หันหน้ามายิ้มให้พวกเรา คุยกับสารวัตรว่า "เด็กของผมครับ ผมขอจัดการเอง"
ตอนนั้น เรารู้สึกกลัวพ่อ แม่ กับพี่สาวรู้มาก เพราะเวลาอยู่ต่อหน้าทั้งสาม เราจะเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย นิสัยดีเพราะเรากลัวว่า เดี๋ยวต้องกลับไปอยู่กับอาม่า อาโซ้ยอี๋อีก เราไม่ชอบเวลาคนว่า "ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่มารับ" แต่สรุปผอ.ไม่ได้บอก
ผอ. เรียกเข้าไปและให้พวกเรานั่งคุยกัน ท่านถามคำถามแรกว่า
ผอ. : "ครูอยากถามคำถามหนึ่งคำถามได้ไหม"
เพื่อนๆพร้อมเรา ตอบว่า "ได้ครับ/ค่ะ"
ผอ. : "สิ่งที่พวกหนูทำอยู่มีประโยชน์มากกว่าโทษอย่างไร ถ้าหนูบอกประโยชน์ครูได้นะ ครั้งหน้า ครูจะเป็นคนเปิดประตูให้หนูๆออกไปเลย ไม่ต้องปีนออกไปนะ เดี๋ยวตก มันจะเจ็บนะ"
จำได้ว่า พวกเราร้องไห้ เพราะ ไม่มีสักคำที่เป็นคำด่าเรา แต่มีการแสดงความเป็นห่วง แถมครูยังยิ้ม แล้วไม่มีทีท่าว่าจะเห็นการกระทำของเราเป็นสิ่งที่ผิด แต่พวกเรากับสำนึกผิดจริงๆ
พวกเรากล่าวขอโทษคุณครู
ผอ. : "มิตรภาพช่วงเวลานี้เป็นมิตรภาพที่ยาวนานที่สุดนะ"
พวกเราหัวเราะกันก่อนจะคุยกับครูว่า จะไปบำเพ็ญประโยชน์ที่เราทำผิด ครูเลยให้ไปกวาดลานวัด เช็ดอุโบสถ
ครูเข้าไปคุยกับเจ้าอาวาส ท่านอนุญาต ท่านตบหัวเพื่อนคนนึงและมองพวกเราว่า
เจ้าอาวาส: "ดีแล้วที่สำนึกผิด ลูกพระพุทธเจ้าต้องไม่ทำผิดจนถลำลึกนะ"
พวกเรากราบท่าน ก่อนแยกย้ายกันไปทำในส่วนของตัวเอง หลังจากนี้ เวลากลับมาคิด ยังคิดถึงช่วงเวลาตอนที่อยู่กับเพื่อนๆมีความสุขที่สุด
ตอนที่ 5 ไม่ยุติธรรม
หลังจากนั้น เราจำได้ว่า พวกเราทุกคนก็กลับมาเรียนหนังสือกัน ไม่ได้หนีเรียนอีก และเราได้ไปนั่งกับเพื่อนคนนึงที่เป็นคนแขก
สมัยตอนเด็ก เพื่อนๆชอบล้อเพื่อนคนนี้ว่า "เจอแขกกับงู ต้องตีแขกให้ตายก่อน" แต่ตอนนั้นเรารู้สึกเฉยๆกับเพื่อนคนนี้
ทุกๆวัน เพื่อนคนนี้จะชอบมาดูว่า เราคิดเลขอะไรบ้าง พอเราคิดผิด ก็ตีเรา เราก็ไม่เข้าใจว่า ไม่ได้ขอให้ช่วย แล้วมาตีทำไม แถมชอบมาดูว่า ทำผิดด้วย แล้วก็ชอบด่าว่า "โง่" เพื่อนๆที่อยู่ด้วยกันเห็น ก็ช่วยเราเต็มที่ แต่ไม่สำเร็จ
เราไปฟ้องเพื่อนที่หนีเรียนด้วยกัน เพื่อนเราอยู่คนละห้องก็มาช่วยเต็มที่ ทั้งช่วยพูดแบบดี พูดแบบไม่ดี แต่ก็ไม่สำเร็จ
เราไปบอกเพื่อนอีกหลายคน มีคนมาช่วยทั้งด่าทั้งพูดดีก็ไม่สำเร็จ
เราไปฟ้องแม่ แม่ไปฟ้องครูประจำชั้น ครูเรียกเรา เพื่อนสองคนที่เข้าข้างเรา และ เพื่อนคนที่ตีเราไปพบ เพื่อนทั้งสองคนช่วยฟ้องใหญ่ ว่า เราถูกด่าถูกตี แต่ครูกลัวเด็กคนที่ตีมาก เพราะว่า ท่าจะเป็นลูกผู้ใหญ่ แถมเรียนเก่ง ครูก็กลัว ครูเรียกให้ทุกคนออกไป ยกเว้นแม่กับเรา ครูบอกแม่เราว่า
"ถ้าให้เรียนพิเศษกับฉัน จะเปลี่ยนที่ให้และจะให้เกรดดีด้วย"
แม่หน้าเหวอมาก แบบพูดไม่ออก แต่แม่มองเรามาด้วยความสงสารมาก เพราะตัวเราบางจุดก็ช้ำจากการที่ถูกตี แม่เราตัดสินใจรับปากไป และเราได้ย้ายที่ทันที แถมเกรดก็ดีมากด้วย
