เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Look a Breathe (Series 1 - 2)nimon
#541 หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว (THE MOON)


  • หนังสือที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดว่า ต้องอ่านให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต และนั้นล่ะที่ทุกคนควรจะอ่านแค่ครั้งเดียวในชีวิตจริงๆ เพราะตัวละครที่มากมายและชวนสับสนนี่ยังอยู่ในหัวสมองของเรา หลังอ่านจบภายในวันเดียว


    เราตัดสินใจอ่านหนังสือว่าด้วยความรักและบรรดาปีศาจก่อน และเราไม่ได้ชอบหนังสือเล่มนั้นเท่าไหร่ พอมาถึงเล่มนี้ก็เล่นปวดตับกว่าเดิม เพราะการพูดถึงตัวละครมากมายที่แสดงให้เราเห็นถึงความสับสนไม่พอ แต่เราขอบอกว่า หนังสือเล่มนี้ เราก็คิดว่า เราคงอ่านแค่ครั้งเดียว แต่หนังสือเล่มนี้ เรารู้ว่า ทำไมถึงได้รางวัลโนเบล


    เพราะอะไร เพื่อนๆรู้ไหม ก็เพราะว่า หนังสือเล่มนี้ฉายถึงเรื่องราวที่เป็นสัจธรรมสุดในชีวิตว่า คนเราทุกคนในโลกนี้หนีไม่พ้นโลกธรรมแปด ที่ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองจนถึงความยากจนและไม่เหลืออะไรได้ภายในกี่ชั่วอายุคนนั้นเอง และแต่ละเรื่องราวนี้ก็ชวนให้เห็นถึงความสกปรกบางอย่างที่เราค่อยอธิบายให้เพื่อนๆฟัง อย่างเช่น หลานถามว่า มีอะไรกับอาได้หรอ และมีคนพูดแนวเชิงเปรียบเทียบว่า แม้กระทั่งแม่ก็ได้ เป็นต้น นี่คือความสกปรกอย่างหนึ่ง อย่างที่เรากล่าวถึง



    และเดี๋ยวเราจะค่อยมาเล่าให้ทุกคนฟัง แต่เราไม่ขอลงรายละเอียดเป็นชื่อคนนะ เราขอเล่าคร่าวๆ เท่าที่จะเล่าได้ และไม่ไปแตะเนื้อหาสำคัญจนมากเกินไป


    “หนังสือนี่ดีจริงหรือไม่

    หรือเพียงได้เปิดเผยเรื่องลี้ลับ

    เรื่องคนไม่อยากพูดถึงนับ

    เพราะเป็นเรื่องลับของคนใน

    คนนอกที่คนในไม่อยากให้รู้

    แต่พาดูจนรู้เข้าถึงใจไฉน

    และชีวิดก็ดำเนินไป

    ตามแต่ได้ที่อยากจะเขียนไป”



    เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เล่าผ่านถึงหลายชั่วอายุคน และบรรยายถึงตระกูลบวนเดียกับเมืองสมมติอย่าง เมืองมาก็อนโด ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจนถึงวันสิ้นชื่อของทั้งสองสิ่งนี้กันทีเดียว


    สมัยบรรพการ ครอบครัวบวนเดียอาศัยอยู่ในเมืองมาก็อนโด ตอนแรก ไม่มีสิ่งใดเข้ามารบกวนครอบครัวบวนเดียเลยแม้แต่น้อย และทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบสุขมา จนกระทั่งวันหนึ่ง พวกชาวยิปซีก็ได้เข้ามา และพาทุกคนไปพบกับน้ำแข็ง ที่ตอนนั้น คนทุกคนในเมืองนี้ก็ไม่มีใครรู้จัก แต่ด้วยความวิปริตหรือวิปลาสก็ตอบยากที่บวนเดียนรู้สึกอยากทำการทดลองนู่นนี้ตลอดเวลา


