หน้าปกเรื่องปรุงรสรัก
“รักครั้งนี้ดีกว่ารักครั้งไหน
ชีวิตได้เจอเขาในครั้งนี้
ถึงแม้จะลืมเลือนไปบ้างมี
แต่ครั้งนี้ไม่มีทางลืม”
เรื่องนี้เป็นภาคต่อของ “ร้านหนังสือเวลารัก” โดยจริงๆแล้ว ดูแยกกันได้ค่ะ เพราะเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องนิดนึง ไม่มากค่ะ และเพิ่มเรื่องราวรักอลหม่านและวุ่นวายระหว่างเชฟกับผู้ช่วยเชฟค่ะ
วันนี้เราตัดสินใจเขียนเรื่องราวรักแบบเบาสมอง แนวพระเอกซึนๆที่ไม่กล้าบอกว่ารักนางเอก ดังนั้น พระเอกของเราก็ขยันทั้งส่งอาหารและบทกลอนเพราะจากกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานมาบอกรักนางเอก แต่ดูเหมือนนางเอกจะไม่เข้าใจเอาซะเลย
“ลองมาดูเรื่องราวโรแมนติกคอมเมดี้นี้พร้อมกันค่ะ”
อาหารและขนมที่อร่อยคือสิ่งที่ปรุงด้วยรสรัก
ตอนที่ 1 ผู้ช่วยเชฟ
“นักอ่านเซ็ง เมื่อหนังสือชื่อดังไม่ออกตรงเวลา”
“งานหนังสือดราม่า เมื่อหนังสือชื่อดังไม่ออก”
“นักอ่านต่อคิวรอเก้อ”
“นักเขียนชื่อดังหายเข้ากลีบเมฆ”พาดหัวข่าวทุกที่
“ไม่มีความรับผิดชอบ”
“เสียแรงที่รัก แต่เลวมาก”
“ปล่อยให้รอตั้งนาน”
“สุดเซ็ง”
“แย่สุดๆ ถ้ารู้หน้า จะเอาขี้ไปปา”คอมเมนต์มากมายในอินเตอร์เน็ต
“คงไม่มีเรื่องไหนที่ดังเท่าเรื่องนี้ ในรอบสัปดาห์นี้ที่ว่า นักอ่านจำนวนมากมายรอหนังสือเล่มใหม่ของชุดหนังสือเรื่อง “ย้อนเวลามาหารัก” ที่หนังสือเล่มใหม่นี้จะต้องพาย้อนเวลามาในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่นักเขียนผู้ไม่ปรากฎนามคนนี้กลับไม่มีผลิตหนังสือเล่มใหม่ออกมา และไม่มีใครรู้ว่า เพราะอะไร ถ้าหากว่า มีเรื่องคืบหน้าอย่างไร ทางเราจะรายงานข่าวเข้าไปค่ะ”
ฉันหนีออกมาจากความวุ่นวายนั้น ฉันรู้ว่า ฉันกำลังทำผิด แต่ฉันไม่มีไอเดียอะไรจะเขียนอีกแล้ว ฉันหมดแรง ฉันกลัวไปหมด ฉันคิดอย่างเดียวว่า ฉันต้องหนี ถึงแม้รู้ว่า สิ่งที่ฉันหนีนั้น มันผิดขนาดไหน เพราะตอนนี้ ฉันกลายเป็นคนไร้ความรับผิดชอบไปในสายตาของทุกคนไปแล้ว และฉันไม่กล้าอ่านคอมเมนต์อะไรอีกเลย เพราะทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ไม่มีใครเข้าใจฉันสักคน
ฉันตัดสินใจนั่งรถไฟมา และรถไฟก็ดันมาเสียที่ราชบุรี ฉันตัดสินใจลงและเดินไปเรื่อยๆ จนฉันพบกับสถานที่แห่งหนึ่ง และฉันตัดสินใจไปนั่งพักยังสถานที่แห่งนั้น และใช่ ฉันดันเผลอหลับไป
“คุณครับ”เสียงผู้ชายดังมาจากที่ใกล้ๆ
“คะ”ฉันตื่นขึ้นมาและพูดออกไป
“คุณคือใครครับ มาทำอะไรที่หน้าร้านอาหารของผม”ผู้ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ฉันคือใครค่ะ”ฉันพูดด้วยความสับสนก่อนตอบว่า
“ฉันหลงทางค่ะ”
“ผมเข้าใจแล้วครับ”เสียงผู้ชายคนนั้นยิ้มให้และชวนคุยต่อว่า
“สนใจทำงานกับผมไหมครับ เด็กหลงทาง”
“ทำงาน ทำงานอะไรคะ”ฉันถามก่อนเกาหัวตามนิสัยที่ไม่มั่นใจของฉัน
“ผู้ช่วยเชฟครับ สนใจไหมครับ เด็กหลงทาง”เสียงผู้ชายคนนั้นพูดต่ออย่างอ่อนโยน
“ฉันทำอาหารไม่เป็นค่ะ ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ”ฉันพูดด้วยอ่อนใจ
“ผมไม่สนหรอกครับ ผมสนแค่ว่า คุณอยากลองทำอะไรใหม่ๆไหมครับ”ชายคนนั้นพูดต่อด้วยการปลอบก่อนที่บอกชื่อตัวเองว่า
“ผมชื่อทศพลครับ คุณเรียกผมว่า ทศได้ แล้วคุณล่ะชื่ออะไร เด็กหลงทาง”
“ฉันชื่อขวัญฤทัยค่ะ เรียกฉันว่า ขวัญได้ค่ะ”ฉันตอบและฉันเหม่อขึ้นมาว่า นั้นสินะ ฉันชื่อขวัญฤทัยหรือขวัญมานานแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ใครๆก็รู้จักชื่อฉันใน “อันโนน” ไม่มีใครรู้ว่า ฉันชื่ออะไรด้วยซ้ำ และไม่มีใครรู้จักฉันจริงๆด้วยซ้ำอีกต่างหาก
“คุณขวัญ ไม่ลองอยากทำอะไรใหม่ๆหรอครับ”ทศพลบอก
“ฉันไม่เคยทำอะไรใหม่ๆเลยค่ะ”ฉันบอกและคิดอยู่นาน จนฉันตัดสินใจที่จะก้าวข้ามผ่านความกลัวออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมที่ขังฉันไว้ ดังนั้นฉันตั้งใจกล่าวว่า
“ฉันจะลองดูค่ะ คุณทศ ฉันจะลองทำอะไรใหม่ๆดูค่ะ”
“งั้นดีเลยครับ ไปครับ เข้าร้านผมกัน”ทศพลกล่าว ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินเข้าไปที่ร้านด้วยกัน
ตอนที่ 2 คุณเชฟ
“อ้าวทุกคนมารวมตัวกันเร็ว”ทศพลเรียกรวมตัว และมีผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งยิ้มให้ มีผู้ชายอีกคนหนึ่งที่หน้าตาน่าเอ็นดูเดินเข้ามา พร้อมกับผู้ชายอีกคนที่หน้าตาดูบูดบึ้งและขรึมๆสวมชุดเชฟออกมา
“นี่ คุณขวัญ จะมาเป็นผู้ช่วยเชฟคนใหม่”ทศพลพูดก่อนที่จะแนะนำเชฟหน้าบูดบึ้งคนนั้นว่า
“และนั่นทัศนัย เชฟของร้านเรา”
“คุณทัศนัยคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ขวัญไม่เคยทำอาหารมาก่อนเลย ขวัญจะตั้งใจเรียกรู้จากคุณทัศนัยค่ะ”ฉันพูดจากใจจริง
“แก ไปพาคนที่ทำอาหารไม่เป็น มาทำไม เกะกะเปล่าๆ”ทัศนัยพูดด้วยเสียงอันดัง จนฉันอดตกใจไม่ได้
“พูดแบบนั้นได้ไงหว่า น้องเขาตั้งใจที่จะลองอะไรใหม่ๆ เราเป็นพี่ใหญ่ก็ต้องสนับสนุนสิ”ทศพลพูด
“สนับสนุนอย่างกับผีสิ ข้าไม่เอาด้วยหรอก”ทัศนัยพูดอย่างอารมณ์เสีย
“จริงด้วย พี่นัย เอาเถิด ผมชื่ออ้นครับ ส่วนเพื่อนผมชื่อ นิดครับ”อ้นพูด
“หนูว่า ดีกว่าผู้ช่วยเชฟคนอื่นที่ผ่านมานะค่ะ”นิดพูดขึ้นมาเช่นกัน
“ทำไม ไม่ลองให้โอกาสน้องดู”ทศพลพูด
“อืม”ทัศนัยพูดแค่นั้น และนิดยื่นชุดผู้ช่วยเชฟมาให้ฉัน ฉันรับมา ก่อนที่นิดพาฉันไปเปลี่ยนชุดเชฟ
“คุณทัศนัย น่ากลัวมากเลย”ฉันพูด