ทำให้เรารู้ว่า "อย่าหาความยุติธรรมกับครูที่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ แถมเป็นครูหน้าเลือดอีกด้วย"
วันนั้น แม่เข้าไปคุยกับพ่อดูเครียด แม่บอกว่า ครูเรียกค่าเรียนพิเศษแพงมาก แต่สงสารลูก เราก็อดสงสารแม่ไม่ได้
ตอนที่ 6 ครูที่ดี เพื่อนที่โหดร้าย
ครูก็คือมนุษย์คนนึง มีทั้งดี ทั้งไม่ดี มีคนที่เชื่อถือได้ เชื่อถือไม่ได้ แต่เราซึ่งเป็นเด็ก ก็ต้องเรียนรู้ด้วยว่า ใครดี ใครไม่ดี
เรารักครูหลายท่านในชีวิต แต่มีครูหนึ่งท่านที่เรารักและเคารพมาก เราเป็นคนเรียนไม่เก่ง ครูหลายคนไม่ค่อยชอบที่เราเรียนไม่เก่ง บางคนบอกว่า รักเด็กเก่งดีมีอนาคต จะได้จดจำเรา ไปบอกได้ว่า นั้นลูกศิษย์เรา ครูจะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด เราไม่เคยว่า แต่ไม่ใช่กับครูท่านนี้ ครูรักทุกคนเท่ากัน และครูรักคนที่ดีที่สุด
เราเคยคุยกับครูว่า "หนูผิดไหมที่เรียนไม่เก่ง"
ครูบอกว่า "ไม่ผิด เรื่องเก่งไม่เก่งไม่สำคัญ เพราะสามารถฝึกฝนได้ ถ้ามีความตั้งใจ แต่ความดีที่เราดำรงไว้ต่างหากที่จะอยู่อยู่นานและดีกว่า เช่น ครูเคยเห็นหนูช่วยหมากับแมวคลอดลูก หนูคิดว่า คนเก่งพวกนี้เขาจะช่วยไหม"
เราตอบว่า "ไม่ค่ะ"
ครูบอกว่า "ใช่ไหมล่ะ หนูเป็นคนที่มีดีในตัวของหนู หนูไม่ต้องเอาตัวเองไปเทียบกับใคร"
เราตอบว่า "จริงด้วยค่ะ"
ครูบอกว่า "คนเราแต่ละคนเกิดมาไม่เหมือนกัน เก่งไม่เหมือนกัน แต่เราไม่ควรเอาเรื่องพวกนี้มาเปรียบกัน หนูจงจำไว้ว่า หนูเป็นตัวของหนูเองและเป็นคนดีต่อไปนะ"
เราตอบรับ
ซึ่งครูท่านนี้ จะสั่งสอนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ใครมีปัญหาอะไรในชีวิต ครูท่านนี้ก็จะช่วย ถึงเด็กจะดื้อ ครูจะใช้แรงกาย แรงใจช่วยเหลือ เพื่อนเคยไปขอยืมเงินครู ครูก็พยายามไปหามาให้ ครูรักหมา รักแมว รักสัตว์มาก เราเคยเห็นเหงื่อครูไหลแต่เราไม่เคยเห็นน้ำตาครูเลย เราเห็นแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของครูอย่างเดียว ที่มองดูพวกเราอย่างเอ็นดู
จนกระทั่ง วันนึง เราเห็นน้ำตาของครู เราตกใจมาก เราเห็นคุณครูแอบมองดูอะไรสักอย่าง เราตามไปดู เรายิ่งกว่าตกใจ
เพื่อนในห้องเรียนที่เรียนด้วยกัน เป็นคนหน้าตาดี ร่ำรวย เรียนเก่ง กำลังบ่นด่าว่า
"อีแมววัดบ้า มึงกัดกู อีหมาวัดบ้า มึงคิดว่า กูเป็นใคร มึงมาช่วยมันทำไม" เพื่อนหักคอมันไปแล้ว กำลังเอาร่างมันทุบลงไปอีก เราตกใจมาก เกือบจะร้องออกมา แล้วครูรีบปิดปากเรา ดึงเราออกมาก่อน
เราจำได้ว่า
"ตกใจสุดขีดในชีวิตเลย ตกใจที่เพื่อนทำแบบนี้กับเจ้าขาว และ เจ้าเทา และตกใจกับครูที่ร้องไห้ ทำไมคนเราโหดร้ายขนาดนี้"
เรา: "ทำไมเพื่อนทำโหดร้ายแบบนี้ค่ะ"
ครูไม่ได้พูดอะไรเลย นอกจากน้ำตาไหล เเละครูค่อยพูดขึ้นว่า
ครู: "ครูจะไปทำศพให้เจ้าขาว เจ้าเทา ครูเสียใจที่ช่วยมันไม่ได้"
เราพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน เราไปช่วยครูทำศพมันทั้งสอง หมาแมวตัวอื่นไปหลบมุม พวกมันกลัวมาก