      และหลังจากนั้นไม่นาน พวกยิปซีอีกกลุ่มก็เข้ามา พร้อมกับพาทุกคนในเมืองไปพบกับเรื่องราวที่สุดแสนจะอัศจรรย์ อย่างเช่น เสื่อหรือพรมบินได้ เป็นต้น  (ที่เขาเรียกสิ่งนี้ว่า สัจนิยมมหัศจรรย์) ซึ่งทุกคนก็รู้สึกตื่นเต้นช่วงแรก และก็เริ่มเฉยๆในที่สุด


    ต่อจากนั้นไม่นาน ก็จะมีเรื่องราวเหนือความจริงอีกหลายเรื่องก็คือ คนตายที่เป็นผีหนีความตายกลับมาคุยกับคนเป็นที่ธรรมดา และคนทุกคนก็คุยกับคนๆนั้นราวกับเป็นเรื่องธรรมดา โดยถัดจากนั้น ก็จะมีเรื่องราวของโรคประหลาด ที่ผู้ป่วยทุกคนเป็นไข้ และเกิดอาการนอนไม่หลับ ทุกคนก็เฉยๆกับเหตุการณ์นอนไม่หลับนี้ ก็กลายเป็นว่า ทุกคนก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำกันแทนการนอน เป็นต้น


    (เราคิดว่านะ มันคือ กิมมิก อืม เพื่อนๆคิดเหมือนเราไหม คือ คล้ายกับว่า การที่บอกว่า เราคุยกับผีเป็นปกติ ก็เหมือนกับที่เราคุยกับคนในปัจจุบันนี้ที่ไม่ต่างจากพวกคนที่ตายไปแล้ว ก็คือตายจากความดี ได้อย่างธรรมดา และเราเทิดทูนคนเหล่านั้นได้ตามปกติ และโลกทุนนิยมที่คนทำงานหามรุ่งหามค่ำ โดยสนใจแต่วัตถุนิยมเท่านั้นหรือเปล่า)


    หลังจากที่พวกยิปซีเข้ามาแล้ว ก็มีพวกผู้นำศาสนาเข้ามาต่อ และก่อเกิดการเคารพนับถือศาสนากับความงมงายแบบผิดที่ครอบครัวบวนเดียเผชิญกับพวกผู้นำศาสนาทั้งหลายที่นำพาความเชื่อผิดๆมาให้ และใช่อีก ก็คือ พวกนี้ไม่ต่างจากพวกมือถือสาก ปากถือศีล เพราะคงหนีไม่พ้นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวบางอย่างที่ไม่ขอกล่าวถึง เพราะพูดแล้วก็เหนื่อยกับหน้าฉากที่ดี แต่หลังฉากนี้เกินบรรยายกันทีเดียว และครอบครัวนี้ก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยทางตรงและทางอ้อมจากเรื่องนี้อีก


    บวนเดียนก็เริ่มพาคนในเมืองมาก็อนโดเข้าสู่ยุคสงคราม ต่อสู้กันกับสิ่งที่แต่ละคนก็เรียกกันว่า ทั้งอนุรักษ์นิยม อุดมคติ หรือคตินิยมอีกหลายอย่าง ที่ก็คือ การก่อศึกสงคราม และยกพวกสู้รบกัน ไม่ว่า จะเป็นการกล่าวถึงการสังหารหมู่ให้ดูเหมือนเป็นเรื่องในตำนาน และการสู้ศึกสงคราม เพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเองในเส้นทางการเมือง แต่จะชนะหรือไม่ก็ไม่ขอบอกกล่าวในที่นี้ ซึ่งเขาก็จะบรรยายถึงครอบครัวนี้มีอะไรกันในครอบครัว โดยไม่คิดว่า คือ สิ่งที่ผิดแต่ด้วยประการใด