“ค่ะ แต่จริงๆเขานิสัยดีค่ะ คือ คงติดนิสัยจากที่แต่ก่อนเป็นตำรวจมาก่อนค่ะ”นิดบอกและกล่าวอย่างปลอบว่า
“พี่ขวัญ อย่าคิดมากนะ มีอะไรมาบอกกับหนูและไอ้อ้นได้นะ พวกเราทั้งสองยอมเป็นที่ปรึกษาให้กับพี่”
“ขอบคุณนะ”ฉันพูด และนี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันไม่เคยมีเพื่อนที่จะเสนอทางช่วยอะไรฉันเท่าไหร่ ดังนั้น พอมีคนๆหนึ่งมาพูดแบบนี้ ก็ทำให้ฉันสบายใจอย่างบอกไม่ถูก และทศพลเดินเข้ามาหลังจากฉันเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว
“น้องเด็กหลงทาง อ้าวนี้”ทศพลยื่นกุญแจให้ฉัน
“กุญแจอะไรคะ”ฉันถาม
“กุญแจห้องพักไง ก็น้องไม่มีที่ไปไม่ใช่หรือไง อยู่ห้องพักน้องสาวผมไปก่อน เพราะน้องสาวผมคงอยู่ญี่ปุ่นตลอดไปแล้วล่ะ”ทศพลบอก
“ฉันไม่กล้ารับหรอกค่ะ”ฉันพูด
“รับไปเถิด เดี๋ยวพี่บอกว่า ห้องของน้องอยู่ตรงไหน มา ตามพี่มา”ทศพลบอก และเขาพาฉันเดินออกจากร้าน ไปยังที่ๆหนึ่งที่เหมือนกับหอพักขนาดเล็กอยู่
ซึ่งในหอนั้นมีห้องแค่ประมาณ 10 กว่าห้องเท่านั้น และทศพลก็พาไปดูห้องพักก่อน ซึ่งห้องพักของน้องสาวของทศพลอยู่ที่ชั้นสอง และทศพลยื่นเงินให้กับฉันจำนวนหนึ่ง บอกว่า เดี๋ยวค่อยมาคืนทีหลังก็ได้ หรือไม่คืนก็ได้ นำเงินไปซื้อเสื้อผ้านะ เพราะที่ห้องของน้องสาวมีทุกอย่างอยู่แล้ว ซึ่งฉันก็ตัดสินใจรับทั้งห้องและเงินมา เพราะฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเหมือนกัน นอกเสียจากที่รับน้ำใจของทศพลไปก่อน เพราะฉันไม่อยากเบิกเงินจากธนาคารมา เนื่องจาก ฉันกลัวว่า เดี๋ยวคนในสำนักพิมพ์จะตามเจอฉันได้
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะตั้งใจทำงาน ตอบแทนคุณของคุณทศพลค่ะ”ฉันพูด
“ไม่ต้องกังวลนะ เด็กหลงทาง ไม่ต้องตอบแทนคุณกัน แค่พี่อยากบอกว่า น้องช่วยทนไอ้ทัศนัยมันหน่อยนะ และเดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นนะ มันแค่ปากร้าย อารมณ์เสีย แต่มันไม่ร้ายนะ”ทศพลบอกก่อนที่จะนำมือมาลูบหัวฉันอย่างเอ็นดู แต่ทำให้ฉันตกใจและรู้สึกใจเต้นตึกตักมาก ก่อนที่ฉันจะรีบไหวตัวออกไป และทศพลบอกว่า
“พี่ขอโทษ พี่เผลอนึกถึงน้องสาว”
“ค่ะ”ฉันพูดและรู้สึกว่า ใจตกไปเลยที่ว่า ฉันดันเผลอตกหลุมรักคนที่ยังไม่รู้จักเลยครั้งแรก แต่เขาดันคิดว่า ฉันเป็นแค่น้องสาว
และทั้งฉันและเขาก็เดินเข้าร้านอาหารไป ก่อนที่ฉันได้ยินเสียงข่าวรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองผ่านมือถือของนิด อยู่ดีๆ ฉันก็กังวลขึ้นมาว่า ถ้าทุกคนรู้จักฉัน น้ำใจและมิตรไมตรีที่ให้ฉันนั้นจะหายไปไหมนะ แต่ฉันก็ยังพยายามที่จะเดินเข้าไป โดยที่ในใจกลัวสุดๆ
“สงสารคุณนักเขียนนะ นิด”อ้นพูด
“จริง คงไอเดียหมด ไม่รู้จะเขียนอะไร”นิดพูด
“เป็นคนดัง แม่งก็ลำบาก”อ้นบอก
“ถ้าหนูเจอนักเขียนนะ หนูบอกว่า ให้เขียนว่า คนอดีตย้อนมาหาคนปัจจุบัน และทั้งคู่ก็พากันย้อนอดีตสิ”นิดบอก
“ไม่มีใครเขียนแบบนี้หรอก สับสนจะตาย”อ้นบอก
“นั้นสินะ หนูถึงเป็นนักเขียนไม่ได้”นิดบอก
“ไม่หรอกจ้า ไอเดียน้องนิดดูดีมากนะ พี่ว่า ปรับอีกนิดก็คงดีเลย”ฉันพูดจากใจจริง เพราะไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อน
“จริงหรอค่ะ พี่ขวัญ นิดดีใจมากเลย”นิดบอก
“จริงจ้า”ฉันพูด ก่อนจะรีบเดินตามทศพลไปที่ครัว และทศพลพูดขึ้นมาว่า
“คนเดี๋ยวนี้ แปลกๆชะมัด แค่หนังสือไม่ออกก็โกรธ อะไรๆก็โกรธไปหมด โทษนู่นนี้ แต่กลับไม่โทษตัวเอง”ทศพลพูดอย่างดุเดือดและพูดต่อว่า
“นี่ถึงขั้น สำนักพิมพ์ต้องมาแถลงข่าวเลยนะ”
“คงลำบากกันน่าดูค่ะ”ฉันพูดอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เห็นต้องทำหน้าอย่างงั้นเลย พี่ว่า เขาไม่ลำบากหรอก เพราะมีปัญหาเอาไว้แก้อยู่แล้วนี้นะ”ทศพลพูดก่อนนำมือจะมาลูบหัวอีกที แต่นึกขึ้นได้ ก่อนจะหดมือกลับ
‘คิดแง่ดีนะ ไม่รู้คนอื่นจะคิดแบบนี้หรือเปล่า ทุกคนที่นี้ ดูคิดในแง่ดีจัง ยังมีคนที่ไม่คิดด่าเราอยู่ในโลกนี้’ฉันกำลังคิดเพลินก่อนได้ยินเสียงตะโกนจากทัศนัยดังขึ้นมาว่า
“จะยืนบื้อไปถึงเมื่อไหร่ มาช่วยทำอาหารสิ”ทัศนัยพูดและยื่นผักมาบอกว่า ให้ฉันล้างผัก
“ยังไง ก็พูดดีๆกับน้องขวัญด้วยนะ ถ้าน้องขวัญลาออก คราวนี้แกต้องออกด้วยนะ เพราะแกทำคนออกไปถึง 25 คนในหนึ่งเดือนแล้วนะเว้ย”ทศพลพูดก่อนขำๆและเดินออกไป ปล่อยให้ฉันงงเป็นไก่ตาแตกที่ต้องอยู่กับคนนี้เพียงลำพัง ฉันอยากจะตัดสินใจลาออก แต่ก็ไม่กล้า เพราะไม่รู้จะไปที่ไหน แถมถ้าไปที่อื่น แล้วเจอแย่กว่านี้ ฉันจะทำยังไงดีนะ ฉันตัดสินใจถอนหายใจ และคิดว่า “สู้”
“ถอนหายใจทำไม รู้ไหมว่า ถอนหายใจ ทำให้เตี้ยลงหลายเซ็นนะ เธอยิ่งเตี้ยอยู่ด้วย”ทัศนัยพูด และฉันรับผักมาล้าง ก่อนที่เขาจะโวยวายขึ้นมาว่า
“เธอล้างผักแบบนี้ได้ยังไง”และหลังจากนั้น เสียงโวยวายของทัศนัยก็ดังมาไม่ขาดสายเลย และถ้าใครได้ยิน คงจะได้ยินแค่เสียงขอโทษกับค่ะของฉันดังทั้งวัน
ตอนที่ 3 ฝึกฝน
หลังจากวันแรกผ่านไป ฉันไม่เคยรู้สึกเหนื่อยอะไรขนาดนี้ในชีวิตเลย หูฉันชาเพราะเต็มไปด้วยคำด่า คำบ่นลอยมาตลอดเวลาหลายชั่วโมง ฉันพักกินข้าวยังได้ยินเสียงของทัศนัยดังอยู่เลย แต่ฉันต้องแบกร่างพังๆของฉันไปซื้อเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของฉัน และเมื่อฉันซื้อเสร็จ ฉันนำของเข้ามาในห้อง และระหว่างที่ฉันนำกุญแจเปิดประตูอยู่นั้น สายตาของฉันดันเผลอไปมองคนห้องข้างๆ และฉันต้องตกใจ เพราะคนห้องข้างๆเป็นคนที่ฉันไม่อยากเจอมากที่สุดในวันนี้เลย
