“ขอเชิญทุกท่านมาร่วมกันเสี่ยงทาย
และนี่คือใบแรกที่เราได้ค่ะ”
รูปภาพนี้ เมื่อเราจับเซียมซีได้เบอร์ที่ ๑๓
“ถึงเมื่อวาน จนถึง ในวันนี้
เจ้าหนูมี ชีวิต ความสุขดี
เจอผองเพื่อน ฝูงใหม่ ชวนหนูมี
เดินตามนี้ ทางไป คาราวาน”
รูปภาพนี้ เรื่องราวของปีเตอร์ แรบบิท (อ่านมาแล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง)
เป็นเรื่องราวของเจ้ากระต่ายที่อยู่กับแม่และครอบครัว โดยปีเตอร์แอบหนีแม่ไปที่สวนของคนๆหนึ่งที่แม่บอกว่า อย่าเข้าไป และแอบไปกินผลไม้ในสวนเขา จนเขาออกตามล่า และเจ้าปีเตอร์หนีไปหลบที่รดน้ำต้นไม้ หลบหลายที่และเกือบเอาตัวไม่รอด แต่ด้วยไหวพริบ เลยนำมาพาตัวเองรอดพ้นจากการตามล่าและกลับมาหาแม่ตัวเอง และจบลงด้วยการกินอาหารอร่อยฝีมือแม่
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ถูกเขียนโดยนักเขียนอังกฤษชื่อดังที่เขียนเรื่องปีเตอร์ เเรบบิท ซึ่งเป็นเรื่องโด่งดังของเจ้ากระต่ายน้อยน่ารักที่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของทุกคนทั่วโลก และนี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่แสดงถึงเรื่องราวน่ารักของผู้เขียนท่านนี้อีกเช่นกัน
รูปภาพนี้ ด้วยจิตคาราวะต่ออาจารย์นักเขียนท่านนี้
สำหรับหนังสือเล่มนี้ถ้าใครอ่านชอบก็คือชอบเลย แต่ถ้าไม่ชอบก็จะรู้สึกเบื่อและน่ารำคาญไปหมด แต่สำหรับเราคือ เรารู้สึกชอบและย้อนวัยเด็ก ดังนั้น เรามีวิธีมาแนะนำให้เพื่อนๆสามารถอ่านหนังสือเรื่องนี้ให้ชอบได้โดยง่ายๆคือ
“เปิดใจกว้างๆ อย่าคิดอะไรมาก และอ่าน
เรามั่นใจว่าทุกคนรู้สึกประทับใจเหมือนเรา”
หนังสือเล่มนี้เป็นลักษณะการนำนิสัยของมนุษย์เข้าไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย และเป็นเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริง ผสมนิทาน โดยที่มีเจ้าหนูทำหน้าที่เล่านิทานให้ตัวละครในเล่มฟังด้วย
รูปภาพนี้ หนังสือภาษาอังกฤษ
“ยามเมื่อฉันเดินไปกับตัวเอง
และพูดคุยกับตัวเอง
ตัวฉันเองเล่าเรื่องให้ฉันฟัง”
บีทริกซ์ พ็อตเต้อร์
เจ้าหนูตะเภาชื่อทัพเพนนีต้องออกจากบ้านเกิดตัวเอง เพราะเนื่องจากความผิดพลาดบางอย่าง และเขาก็เดินทางมาเรื่อยๆ มาอย่างไม่มีจุดหมายจนมาเจอกับคณะคาราวานที่เป็นคณะละครสัตว์ โดยจะออกเดินทางไปยังทุกสถานที่ที่มีสัตว์อยู่ เพื่อฉายให้สัตว์ดู
คณะละครสัตว์ คาราวานแห่งนี้ ตัดสินใจชวนเจ้าหนูตะเภาทัพเพนนีมาร่วมคณะด้วยกัน เพื่อจะได้เล่นเป็นสุลต่าน และเจ้าหนูตะเภาก็ตัดสินใจร่วมเดินทางไปกับขบวนคาราวานในครั้งนี้ด้วย
รูปภาพนี้ เจ้าหนูผู้น่ารัก
เจ้าหมาแซนดี้รับหน้าที่ในการเดินทางไปซื้อผ้ามาตัดชุดสุลต่านให้กับเจ้าหนูทัพเพนนี และทุกตัวร่วมเดินทางไปเล่น โดยที่เจ้าหมูจะปลอมเป็นช้าง ส่วนทัพเพนนีก็นั่งอยู่ข้างบนตัวช้างปลอม และทุกคนจะมีการร้องเพลงเล่นให้สัตว์ทั้งหลายดูอย่างสนุก
วันหนึ่ง เจ้าหมูแพ็ดดี้หายตัวไป หลังจากที่สัตว์คาราวานคลาดกัน ซึ่งเจ้าม้าบิลลี่ก็ออกไปตามหา จนค้นพบเจ้าหมูแพ็ดดี้ที่ดันไปกินเห็ดพิษ จนไม่สบายและถึงเพ้อ ดังนั้น เจ้าไก่ชาร์ลเลยบอกให้พาเจ้าหมูมาพักข้างใน โดยเจ้าม้าบิลลี่รีบไปตามแมวมารักษา แต่กลายเป็นว่า ไม่สามารถรักษาเจ้าหมูหาย