    หลังจากนั้นอีกหลายต่อชั่วโครตก็ดำเนินเล่าเรื่องมาจนถึงการเปิดบริษัทนิคมกล้วย ที่ผลิตสินค้าที่เพื่อนๆคิดว่าจะได้มาตรฐานไหมค่ะ มันคล้ายๆกับคนเดี๋ยวนี้ที่ขายอาหารเสริม ครีมปลอม โดยไม่สนใจผู้อุปโภคและผู้บริโภค เป็นต้น แต่หนังสือคือเขาเขียน เหมือนให้เราคิดว่า น่าจะเป็นแบบนี้ แต่เราไม่รู้ว่า เราเข้าใจผิดหรือเปล่านะ


    และเรื่องราวก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆมาเรียงๆ จนถึงจุดที่เสื่อมสลายตามกาลเวลาของครอบครัวนี้ โดยที่บวนเดียนไม่เหลืออะไร นอกจากขายสมบัติกินไปวันๆ และก็เริ่มมาถึงความสิ้นสุดของเมืองนี้ ตามคำทำนายของที่ว่า จะถึงวันกัลปาวสารของที่นี่ โดยการฝนตกไม่หยุด และใช่ เมืองนี้ก็หายไปชั่วนิจนิรันดร์ พร้อมกับตระกูลนี่เช่นกัน



    เพื่อนๆ นี่เราย่อสุดขีดเลย คือ ยังไม่ได้แตะอีกหลายเรื่อง แต่ถ้าเล่าให้เพื่อนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ นี่ขอบอกว่า สองวันก็ยังไม่จบ เพราะอะไรงั้นหรือ ก็เพราะนักเขียนเขาจงใจให้คนรีวิวหนังสือเขาได้โดยยาก นอกเสียจากคนเหล่านั้นต้องอ่านหนังสือด้วยตาตัวเองเท่านั้น เรามั่นใจว่า คนเขียนจงใจให้ไม่มีใครรีวิวหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ต้นจนจบแบบละเอียดได้ เพราะเรื่องราวทั้งหมด มันต้องผ่านสายตาตัวเองจริงๆ เพราะไม่งั้นจะหาว่า คนรีวิวมีอคติทางใดทางหนึ่งก็เป็นได้


    ดังนั้น เราขอบอกเพื่อนๆว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะกับแค่อ่านครั้งเดียวในชีวิตนี่ล่ะ ส่วนใครอ่านรีวิวเราแล้ว ไม่ชอบด้วยประการใด ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อมาอ่านหรอก เพราะเราคิดว่า เก็บเงิน ๔๕๐ บาท ไว้ทำอย่างอื่นเถิด แล้วตอนแรก เกือบจะพลาดไปซื้อปกแข็ง และคิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าถือปกแข็งนี่มีหวัง กล้ามเนื้อขึ้นแน่ จึงตัดสินใจสั่งแค่ปกอ่อนมา แต่เราขอบอกนะว่า เราโดนปกหลอกด้วย เพราะปกดูสวยงาม ชื่อเรื่องก็ชวนตื่นเต้นเหลือเกิน


    เพื่อนๆหลายคนก็คงจะสงสัยเหมือนเราไหมว่า ทำไมต้องเป็นหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว  และเมื่อเราอ่านจบและตกตะกอนความคิดของเรา จนทำให้เราพบว่า เพราะครอบครัวนี้มีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่า เราเข้าใจถูกไหม เราคิดว่า เขาคิดว่า ตัวเองยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น โดยที่ความเป็นจริง มันไม่ใช่ เขาก็เลยอยู่กับความโดดเดี่ยวที่เกิดจากความคิดของตัวเอง หรือเปล่า ก็ไม่รู้นะ แต่ถ้ามีใครคิดต่าง ก็มาแบ่งเรื่องราวเล่าสู่กันฟังด้วยนะ เพราะอยากรู้เหมือนกันว่า คนอื่นคิดว่าอย่างไรกัน แต่วันนี้ขอพอก่อนนะ เหนื่อยมากที่อ่านเล่มนี้จนจบ และขอพักการรีวเพียงเท่านี้


    LOOK A BREATHE

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in