“คุณทัศนัย”ฉันเผลอทักไปแล้ว
“อ้าว เธอนั่นเอง”ทัศนัยพูด และเขาไม่เรียกชื่อฉันด้วยซ้ำ
“ค่ะ”ฉันไม่อยากพูดอะไรกว่านี้แล้ว ฉันรีบเดินเข้าห้องดีกว่า และจริงๆแล้ว วันนี้ ฉันซื้อของหลายอย่างมาทดลองหั่น ล้าง และทำอาหารตามที่ทัศนัยชอบว่าฉันว่า “ทำไม เธอโง่ขนาดนี้” ฉันไม่อยากพูดเลยว่า “นายนั่นแหละโง่ ด่าผู้หญิงได้ไง” แต่นั้นล่ะ คือ คำพูดที่ถูกกลืนลงไปตามความคิดของฉัน ที่ฉันไม่กล้าพูดออกไป
ก่อนอื่น ฉันทดลองล้างผักอย่างที่เขาบอกว่า ต้องนำน้ำสะอาดล้างผ่านผักเข้ามาทีละใบ และค่อยๆกางออกมาล้างต่อ ส่วนถั่วงอกก็ต้องถอนตรงหางมันออกไป เพราะเป็นสิ่งสกปรก และเวลาหั่นผัก ก็ต้องหัดดูในใบออเดอร์ว่า ลูกค้ากินอะไร ไม่กินอะไร อย่างเช่น ถ้าลูกค้าไม่ชอบผักคะน้า ก็ให้หั่นคะน้าเป็นชิ้นเล็กๆผัดน้ำมันหอยและอบกับข้าว เพื่อให้ลูกค้าทดลองกิน ในเมนูพิเศษที่ทางร้านมอบให้ เป็นต้น
ในขณะที่ฉันกำลังตั้งใจฝึกฝนอยู่นั้น ฉันได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันถามว่า “ใคร” ก่อนจะเสียงที่ฉันไม่อยากได้ยินก็ลอยเข้ามาในโสตประสาทว่า “ผมเอง”ฉันตัดสินใจรีบไปเปิดประตู และเมื่อฉันเปิดออกไป ก็ดันไม่พบกับเจ้าของเสียงนั้นแล้ว แต่พบกับถุงอาหารที่ก็คงหนีไม่พ้นเป็นฝีมือของเขานั้นล่ะ ดังนั้น ฉันตัดสินใจนำไปกินก็ดีเหมือนกัน เพราะกำลังหิวพอดี
ฉันเปิดอาหารออกมาก็พบว่า มีข้าวหอมมะลิขาวสวย พร้อมกับแกงมัสมั่นไก่ หิวขึ้นมาเลย และฉันก็เริ่มกิน ก่อนที่จะพบว่า มีกระดาษที่เขียนกลอนอยู่ข้างในนั้นซ่อนอยู่กล่าวว่า
“มัสมั่นแกงแก้วตา
หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง
แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา”
นี่มันคือกลอนของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัยที่เราเคยเรียนสมัยตอนเด็ก เรื่อง กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน และเขาเขียนมาให้เราทำไม ลายมือที่เขาเขียนก็สวยมากเลย ในหลวงรัชกาลที่ 2 เป็นยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เราน่าจะเขียนถึงยุคท่าน แต่เรายังนึกไม่ออกอยู่ดีว่า จะเขียนอะไร
ฉันตัดสินใจกินจนหมดก่อนที่จะล้างจาน และส่งกระดาษเขียนกลอนอันเดิมกลับไปให้เขา แต่เพิ่มเติมคือ ขอบคุณ พร้อมกลับไปไว้ที่หน้าห้องของเขา และฉันตัดสินใจกลับมาหลับเอาแรงเพื่อวันพรุ่งนี้ดีกว่า
วันรุ่งขึ้นที่ฉันตื่นเช้าขึ้นมา ฉันรีบไปที่ทำงานแต่เช้า และรีบทำความสะอาดห้องครัว ในขณะที่ทำอยู่และเตรียมของอยู่นั้น ทัศนัยก็เดินเข้ามาและหน้าตาที่บูดบึ้งนั้น ก็มองหน้าฉันอย่างเอือมก่อนไม่ทักทายอะไร ดังนั้น ฉันตัดสินใจทักทายก่อน
“สวัสดีค่ะ คุณทัศนัย ฉันกำลังรีบมาเตรียมของให้คุณค่ะ”
“คุณควรมาก่อนชั่วโมงหนึ่ง เพราะไม่งั้น คุณจะทำไม่ทัน”ทัศนัยพูด
“ค่ะ พรุ่งนี้ ฉันมาก่อนชั่วโมงหนึ่งค่ะ”ฉันพูดก่อนรีบหลบหน้าเขา และครั้งแรกที่คิดจะถามถึงกลอนที่เขาส่งมาให้เมื่อวานพร้อมอาหารนั้น กลับทำให้ฉันไม่กล้าถามออกไปเลย
“พี่ขวัญ”นิดเรียก
“มีอะไรหรอจ้า”ฉันถาม
“หนูรู้แล้ว นักเขียนอันโนนเขาเก็บตัวเขียนเรื่องใหม่อยู่ เพราะเห็นต้นสังกัดมาบอกว่า ทางเขาอยากให้นักเขียนพักผ่อน เลยจัดหาสถานที่เหมาะสมให้กับนักเขียนพักผ่อน เพื่อเขียนเรื่องใหม่ออกมา ยังไง ภายในปีหน้า จะมีหนังสือเล่มใหม่ออกมาแน่นอน และเพราะว่า ทางช่อง อยากให้นักเขียนผลิตงานออกมาปีหน้า เพื่อให้ทันกับตอนถัดไปมากกว่าด้วย นิดดีใจจริงๆ เพราะนิดเถียงเพื่อนนิดแทบตายว่า นิดไม่เชื่อหรอกว่า นักเขียนที่นิดรักจะไร้ความรับผิดชอบ”นิดพูดไม่ยอมหยุดเลย ก็คงไม่ต่างจากน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มของฉันดันเผลอไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว จนนิดร้องด้วยความตกใจว่า
“พี่ขวัญร้องไห้ทำไม”
“พี่ปลื้มแทนนักเขียนคนนั้นที่มีนักอ่านที่เข้าใจอย่างนิดคอยให้กำลังใจ พี่คิดว่า นักเขียนคนนั้นคงดีใจน่าดู ถ้ารู้แบบนี้”ฉันพูดก่อนรีบปาดน้ำตาและยิ้มให้
“หนูเชื่อของหนูนี่ค่ะ หนูมั่นใจว่า พี่เขาคงกำลังเขียนหนังสือสักเล่ม สักที่หนึ่งอยู่แน่”นิดบอก
“จ้า พี่ก็คิดแบบนั้น วันนี้ เรามาเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ สู้ไปด้วยกันดีกว่า”ฉันพูดอย่างมีกำลังใจ
“จริงค่ะ พี่ขวัญก็สู้ด้วยค่ะ”นิดพูดก่อนจะเดินไปหาอ้นที่เข้ามาในร้าน และนิดพูดกับอ้นว่า
“ฉันว่า พี่ขวัญแปลกๆ สงสัย พี่ขวัญจะรู้จักนักเขียนอันโนนชื่อดังคนนี้นะ เพราะวันนี้ฉันพูดข่าว เธอร้องไห้เลยนะ”
“ไม่เห็นแปลก ก็คงอิน แกยังอินเลย”อ้นพูด
“ก็จริงหว่า”นิดพูด
“คุณห้ามน้ำตาไหล โดนวัตถุดิบของผมล่ะ คุณรีบไปล้างหน้าและล้างมือให้สะอาดเลยไป”ทัศนัยตะโกนเสียงดังเข้ามา
“ค่ะ”ฉันพูดก่อนรีบไปล้างหน้าและล้างมือตามเขาบอก
วันนี้ ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน ฉันมีกำลังใจขึ้นมาก็เลยพยายามหยวนๆเวลาที่ทัศนัยตะคอกว่าฉัน เพราะฉันคิดว่า เอาเถิด ตอนนี้ปัญหาหนึ่งอย่างก็แก้ได้แล้ว และฉันพยายามเหลียวมองไปนอกห้องหลายรอบ เพราะฉันดันไม่เห็นคุณทศพลเลยวันนี้
“เธอ ทศไม่มาหรอกนะ เพราะว่า พาลูกกับเมียไปเที่ยว”ทัศนัยพูด