พอมันเห็นเป็นเราสองคน มันออกมาแล้ว ร้องไห้ ใช่ เราเห็นหมาแมวร้องไห้ครั้งแรก น้ำตามันไหลไม่เยอะ แต่เสียงที่มันร้องเหมือนกับแทบขาดใจ ว่า มาทำเพื่อนเราทำไม ใช่ พวกเราเป็นแค่หมาวัด แมววัด แต่พวกเราก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจ
เราไปเล่าให้เพื่อนกลุ่มหนีเรียนฟัง เพื่อนบอกว่า อย่าพูดอะไร บ้านมันใหญ่ พ่อแม่แกอาจลำบากได้ เราเข้าใจทันที
"ผู้มีอิทธิพลสินะ ครูถึงทำในสิ่งที่ถูกก็ยังทำไม่ได้"
ตอนที่ 7 ร้องไห้กับบ่อจระเข้
สมัยเด็ก เรากลัวจระเข้มาก เพราะมีครั้งนึง ไปเขาดินกับเพื่อนในโรงเรียน เพื่อนคนหนึ่งร้องไห้ขึ้นมา
ครูคนนึงที่เป็นครูพละ ครูท่านนี้อารมณ์ร้ายอยู่แล้ว ครูชอบถีบเด็กด้วยรองเท้า เอาลูกบาสโยนใส่หัวเด็ก และครูคนนั้นอุ้มเด็กคนที่ร้องไห้ขึ้นมาบอกว่า
"จะโยนลงบ่อจระเข้นะ ถ้าไม่ยอมหยุดร้องไห้"
แล้วครูก็ทำท่าจะโยนเด็กลงไป เด็กหยุดร้องไห้ทันที และเราที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น กลัวมาก เพราะกลัวตั้งแต่เห็นจระเข้กินอาหารแบบลากไส้ออกมา เราแค่คิดว่า ถ้าเผลอครูทำเด็กตกลงไป เด็กเพื่อนคนนั้นต้องไม่ตายธรรมดาแน่
จำได้ว่า เพื่อนคนนั้นหยุดร้องไห้เลย และดูกลัวมากด้วย และเราแอบคิดว่า ครูไม่ต่างจากจระเข้เลย เพราะน่ากลัว
ตอนที่ 8 ครูคือมนุษย์คนนึง
สำหรับเรื่องราวทั้งหมดที่นำมาเล่าสู่กันฟังเป็นส่วนนึงของความทรงจำของเรา แต่เราอยากบอกจากใจว่า
"ครูคือมนุษย์คนนึง ครูคือคนที่มีทั้งดีและไม่ดี ครูคือ คนที่เหนื่อยทั้งกายทั้งใจแต่ได้ไม่คุ้มเสีย ครูคือเรือแจวที่พาเราไปส่งถึงฝั่ง จะมีคนจดจำได้กี่คน ครูคือคนที่บางคนอาจจะหลงลืม ครูคือความทรงจำที่มีทั้งดีและไม่ดี แต่เรามั่นใจว่า ครูหลายคนมีความหวังดีกับเด็ก ครูหลายคนมีการแสดงออกที่ต่างกัน และครูหลายคนอยากบอกกับเด็กทุกคนว่า รักเด็กเหมือนรักลูกของตน"
วันนี้ไม่ใช่ วันครู แต่วันนี้คือ วันนึง วันที่อยากให้ทุกคนพร้อมใจกันหลับตาลงสัก 1 นาที ลองระลึกถึงว่า
"ครูในชีวิตของคุณเป็นแบบไหน"
จบสมบูรณ์ในความทรงจำวัยเด็กของเรา
วัยเด็กของเรามีที่ทำให้คนชอบหรือคนไม่ชอบ แต่สำหรับเรามันคือ ความทรงจำที่ในช่วงวัยเด็กที่ต้องจดจำ เพื่อจะได้ใช้เตือนในการดำเนินทางที่เป็นผู้ใหญ่อยู่นี้
"เด็กเป็นเพียงแค่ผ้าขาว
ที่ส่องสกาวในยามฟ้าใส
เหมือนดาวในท้องฟ้าใย
ทำให้ใจต้องจดจำ
แต่เด็กก็ถูกสาดสีใส่
เด็กได้เปลี่ยนไปในทางนั้น
เปลี่ยนจันทร์สว่างเป็นอับแสง
เปลี่ยนจากแสดงเป็นตัวเอง
ในไม่ช้าเด็กโตเป็นผู้ใหญ่
บางทีได้เปลี่ยนไปจากใจแล้ว
หากแคล้วแลไม่ดีและเลวร้าย
สุดท้ายกลายเป็นคนที่เปลี่ยนไป
อย่าลืมว่าเริ่มต้นจากเด็กนั้น
ทำให้ครั้นเป็นแบบนี้สิใช่ไหม
เด็กทุกคนไม่ต้องการจะเปลี่ยนไป
แต่แค่ใช่เปลี่ยนเพราะใครกันเอง"
-- Look a Breathe --
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in