รูปภาพนี้ ม้าบิลลี่ผู้น่ารัก
ในระหว่างนั้นที่รักษาเจ้าหมู สัตว์ทุกตัวได้เล่นละครให้สัตว์ที่นี้ดู และก็จะมีเจ้าไก่ชาร์ลที่ขัดตลอดเวลาว่า เขารู้จัก เขารู้แล้ว เล่นไปแล้วนี่ เล่นแบบเก่าอีกแล้ว คือทำเป็นอวดรู้ไปทุกเรื่อง แต่ถ้าคิดถึงน้ำใจของเจ้าไก่ชาร์ลก็มีมากโขอยู่ที่ช่วยเหลือเจ้าหมู และพฤติกรรมนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า “คนอวดรู้ หน้าตาแบบนี้นี่เอง”
เมื่อเจ้าแมวไม่สามารถรักษาเจ้าหมูหาย ดังนั้น เจ้าม้ากับเจ้าหมาจึงเดินทางไปเรียกให้คุณหมอหมาสัตวแพทย์มารักษาจนเจ้าหมูหายปกติ และสัตว์ทุกตัวในกองคาราวานนางฟ้าก็เตรียมเดินทางไปเล่นต่อไป
รูปภาพนี้ สัตว์น่ารักทั้งหลายในกองคาราวาน
“เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้จะพบว่า เจ้าม้าบิลลี่เป็นสัตว์ที่มากด้วยคุณธรรม มองโลกในแง่ดี และรักเพื่อนฝูงมาก เจ้าม้าตั้งใจที่จะหาเจ้าหมูตอนเจ้าหมูหายตัวไป และช่วยเหลือเจ้าหมูยามเจ็บไข้ ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าม้าตั้งใจช่วยทุกอย่างเท่าที่คิดว่าตัวเองจะทำได้ เปรียบเหมือน ปิดทองหลังพระ ที่ไม่ต้องให้ใครมาบอกว่า สิ่งที่ตัวเองควรทำดีหรือไม่ควรทำ เพราะม้าบิลลี่รู้อยู่แล้วว่า สิ่งที่ทำนี้คือดีและม้าบิลลี่ก็พอใจในสิ่งที่ทำ
เรื่องนี้สำหรับเรา เราว่า เจ้าม้าเป็นตัวละครที่เด่นชัดที่สุด และรองลงมาคงจะเป็นเจ้าหมาแซนดี้ ที่ฉลาด รอบรู้ แต่ไม่พูดจาอวดรู้หรือยกตนข่มท่าน เพราะมันพยายามหาวิธีช่วยเหลือเพื่อนๆทุกคนในลักษณะเป็นเหตุและผล แถมยังพูดจาไพเราะ ขอความช่วยเหลือได้อย่างดูดี มีหลักการ
นิสัยของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ บ่งบอกถึงว่า มีคนแบบนี้จริงๆในโลก ไม่ว่า คนขี้อายไม่กล้าสู้หน้าใครอย่างเจ้าหนูทิพเพนนี คนช่างพูด มีน้ำใจและช่างฝันอย่างเจ้าหนูซารีฟา คนช่างทำหน้าที่ตัวเองที่ได้รับมาให้ดีที่สุดอย่างเจ้าหมูแพ๊ดดี้ และคนช่างกลัวอย่างทุกตัวละครในเรื่องนี้ แต่ทุกตัวมีการกำจัดความกลัวที่แตกต่างกันไป”
รูปภาพนี้ นิทานจากคุณแกะ
“ใครกันจะมาเปิดประตู คอกอันใหญ่นี้
หมาจิ้งจอกเห่าลั่น ดวงจันทร์ขึ้นช้า
หิมะตกบนยอดเขา ฟางข้าวอยู่ในไร่”
เมื่อเราอ่านมาถึงบทสุดท้ายของเล่มนี้คือจะจบนิทานของนางฟ้าต้นโอ๊คที่ได้มีการให้คติเตือนใจของมนุษย์ผู้ชอบทำลายธรรมชาติและไม่อยู่กับธรรมชาติ
หลายครั้ง ที่มนุษย์ชอบขอพรกับธรรมชาติทั้งหลายว่า ให้ช่วยเหลือผลผลิตของเขา แต่ตัวเองกลับเป็นผู้ทำลายธรรมชาติที่ตัวเองขอพร ซึ่งมันก็ย้อนแย้งกันอย่างมาก ดังนั้น เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ไม่มีพรใดประเสริฐเท่าพรของตัวเองที่ทำด้วยตัวเอง
คือ ก่อนอื่น ทุกคนต้องเริ่มต้นที่เลิกเห็นแก่ตัว
เลิกทำลายกันเอง เลิกหาเรื่องกัน
และเมตตากรุณาต่อกัน เมื่อทุกคนทำแบบนี้ทุกวัน
โลกที่สวยงามก็อยู่เบื้องหน้า”
Look A Breathe
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in