“หา”ฉันอึ้งมากเลย เพราะไม่คิดว่า ทศพลมีลูกมีเมียแล้วหรอ
“ทำไม อยากเป็นเมียน้อยมันหรือไง”ทัศนัยพูด ก่อนที่ความอดทนฉันจะขาดผึ่งลงทันที ฉันลืมตัวโยนตะหลิวไปที่ทัศนัย แต่มือทัศนัยจับตะหลิวที่ฉันเขวี้ยงมาได้ก่อน และฉันตะโกนไปว่า
“เลว คุณมันเลว ใช้หัวอะไรคิด”
“ผมดูก็รู้ว่าคุณคิดอะไรกับมัน”
“แล้วฉันคิดอะไรล่ะ”
“คุณชอบมันไง”
“ใช่ ฉันชอบเขา แต่ฉันไม่เคยคิดเป็นเมียน้อยเขา เพราะฉันไม่รู้ว่า เขามีลูกมีเมียแล้ว”
“มันก็แค่คำแก้ตัวนะ”
“มันก็แค่คำพูดชั่วของคนที่ไม่มีใครคบด้วย”ฉันเถียงต่อไม่ลดละเช่นกัน
ก่อนที่เราสองคนจะเถียงกันต่อ อ้นก็เข้ามาขัดก่อนว่า
“พวกพี่ทั้งสองเสียงดังออกไปนอกร้านเลย มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”
“เปล่า”พวกเราทั้งคู่ดันตอบพร้อมกัน ก่อนที่จะคงต้องสงบศึกกันชั่วคราว แต่ความรู้สึกของฉันยังขุ่นมัว จนกระทั่งกลับไปยังห้อง และฉันพยายามนำวัตถุดิบทั้งหลายที่เรียนรู้จากอีตาเชฟนั้นมานั่งฝึกทำต่อไป และอยู่ดีๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีก เมื่อฉันเปิดประตูออกไป และฉันพบกับอาหารอีกแล้ว ที่เป็นข้าวกับแกงขม และข้างในมีกลอนที่เขียนอีกว่า
“ความรักยักเปลี่ยนท่า
ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม
ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น”
และมีเขียนมาอีกด้วยว่า “ขอโทษ” ซึ่งฉันตัดสินใจกินจนหมด ล้างจานและคืนใบพร้อมกับเขียนว่า “ขอบคุณ ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”และฉันนำของไปไว้ที่หน้าห้อง
วันถัดไป ทัศนัยยังส่งก้อยกุ้งมาให้ทาน พร้อมกับมีคำอธิบายวิธีทำก้อยกุ้งด้วย และส่งมาพร้อมกับกลอน พร้อมคำเขียนที่ว่า “ทำได้ดีนะ”
“ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น
วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย
ฤาจะเปรียบเทียบทันขวัญ”
เมื่อฉันได้กลอนนี้มา ฉันอดรู้สึกแปลกๆในใจไม่ได้ ซึ่งฉันอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่ฉันก็เขียนตอบกลับไปเหมือนทุกครั้งว่า “ขอบคุณ” และฉันนั่งนิ่งๆคิดอะไรสักนิด ก่อนจะได้ในสิ่งที่ฉันคิดว่า “ฉันไม่ควรสนิทกับคนที่นี่มากเกินไป” แต่อีกใจก็ตีกันว่า “ค่อนข้างยากยังไงไม่รู้ เพราะดันเผลอสนิทไปแล้ว”
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้ว ที่ฉันยังทำงานที่นี้อยู่ และทำให้ฉันเข้าใจอะไรคร่าวๆจากการทำงานที่นี้ ถึงแม้จะเหนื่อย ยุ่งยาก และลำบากใจที่ต้องทำงานกับทัศนัย แต่ฉันเห็นมุมมองหนึ่งของทัศนัยตรงที่ว่า เขาเป็นคนที่เอาใจใส่ในการทำอาหารมาก และเพราะกลอนที่เขาส่งมาให้ฉันมากมาย ทำให้ฉันนึกเรื่องราวอะไรบางอย่างออกในหัวสมองของฉัน ดังนั้น ฉันตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาคนที่เป็นพ่อฉัน ใช่ คนที่เป็นพ่อ ที่แม้กระทั่งฉันยังไม่มีความกล้ายอมรับเลย
“หนูจะส่งงานเขียนบทแรกไปให้คุณดูค่ะ”ฉันพูดตามสายโทรศัพท์
“ตอนนี้ขวัญอยู่ไหน”พ่อพูด
“หนูอยู่ในที่ๆดีค่ะ”ฉันพูด
“เอาเถิด ถ้าขวัญสบายใจก็ค่อยกลับมานะ”พ่อพูด
“หนูขอบคุณที่คุณช่วยเรื่องหนูค่ะ”ฉันพูด
และขณะที่ฉันกำลังจะคุยต่อ เสียงของนิดกับอ้นพร้อมกับทัศนัยก็ดังขึ้นมาว่า
“พี่ขวัญ ไปเที่ยวกัน อาทิตย์นี้ ร้านหยุดตั้ง 5 วัน พวกเราเลยจะไปเที่ยวกัน”อ้นพูดก่อนจะบอกว่า
“ผมขอโทษ ผมไม่เห็นพี่ขวัญคุยโทรศัพท์อยู่หรือเปล่า”
“พ่อดีใจที่ลูกมีความสุขนะ ว่าหลังค่อยคุยกัน”พ่อพูดและวางสายไป และฉันตัดสินใจที่บอกกับทุกคนว่า จะไปเที่ยวกันด้วย
ตอนที่ 4 เที่ยวด้วยกัน
ฉัน นิด ทัศนัยและอ้น เดินทางไปเที่ยวที่สมุทรสงครามกัน โดยไปพักที่อัมพวา แถวริมน้ำ ในรูปแบบบ้านเรือนไทยสมัยก่อน ซึ่งบรรยากาศดูย้อนยุคน่าดู ทำให้ฉันกับนิดที่อยู่ห้องเดียวกัน ยังคุยว่า “รู้สึกกลัว” ส่วนอ้นกับคุณทัศนัยก็พักอีกห้องใกล้เรือนเคียงกัน ซึ่งนิดคุยกับฉันว่า สมกับชื่อโรงแรมที่ว่าด้วย “ตำนานริมแม่น้ำแม่กลอง”
“นิดอยากเป็นนักเขียนมากค่ะ”นิดบอก
“ทำไม ไม่ลองเขียนดูล่ะจ๊ะ”ฉันถาม
“นิดคิดไม่ออกค่ะ พี่ขวัญ ไม่รู้จะเขียนอะไรดี”นิดบอก
“เรื่องที่นิดบอกพี่ครั้งนั้นไง”ฉันบอก
“นิดคิดได้แค่นั้น แต่แต่งเรื่องต่อไม่ได้ค่ะ”นิดพูดก่อนที่กล่าวว่า
“พี่นัยเป็นไงบ้างค่ะ พี่ขวัญโอไหมค่ะ”
“โอค่ะ ตอนนี้ พี่มีคาถาประจไใจค่ะ น้องนิดอยากรู้ไหมว่า คือคาถาอะไร”ฉันพูด
“นิดอยากรู้ค่ะ”นิดบอก
“คาถาหูทวนลมค่ะ”ฉันพูดและเราทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนที่อ้นทักว่า
“หัวเราะอะไรกัน เล่าให้ฟังด่วน”
“ไม่มี ความลับผู้หญิง เนอะ พี่ขวัญ”นิดบอกก่อนจะทั้งเราทั้งคู่จะเดินไปสมทบกับอ้นและทัศนัย
“วันนี้ ไปตลาดร่มหุบกัน เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ ๒ วัดบางกุ้ง ตลาดน้ำอัมพวา อาสนวิหารพระเเม่บังเกิด ... ”อ้นพูดถึงแผนการที่จะไปหลากหลายสถานที่กันทีเดียว
“ไหวหรออ้น ไปหลายที่เลยนะ”นิดถาม
“เราพัก 3 วัน 2 คืนเนี่ย”อ้นบอก
“แล้วพรุ่งนี้ใครจะตักบาตรบ้างไหม”ฉันถาม
“ทุกคนล่ะ พี่ ผมบอกรีสอร์ทแล้ว”อ้นบอก
“เรื่องทำงานกระตือรือร้นแบบเที่ยวบ้างก็ดีนะ”ทัศนัยพูด
“โถ่ พี่นัย”อ้นพูดและทุกคนหัวเราะครื้นเครงกัน
“ฉันจ้างสามล้อถีบมาด้วยนะโว้ย”นิดบอก
“แก อยากนั่งสามล้อถีบมานานแล้วดิ”อ้นบอกและพูดว่า
“งั้นแยกกันเป็นคู่ ไม่งั้นเดี๋ยวสามล้อถีบเขาถีบผู้ชายสองคนคงแย่ ดีไหมครับ”
“พี่ยังไงก็ได้จ้า”ฉันพูด
“งั้นนิดก็คู่กับอ้น และพี่ไปกับขวัญเอง”ทัศนัยพูด และนี้คงเป็นครั้งแรกที่เขาพูดชื่อของฉัน ซึ่งทำให้ฉันทำหน้าเหวอเหมือนกัน แต่ตัดสินใจเดินตามทัศนัยไป โดยไม่กล้าพูดหรือสอบถามอีก
“ผมเห็นคุณหาข้อมูลของในหลวงรัชกาลที่ ๒ อยู่”ทัศนัยพูดขึ้นมาตามลมแบบลอยๆเฉยๆ
“ค่ะ”ฉันพูดได้แค่นี้ ในขณะที่เราทั้งสองนั่งเบียดกันในสามล้อถีบ
“ผมเสนออัมพวากับอ้น เพื่อคุณได้มาศึกษาเกี่ยวกับกาพย์เห่เรือและประวัติในหลวงของรัชกาลที่ ๒ ที่นี้”ทัศนัยพูดก่อนจะรีบเหมือนแก้ตัวว่า
“อ้นบอกผมนะ ผมก็แค่นึกถึงคุณนิดนึง”
“ค่ะ”ฉันยังงงอยู่ว่า ทำไม เขาถึงดูไม่เหมือนเดิมเท่าไหร่ และทัศนัยยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ฉันก่อนพูดว่า
“นี้คือประวัติศาสตร์ช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่คุณกำลังสนใจอยู่”
“ทำไม คุณต้องช่วยฉันด้วยคะ”ฉันตัดสินใจถามออกไป
“ช้าช้าพล่าเนื้อสด ฟุ้งปรากฎรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์”ทัศนัยตอบ
“ฉันไม่เข้าใจคุณจริงๆ”ฉันพูดออกไปแค่นั้น และไม่อยากมองหน้าเขาอีก เพราะไม่รู้ว่า จริงๆ เขาต้องการอะไรกันแน่
“เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า
รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลใจอาวรณ์
ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง”ทัศนัยกระซิบแทบจะข้างหูฉัน ทำให้ฉันเผลอตกใจ และตัดสินใจถามว่า
“คุณท่องกลอนไปทำไม แถมเขียนกลอนมาให้ฉันอีก”
“เนื้อหามันตามกลอน คุณไม่เข้าใจเอง”ทัศนัยพูด
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ คุณบอกฉันทีเถิด และข้างหน้าคุณอย่ามาทำรุ่มร่ามกับฉันอีก ฉันไม่ชอบ”ฉันพูดแบบขึ้นเสียงนิดนึง ก่อนพยายามระงับความโกรธ
“ทำไม ถ้าเป็นไอ้ทศ คุณคงชอบ แต่พอเป็นผม คุณก็ทำรังเกียจ”ทัศนัยพูดด้วยอารมณ์น้อยใจ
“คุณน้อยใจหรือ แต่คุณเข้าใจผิดนะ ถึงเป็นคุณทศ ฉันก็คิดเหมือนกัน”ฉันตัเสินใจพูดออกไป
“ผมเห็นมันลูบหัวคุณ คุณดูอารมณ์ดี ผมแค่กระซิบข้างหูเอง คุณทำท่ารังเกียจ”ทัศนัยพูด
“ฉันจักจี้”ฉันตัดสินใจแก้ตัวออกไป และไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ดูท่า คุณไม่อยากมองหน้าผมมากๆ”ทัศนัยพูด และก่อนที่จะพูดอะไรต่อกว่านี้ ลุงขับรถถีบก็บอกว่า
“ถึงตลาดร่มหุบแล้วลูก”
และฉันรีบลงสามล้อถีบไปรวมกลุ่มกับอ้นและนิดทันที เพราะฉันไม่แน่ใจหัวใจตัวเองตอนนี้เหมือนกันว่า รู้สึกยังไงกับที่ทัศนัยพูดสักครู่ และพวกเราก็คุยกันกับลุงขับสามล้อถีบว่า จะมาหาลุงตรงนี้ และนิดชวนฉันเดินไปด้วยกัน ไปดูนู่นดูนี้
“พี่ขวัญ เราไปซื้อเสื้อผ้าคนอัมพวามาใส่กัน”
“เอาจริงหรือ พี่เขิน”ฉันถาม
“ไม่เห็นต้องเขินเลย พี่ขวัญน่ารักมาก”นิดพูด และเราทั้งสองตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าของคนพื้นเมืองมาใส่จริง ก่อนท่ีนิดจะบอกว่า
“หนูเลือกให้อ้นแล้ว พี่ขวัญเลือกให้พี่นัยด้วยสิ”
“พี่เลือกเสื้อผ้าผู้ชายไม่เป็น แถมพี่ไม่รู้ไซส์เขาด้วย”ฉันพูด
“อ้าวหรอ งั้นไม่เป็นไร หนูเลือกให้”
“นิดรู้ไซล์อ้นกับคุณทัศนัยได้ไง”ฉันพูดด้วยความสงสัย
“นิดกะเอานะ พี่ จากตาไง”
“งั้นหรือ”ฉันพูด และพวกเราทั้งสองนำชุดของคนพื้นเมืองไปให้ทั้งสอง ก่อนที่พวกเราทั้งสี่คนจะใส่เสื้อผ้าของคนพื้นเมืองกันจริงๆ พอมีหลายคนใส่ ความอายของฉันก็หายไป
“วันนี้ ไปกินอาหารกัน ฉันจองร้านแล้วนะ”นิดบอก
“แกสุดยอดมาก เพื่อนรัก”อ้นบอก
และทั้งคู่พร้อมฉันกับคุณทัศนัยก็กลับไปนั่งสามล้อถีบคันเดิมกัน และฉันยังอดที่จะเกร็งๆไม่ได้ แต่ทัศนัยก็พูดขึ้นมาว่า
“คุณใส่ชุดนี้ น่ารักดีนะ”
“หา”ฉันถามและอดเขินไม่ได้ เพราะฉันไม่เคยถูกผู้ชายชมมาก่อนและนี้ก็คงเป็นครั้งแรกที่ฉันรับคำชม แต่ฉันก็ตัดสินใจชมเขาออกไปเช่นกันว่า
“ขอบคุณค่ะ คุณก็ดูดีเช่นกันค่ะ”
“เดี๋ยวไปกินอาหารเสร็จ ตรงร้านอาหารใกล้ๆเป็นอุทยานรัชกาลที่ ๒ แล้ว คราวนี้ คุณค่อยๆดู เก็บข้อมูลสิ”ทัศนัยพูดและหันออกไปข้างนอก
“ทำไม คุณรู้ว่า ฉันสนใจสมัยรัชกาลที่ ๒ และรัตนโกสินทร์ตอนต้น”ฉันตัดสินใจถามไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
“เพราะว่าคุณคือคุณไง”ทัศนัยพูดก่อนจะกล่าวกลอนว่า
“ทองหยอดทอดสนิท
ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง
แต่ลำพังสองต่อสอง”
ฉันไม่กล้าถามอะไรต่อเลย และฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไม เขาต้องท่องกลอนของกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานด้วยนะ เพราะถามเหตุผลก็ไม่มีคำตอบ และนี้ก็อยู่ดีๆ พอเขาท่องกลอนทีไร ฉันก็อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ ก่อนอื่น ช่างเถิด ฉันไม่พูดอะไรแล้ว
และเมื่อพวกเราเข้ามาในร้านอาหาร ก็สั่งอาหารมาหลากหลายเมนู และฉันก็อดสอบถามขึ้นมาไม่ได้ว่า
“นี่ๆ พี่เห็นข่าวพูดถึง ‘ชอฟต์ เพาเวอร์’ กันมากเลยนะ”
“ผมว่า ไอ้คนพูดมันก็ไม่เข้าใจหรอก”อ้นพูดแบบมีอารมณ์นิด
“ส่วนไอ้คนเข้าใจ มันก็ไม่ทำ”นิดบอก
“แล้วสรุปมันคืออะไรล่ะ”ฉันถาม
“คือ การรักษาเอกลักษณ์ของอาหารไทยไว้ โดยไม่ปรุงแต่งให้ต่างจากเดิม ผมเข้าใจแบบนั้นนะ”ทัศนัยพูด
“งันก็เหมือนร้านอาหารร้านที่พวกเราอยู่ใช่ไหม ที่คุณทัศนัยทำแบบนี้ใช่ไหมค่ะ”ฉันพูดและเผลอยิ้มให้กับความคิดของฉันกับทัศนัย
“ใช่ค่ะ มีแค่พี่นัยคนเดียวที่ยังทำอยู่ค่ะ เรามีเมนูหลากหลายทั้งของไทยโบราณ อาหารในวัง และอาหารไทยของพื้นที่ภาคทุกชนิดค่ะ”นิดบอกและทัศนัยก็เรียกฉันออกมานอกร้าน ก่อนบอกกับฉันว่า
“ครั้งหน้า คุณอย่ายิ้มแบบนี้ให้ใครเห็นอีก นอกจากผม สัญญาสิ”ทัศนัยพูดแบบขึ้นเสียงและส่งนิ้วก้อยมาให้ฉันสัญญา ยังไงฉันก็ต้องสัญญาอยู่แล้วค่ะ เพราะฉันต้องทำงานกับเขาต่อไป
และหลังจากทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็มาถึงอุทยานรัชกาลที่ ๒ และฉันก็ค่อยๆเดินดู ก่อนจะจดแนวที่ฉันต้องแต่งต่อในหนังสือของฉันเข้ามาด้วย และในขณะที่เดินอยู่นั้น ฉันดันเผลอสะดุดพื้นต่างระดับ และเกือบตก แต่ถ้าไม่ได้มือของทัศนัยที่เข้ามาจับฉันได้ทัน ฉันคงตกหน้าแหกแน่ ดังนั้น ฉันกล่าว
“ขอบคุณค่ะ”
“ทองหยิบทิพย์เทียมทัด
สามหยิบชัดน่าเชยชม
หลงหยิบว่ายาดม
ก้มหน้าเมินเขินขวยใจ”
“คุณคงชอบกลอนของกาพย์เห่เรือฯ มากค่ะ”ฉันอดถามไม่ได้
“ครับ ความหมายเป็นนัยดี”ทัศนัยตอบ
“นัยอะไรคะ”ฉันอดถามไม่ได้
“นัยให้คนฟังคิดตามไง”ทัศนัยพูดและกล่าวต่อว่า
“คุณไม่เข้าใจบ้างเลยหรือไง หรือว่า คุณแกล้งไม่เข้าใจ”
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆค่ะ”ฉันตอบ ก่อนตัดสินใจรีบสะบัดมือที่เขาจับและเดินไปดูต่อ ซึ่งเขาเดินมาตามหลัง แบบทำให้ฉันอดเขินๆแปลกๆไม่ได้
“คุณไม่ต้องเดินตามฉันก็ได้”ฉันพูด
“เผื่อคุณตกอีกรอบ ผมจะได้รับทัน”ทัศนัยพูด
“คุณดูเหมือนคนละคนเลยนะ”ฉันพูด
“ผมก็เป็นแบบนี้ของผมมานานแล้ว”ทัศนัยพูด
“จริงหรอค่ะ ฉันยักไม่รู้มาก่อน คุณไม่ต้องเดินตามฉันนะ ฉันต้องใช้ความคิด”ฉันพูดและผลักเขาออกไปสักนิด
“ถ้าเป็นทศ คุณคงดีใจ”ทัศนัยพูดด้วยความน้อยใจ
“ฉันเลิกคิดเรื่องคุณทศแล้ว คุณอย่าเอาเรื่องเก่ามาพูด”ฉันพูด
“งั้นผมจะเดินตามหลังคุณ ก็แล้วไง”ทัศนัยพูดและฉันไม่กล้าพูดอะไรอีกนอกจากพูดว่า
“ตามใจ”ฉันพูด และจดรายละเอียดที่พอจะทำให้ฉันเขียนหนังสือเล่มนี้ได้ ฉันต้องใช้ความคิดอย่างมาก และฉันเริ่มวางแผนในสมองฉันอย่างเป็นระบบ นี้คือวิธีการเขียนหนังสือของฉัน และฉันทั้งถ่ายรูป พร้อมกับกดหาข้อมูลไปด้วย โดยที่ทัศนัยยังตามหลังมาอย่างใกล้ๆ ซึ่งอยู่ดีๆฉันก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากที่เราเที่ยวเสร็จวันนี้ เราก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะตื่นเช้าขึ้นมาตักบาตรกัน และอยู่ดีๆ ขณะที่ฉันตักบาตรอยู่นั้น ทัศนัยก็เข้ามาช่วยฉัน โดยจับมือฉันที่ตักทัพพีข้าวให้พระท่าน และนิดพูดกับอ้นว่า
“แกว่า พี่นัยดูแปลกไปไหม”
“ดูเหมือนรักพี่ขวัญ ใช่ไหม”อ้นถาม
“แกคิดเหมือนฉันเลย”นิดพูด
“งั้นวันนี้ เรามาช่วยกันดีกว่า”อ้นพูดเหมือนมีแผน ก่อนที่วันนี้ พวกเราใช้สามล้อถีบเจ้าเดิม เสียงเดิม ลุงคนเดิมในการพาเราไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา และขณะที่ฉันเดินไปกับนิดอยู่นั้น อยู่ดีๆนิดก็หายตัวไป และฉันหาทุกคนไม่เจอ ครั้งแรก ฉันเดินวุ่นหาอยู่นาน และอยู่ดีๆ ฉันก็เห็นทัศนัย ซึ่งฉันดีใจมาก ก่อนจะรีบเดินเข้าไปจับแขนเขาไว้อย่างลืมตัว
“ฉันคิดว่า ทุกคนหายไปไหน”
“ผมหาทุกคนไม่เจอเหมือนกัน แต่ผมดีใจที่เจอคุณ”ทัศนัยพูดและจับมือฉัน ก่อนที่ฉันรีบสะบัดมือออกและบอกว่า
“เหมือนกันค่ะ”ฉันพูดและทัศนัยแอบถอนหายใจ แต่ฉันไม่กล้าถามต่อ ฉันเคยคิดว่า
‘ฉันกลัวอะไรสักอย่าง ที่เกี่ยวกับฉันและทัศนัย แต่ฉันแค่ไม่รู้ว่า ฉันกลัวอะไร’
และฉันก็เดินตามทัศนัยไปด้วยกัน เพราะเราทั้งคู่ก็เที่ยวด้วยกัน กินด้วยกัน ซึ่งวันนี้หลายครั้ง ฉันก็ได้เห็นหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสของทัศนัย ซึ่งฉันยิ่งมองก็ยิ่งพบว่า
“เวลาคุณยิ้ม ดูเด็กมากเลยนะ คุณน่าจะยิ้มบ่อยๆ”ฉันเผลอพลั้งปากออกไป ก่อนฉันจะหุบปากตัวเองก็ไม่ทันแล้ว และเขาส่งยิ้มมาให้ฉัน โดยที่เขาไม่พูดอะไร แต่ฉันดันเผลอหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว
“วันนี้ เราจะไปไหว้พระกันสองที่นะ พี่”อ้นบอกพวกเรา หลังจากที่ฉันกับทัศนัยเดินเที่ยวจนครบและกลับมายังจุดนัดหมายสามล้อถีบ
“วัดไหนบ้างละ”ฉันถามก่อนจะถามว่า
“แล้วน้องๆไปไหนกัน”
“ผมอยากคุยสองต่อสองกับนิดบ้าง”อ้นกระซิบบอกฉัน
“อ้อ พี่เข้าใจแล้ว”ฉันพูดและอดขำไม่ได้
“วัดบางกุ้งกับวัดอัมพวันเจติยาราม”อ้นบอก
“งั้นก็ไปกันเถิด”นิดบอก
พวกเราทั้งสี่คนก็ได้ไปชมความสวยงามและความศักดิ์สิทธิ์ของวัดบางกุ้ง ก่อนจะไปที่วัดอัมพวันฯ เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคลกันถ้วนหน้า ก่อนจะกลับไปพักผ่อน และกินอาหารเย็นที่โรงแรม และพักผ่อนกันก่อนมายังช่วงวันสุดท้ายที่พวกเราจะไปอาสนพระเเม่บังเกิดและค่อยกลับราชบุรีกัน
“ครั้งหน้ามาเที่ยวกันใหม่นะ”ทัศนัยพูดขึ้นมาในขณะที่อ้นขับรถกลับราชบุรี
“ได้เลยพี่”อ้นบอก
“ครั้งหน้าไปไหนดี”นิดถาม
“พี่ก็คิดไม่ออกเหมือนกัน แต่จะไปไหน ก็บอกกันด้วยนะ”ฉันพูด
“ได้เลยค่ะ”นิดพูด
แล้วพวกเราทุกคนก็กลับมาถึงร้าน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคุณทศพล ภรรยาและลูก ฉันไหว้ภรรยาและคุณทศพล ก่อนที่ฉันคุยกับภรรยาของคุณทศพลนิดนึง และฉันกลับห้องพักของฉันไปพักผ่อน และฉันได้ยินเสียงเคาะประตู และฉันเห็นขนมหน้าตาแปลกๆ พร้อมกับคำกลอนว่า
“รังไรโรยด้วยแป้ง
เหมือนนกแกล้วทำรังรวง
โอ้อกนกทั้งปวง
ยังยินดีด้วยมีรัง”และมีกระดาษอีกแผ่นตกมา ฉันรีบเก็บและพบว่า “คุณยังมีผมอยู่ทั้งคนนะ”
ฉันทานขนมหวานเสร็จไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนิดๆ ก่อนที่จะทำใจ และฉันเริ่มพิมพ์งานของฉันต่อและรีบส่งงานไปให้พ่อของฉัน และเมื่อฉันส่งงานแล้ว ฉันล้างจานขนมและเขียนไปบอกว่า “ขอบคุณค่ะ”
ตอนที่ 5 คุณคือใคร
ฉันอยู่ร้านนี้มานานถึงครึ่งปีแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก ฉันยังทำเป็นหูทวนลมกับเสียงด่าของทัศนัยต่อไป แต่กำแพงบางอย่างระหว่างฉันกับทัศนัย นั้นค่อยๆทลายลง และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันตื่นเเต่เช้า แต่เมื่อฉันมาถึงร้าน ฉันกลับพบนักข่าวหลายสำนักอยู่ที่หน้าร้านอาหาร และฉันก็อดตกใจไม่ได้ว่า มาทำข่าวเกี่ยวกับฉันหรือเปล่า แต่ไม่มีใครรู้ว่า ฉันคือนักเขียนนี้นะ ฉันรีบตัดสินใจเข้าหลังร้านไป และพบกับทศพลกำลังบอกให้อ้นกับนิดกันนักข่าวไว้ และเขามาสั่งฉันให้พาทัศนัยออกไปก่อน
“เรื่องอะไรกันหรือค่ะ”ฉันถาม แต่ทุกคนไม่มีใครตอบ และฉันก็ทำตามที่ทศพลบอกรีบพาทัศนัยออกไป ฉันใส่ทั้งแว่นตาดำและหมวกก่อนจะช่วยสวมให้ทัศนัยออกไป
“คุณอยากไปไหนหรือเปล่า”ฉันถาม
“ผมอยากไปดูหนังใหญ่ วัดขนอน ไปกันไหม”ทัศนัยพูด
“ไปกันเถิดค่ะ”ฉันพูด และเผลอตัวจูงมือเขาออกไปพร้อมกัน ก่อนจะค่อยๆดูนักข่าวด้วย
สำหรับฉัน นักข่าวกับนักเขียน ไม่ค่อยเป็นสิ่งที่ถูกกันเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่มีนักข่าว งานของฉันก็คงไม่ดังขนาดนี้ แต่การที่นักข่าวทุกสำนักขุดคุ้ยว่า ฉันคือใคร นั้นล่ะที่ฉันกลัว เพราะนักข่าวไม่เข้าใจเลยว่า หลายครั้ง คนเราอยากมีพื้นที่เป็นของตัวเอง
ทัศนัยขับรถพาฉันไปที่หนังใหญ่ วัดขนอน เขาขออนุญาตที่จะทดลองชักหนังใหญ่ดูบ้าง ซึ่งทางนั้นก็อนุญาตให้ทดลองดูได้ แล้วฉันก็ได้เห็นอีกหลายๆมุมของเขาที่บางครั้ง เขาดูเหมือนกับเด็กมากและน่ารักอีกด้วย และหลังจากนั้น พวกเราไปชมตลาด ก่อนแวะไปกินกาแฟแถววัดใหญ่ และเข้าไปไหว้พระ ก่อนที่จะตัดสินใจขับรถชมวิวไปเรื่อยๆ
“ผมดีใจมากเลยที่ได้อยู่กับคุณแบบนี้”ทัศนัยพูดขึ้นมา
“ค่ะ ฉันก็ดีใจและสนุกที่อยู่กับคุณค่ะ”ฉันพูดเพราะเข้าใจความหมายว่า เขาคงหมายถึงว่า เที่ยวกับฉันแล้วสนุก
“ไม่ใช่ๆ ผมหมายถึงว่า ... ”ทัศนัยพูดก่อนทำท่าเขินและเขาขับรถเข้าไปที่ทุ่งดอกไม้ที่ราชบุรี
“สวยมากเลยค่ะ ฉันไม่เคยมาที่แบบนี้มาก่อนเลยค่ะ”ฉันพูด และรีบหยิบมือถือมาถ่ายรูป ก่อนฉันจะบอกกับทัศนัยให้มาถ่ายรูปด้วยกัน
“คือ ผมหมายถึงว่า ผมรักคุณ ขวัญ ผมแอบรักคุณมานานแล้ว เราเคยเรียนหนังสือมหาลัยเดียวกัน ก่อนคุณจะเบนเข็มไปเป็นนักเขียน และผมไม่เคยเจอคุณอีกเลย จนผมดีใจมากที่เจอคุณ แต่คุณกลับจำผมไม่ได้”ทัศนัยพูด
“เรารู้จักกัน คุณจำคนผิดหรือเปล่าค่ะ”ฉันถามและอดจะช็อกกับคำสารภาพรักของเขาไม่ได้ ซึ่งเขาเปิดกระเป๋าตังค์และหยิบภาพหนึ่งออกมาให้ดู
“พี่นัย”ฉันตกใจมากที่เห็นรูปนั้น เพราะพี่นัยคือรุ่นพี่ที่รู้จักกันตอนมหาลัย
“ใช่ พี่คือพี่นัยของขวัญไง พี่พยายามบอกขวัญเป็นนัยหลายอย่างผ่านอาหาร และขนมที่ขวัญชอบกิน แต่ขวัญยังจำพี่ไม่ได้”ทัศนัยพูด
“ขวัญขอโทษค่ะ”ฉันพูด
“ไม่เป็นไร แล้วคำตอบล่ะ ขวัญคิดยังไงกับพี่”ทัศนัยพูดอย่างมีหวัง
“ขวัญไม่มั่นใจค่ะ ขอขวัญคิดดูก่อนค่ะ”ฉันพูดออกไปและทำให้ทัศนัยรู้สึกหน้าเศร้าสลดลง
“แม้นฟ้ายังมีแสงที่สดใส”ทัศนัยพูด
“ชีวิตคู่ใยมีสีสันที่สง่า”ฉันกล่าวต่อ
“พี่จะรอวันที่ขวัญมองมา”ทัศนัยพูด
“น้องบอกว่ารอแล้วน้องจะตอบ”ฉันบอก
“ทำไม วันนี้นักข่าวถึงมาเยอะขนาดนี้ล่ะค่ะ”ฉันอดสอบถามไม่ได้
“เพราะพี่แอบหนีพ่อกับพี่ชายมาทำตามความฝันของพี่ พี่คิดว่า จะอยู่ที่นี้สักสองสามปี และจะกลับไปทำงานที่บริษัท แต่พี่ไม่รู้ว่า พี่ยิ่งทำก็ทำไปนาน และไม่แน่ใจว่า ทำไมนักข่าวถึงตามมาได้”ทัศนัยพูด และมีเสียงโทรศัพท์เข้า ก่อนทัศนัยพูดว่า
“เดี๋ยวไปจัดการเอง”
และพวกเราทั้งสองคนตัดสินใจกันกลับมาในขณะที่นักข่าวยังเต็มไปหมด แต่ทัศนัยยืนยันว่า จะคุยกับนักข่าว และขณะที่คุยกับนักข่าว ก็อยู่ดีๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งมารับทัศนัยไป และทัศนัยต้องตามเขาไป ซึ่งหลังจากนั้น ที่ฉันกับทัศนัยไม่เจอกันแล้ว อีกหลายวันผ่านไป ทศพลบอกขอปิดร้าน และจ่ายเงินให้พวกเราถึง ๑๒ เดือน ซึ่งคงไม่มีที่ไหนให้แน่นอน และพวกเราต้องตัดสินใจแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง
“เด็กหลงทาง คงสบายใจแล้วสินะ”ทศพลถาม
“ค่ะ ฉันพบทางฉันแล้ว”ฉันพูดและตัดสินใจกลับไปหาพ่อของฉัน
และฉันกอดกับนิดเพื่อลากัน และจับมืออ้น ก่อนแลกเบอร์กัน และอ้นบอกว่า “ครั้งหน้า เรานัดเที่ยวกันนะ แต่คงนัดพี่นัยไม่ได้แล้ว”
ใช่ นัดทัศนัยไม่ได้แล้วล่ะ เพราะทัศนัยกลายเป็นนักธุรกิจระดับหมื่นล้านไปแล้ว กลายเป็นคนที่พวกเราไม่กล้าแม้กระทั่งจะบอกว่า รู้จักกัน เพราะบอกไป ก็คงไม่มีคนเชื่อ และคนรวยระดับหมื่นล้าน ก็คงไม่อยากเที่ยวกับพวกเราแล้ว ช่วงนี้ ฉันดูข่าวหน้าฟีดและข่าวตามอินเตอร์เน็ตทุกวัน ฉันพบว่า “ชีวิตของฉันกับทัศนัยคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะทั้งเขาและฉันก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว ถึงฉันจะมีคำตอบให้เขาแล้ว แต่เขาคงไม่อยากฟังคำตอบแล้วล่ะ”
หลายเดือนผ่านไป ฉันเดินทางเข้ามาหาพ่อฉัน พร้อมกับต้นฉบับที่ฉันทำเสร็จแล้ว และฉันดันบังเอิญพบทัศนัยควงมากับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาไม่มองมาทางฉันด้วยซ้ำ ฉันก็ไม่กล้ามองเขาเช่นกัน พ่อของฉันแนะนำฉันให้รู้จักกับทั้งคู่ว่า “คุณทัศนัย เขามาทำเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ และทำสำนักพิมพ์ ส่วนนี้ก็คุณอิงดาว คู่หมั้นของคุณทัศนัย”
ฉันอึ้งไปเลย เขายิ้มให้ฉันเหมือนกับไม่รู้จักกัน แต่เขากับยิ้มกับคู่หมั้นเขาอย่างมีความสุข เขาทำเป็นเหมือนไม่รู้จักฉัน เหมือนไม่เคยแม้กระทั่งคนที่เคยบอกรักฉัน และรอคำตอบจากปากฉันด้วยซ้ำ ฉันอดเจ็บปวดไม่ได้ โดยที่ฉันรู้สึกเครียดมาก และฉันก็อยากถามเขามากเลยว่า “คุณคือใคร” แต่ฉันพยายามระงับความเจ็บปวด โดยยิ้มผ่านสีหน้า ก่อนที่จะรีบขอตัวพ่อกลับบ้านไปก่อน ซึ่งพ่อก็ยินยอม
และในขณะที่ฉันกำลังจะไขกุญแจรถอยู่นั้น ทัศนัยก็ผลักฉันเข้าไปในรถและพูดกับฉันว่า “ผมรอคำตอบอยู่นะ” และฉันบอกคำตอบพร้อมสบตาเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมคำตอบที่ไม่ตรงกับใจว่า “ฉันไม่ได้รักคุณค่ะ ฉันดีใจที่คุณเจอคนที่เหมาะค่ะ คุณอิงดาวสวย อัธยาศัยดี เหมาะกับคุณมาก”
“ผมไม่เชื่อว่า คุณไม่รู้สึกอะไรเลย และคุณไม่รักผม”ทัศนัยพูด
“คุณมีคู่หมั้นแล้ว คุณจะเอาอะไรจากฉันอีก”ฉันพูด
“ผมอยากเอาความจริงจากปากคุณ ถ้าคุณบอกว่า คุณรักผม ผมก็จะยกเลิกหมั้นทันที”ทัศนัยพูด
“ฉันไม่คิดทำร้ายคนอื่นหรอกค่ะ คุณช่วยกรุณาถอยไปค่ะ ฉันจะกลับบ้าน”ฉันพูด
“ไม่ ผมไม่ไป จนกว่า ผมจะรู้ความจริง”ทัศนัยพูด
“แล้วถ้าฉันบอกว่า ฉันรักคุณ แล้วทุกอย่างจะกลับมาแบบเดิมได้หรือไง”ฉันถาม
“ได้สิ”ทัศนัยพูดและกอดฉันก่อนจะบอกกับฉันว่า
“ผมจะทำทุกอย่างให้เข้าที่ ขอให้คุณรอก่อน”และเขาก็ผละจากฉันไปจับมือกับอิงดาวที่เธอเดินมาตาม และโอบกอดจากกันไป
“ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วล่ะ”ฉันพูดและขับรถออกไป พร้อมกับภาพที่ฉันเห็นว่า ทั้งคู่มีหอมแก้มกันด้วย ฉันรู้สึกว่า “ทำไม ถึงเจ็บปวดขนาดนี้”
ผ่านไปนานหลายเดือนที่ฉันพบทัศนัย และฉันไม่พบกับทัศนัยอีกเลย ฉันทำงานของฉัน พ่อบอกว่า อยากเปิดตัวฉันในฐานะนักเขียนและลูก ซึ่งฉันตัดสินใจที่จะยอมทำตามที่พ่อบอก ฉันย้ายมาอยู่กับพ่อ และยังทำหน้าที่เป็นนักเขียนต่อไป แต่แล้วชีวิตของคนเรา มันย่อมมีอะไรที่ไม่แน่นอน
“เลิกฟ้าผ่า ไฮโซชื่อดัง ตัวอักษรย่อ “อ” และตัวอักษรย่อ “ท””
“มือที่สาม หรือไม่มีแม้กระทั่งมือที่สอง”
“อันโนน กลายเป็น คนที่มีตัวตนขึ้นมา”
“รักไฮโซ แพ้รักตอนมหาลัย”
“ข่าววันนี้ไม่มีอะไรดังเท่าข่าวนี้ที่ไฮโซทัศนัยประกาศขอแต่งงานกับนักเขียนชื่อดังอย่างอันโนน โดยที่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนเพิ่งประกาศเลิกกับไฮโซอิงดาวไปนี้เอง ซึ่งอันโนนหรือขวัญฤทัยไม่ได้เป็นมือที่สามด้วยประการใด เพราะชีวิตรักของทั้งคู่นั้นรักกันมาก่อนตั้งแต่มหาลัย”
“มีทั้งกระแสตีกลับและกระแสยินดีกับทั้งคู่ แต่อย่างไรก็ตามหุ้นของบริษัทโฮล์ดิ่ง จำกัด ถึงขนาดทะยานสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมากขนาดนี้ เนื่องด้วย ข่าวน่ายินดีที่ทั้งคู่จะแต่งงานกัน”
“ข่าวบางสำนักรายงานว่า เนื่องจากผู้หญิงท้อง จึงต้องรีบแต่ง แต่ไม่ว่าจะด้วยอะไร ก็คงต้องขอยินดีกับคนทั้งคู่ด้วย”
ฉันรู้จากปากพ่อของฉันและครอบครัวของทัศนัยว่า ที่ทัศนัยต้องคบกับอิงดาวเพราะเกี่ยวกับธุรกิจ แต่เมื่อแก้ไขปัญหาทางธุรกิจได้แล้ว ทางครอบครัวทัศนัยก็ยอมให้แต่งงานกับฉันได้ ฉันรู้สึกว่า เร็วจนไม่ทันตั้งตัวเลย แต่ฉันดันตัดสินใจตอบตกลงแต่งงานกับทัศนัยไปแล้ว เพราะว่า ใจที่รอทัศนัยมานานมันร่ำร้องให้ตอบตกลงนะ และนี้ก็ถึงวันที่ฉันกับทัศนัยแต่งงานกัน ฉันไม่เคยมีความรู้สึกตื่นเต้นอะไรเท่านี้มาก่อนเลย และนี้ก็คงเป็นครั้งแรกและครั้งถัดไปที่ทั้งฉันและทัศนัยต้องเรียนรู้กันต่อไป
พ่อบอกฉันเสมอว่า “ความรักคงไม่ได้จบที่แต่งงาน แต่ความจริงหลังแต่งงานต่างหากที่เราต้องเผชิญ และผ่านพ้นมันไปให้ได้ อย่าลืมตัว ลืมตน นะลูก”ฉันจำคำสอนพ่อได้เสมอและคงต้องใช้คำสอนนี้ปรับตัวเข้ากับชีวิตประจำวันของฉันไปอีกนาน
ผ่านไปหนึ่งปี ฉันกับทัศนัยใช้ชีวิตด้วยกัน และตอนนี้ก็คงไม่ได้มีกันแค่สองคนอีกแล้ว แต่กำลังจะมีเด็กชายตัวน้อยๆออกมาเป็นสักขีพยานรักของเราทั้งคู่อีก ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยเท่าไหร่ แต่ฉันและทัศนัยพยายามที่จะเป็นพ่อแม่คนที่เลี้ยงลูกด้วยตัวเองและมอบทั้งรักและความทะนุถนอมให้ถึงที่สุด เหมือนกับที่เราทั้งคู่มอบให้กันและกัน
ความรักที่อยู่ในปัจจุบันคือรักที่น่ารักที่สุด
ทุกคนอาจจะคิดว่า อ้าวจบแล้วหรอ เพราะว่า พอดีเราต้องการให้เป็นแบบนั้นค่ะ เพื่องดเรื่องราวดราม่าระหว่างพระนาง และเนื่องจากเน้นเขียนเรื่องเบาสมอง ก็เลยขอจบตามใจคนเขียนแบบน่ารัก เบาสมอง กับพระเอกสายชาเย็นแต่ไม่เย็นชาคนนี้ค่ะ (เอ๊ะ เกี่ยวไหมเนี่ย)
“รักที่ดีคือรักที่เกิดจากความเข้าใจ
หากมีความในใจอะไร บอกกันในคอมเมนต์ค่ะ”
Look A Breathe
https://www.readawrite.com/a/22a4c05e3b3a0304d7cac9fbcb9404be?preview=1
ขอบคุณมากค่ะ