ชื่อหนังสือ: ยังไงฉันก็จะเลิกงานตรงเวลาค่ะ
ชื่อผู้เขียน: อาเกโนะ คาเอรุโกะ
สำนักพิมพ์: Bibli
ครั้งที่พิมพ์: พิมพ์ครั้งที่ 1
จำนวนหน้า: 320 หน้า
ราคา: 329 บาท
รูปภาพนี้ รูปภาพหน้าปกหนังสือฉบับญี่ปุ่น
หนังสือเล่มนี้มันโดนใจวัยทำงานมาก เพราะเพียงแค่ชื่อหนังสือก็ทำให้ซื้อและเปิดอ่านดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และเราคิดว่า ไม่ว่าใครที่ทำงานอยู่และเจอแบบนี้ก็อินด้วยกันทั้งนั้น
หลายครั้งในชีวิตทำงานของเราก็คงเจอบริษัทหลายประเภท รวมถึงเจอคนหลายประเภทด้วย และด้วยการแข่งขันการทำงาน คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องทำโอทีก็จะดูเป็นคนขยันและบริษัทต้องการ แต่คนที่ไม่ทำหรือกลับบ้านตรงเวลาก็กลายเป็นคนทำงานดูแย่กับไม่กระตือรือร้นในสายตาทุกคน
“ต้องทำงานล่วงเวลา ถึงจะได้เลื่อนขั้น”
“ห้ามลาป่วย ห้ามลากิจ ห้ามลาเที่ยว ต้องลาตายเท่านั้นถึงทำได้”
“ถ้าเราตายไป ชีวิตเราก็ไม่มีประโยชน์ เพราะสุดท้ายก็มีคนอื่นมาแทนที่”
“WORK-LIFE BALANCE คือเรื่องจริงหรือเปล่า”
“ทำไมเราไม่หันกลับมามองคนที่ทำงานตรงเวลาว่าเก่งและมีประสิทธิภาพ”
เราเคยคิดว่า ไม่เห็นมีคนชมคนที่ทำงานตรงเวลาและทำงานเสร็จว่า มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ แต่กลับกลายเป็นว่า มีแต่คนชมคนที่ทำงานล่วงเวลาว่า ทำเพื่อบริษัทและมีประสิทธิภาพ โดยที่เราเห็นหลายต่อหลายครั้งว่า คนที่ทำงานตรงเวลามีประสิทธิภาพมากกว่าคนที่ทำงานล่วงเวลาอีกต่างหาก
รูปภาพนี้ นักแสดงในเรื่องนี้
ก่อนที่จะเริ่มเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้และซีรีย์เรื่องนี้ เราบอกได้เลยว่า คำพูดข้างต้นเป็นคำพูดที่ไม่กล่าวเกินจริงไป เพราะเรื่องราวเรื่องนี้จงใจจะพูดถึงคำพูดทั้งหมด เราจะขอเล่าซีรีย์ไปพร้อมกับหนังสือค่ะ และไม่เพียงเท่านั้น เรื่องราวในเล่มนี้ทำให้เราคิดออกว่า “จะไปมีประโยชน์อะไรถ้าเราตายในขณะที่ทำงาน เพราะสุดท้ายแล้วก็มีคนอื่นมาแทนที่อยู่ดี”
รูปภาพนี้ ความน่ารักของมุไค
หนังสือเล่มนี้
สำหรับเรา เราเริ่มต้นอ่านหนังสือก่อนที่จะดูซีรีย์ เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า ซีรีย์ทำออกมาได้ละมุน ดีต่อใจ มีความสุข สนุก น่ารัก น่าเอ็นดูและอมยิ้มตลอดเวลา แถมลดภาพความรุนแรงของการทำงานลง แต่หนังสือไม่ใช่ เพราะหนังสือเล่าถึงความจริงของวัฒนธรรมในการทำงานของญี่ปุ่น ที่ค่อนข้างรุนแรงและเครียด
อย่างเช่น แม๊กกระดาษไม่ตามมุม การวัดกระดาษต้องวัดให้ตรงตามมาตรฐาน (เคยเจอที่ทำงานเก่า) และความบ้างานที่เต็มไปด้วยพลังอันเหลือล้น และพอคุณตาย ก็แค่มีคนมาแทนที่ ซึ่งในหนังสือ บางคนสิงสถิตอยู่ที่บริษัทไม่กลับบ้าน กลับช่องเลย
ทุกคนทำงานกันเพียงแค่ให้เป็นใหญ่ ทุกคนอยากให้คนอื่นเห็นคุณค่า อยากให้เห็นว่ามีตัวตน ไม่ว่าจะคุณมินทามิที่ต้องให้คนเห็นว่าเก่งกับการไม่ลา คุณแม่รีบมาทำงานหลังลาคลอดไปได้นิดเดียว โคทาโร่ คนรักเก่าของยุยที่ทำงานโดยไม่นอนได้หลายคืน หัวหน้าผู้รับงานโดยไม่สนใจประสิทธิภาพของลูกน้อง ส่วนยุยผู้ตัดสินใจแล้วที่จะเลิกงานตรงเวลา
รูปภาพนี้ โดริ (ด้านซ้าย) ก็น่ารัก ส่วนมุไค (ด้านขวา) ก็ละมุน
ซีรีย์ญี่ปุ่น เรื่อง Watashi, Teiji de Kaerimasu
(わたし、定時で帰ります。)
ขอสารภาพว่าดูเรื่องนี้เพราะโดริ และสุดท้ายก็โดนมุไคตกไปให้ดูจนจบ คือ มุไคเล่นเรื่องนี้น่ารักมาก เพราะคือดูสายตาที่คอยชำเลืองมองดูยุยแบบห่วงๆอย่างห่างๆ และมือก็กดคีย์บอร์ดทำงานไป ดูเท่ห์ชะมัด และ โคทาโร่กลัวยุยฝืนเกินก็ตั้งใจทำงานแทนยุย และยังช่วยเหลือยุยลับหลังตลอด ปกป้องยุยทุกครั้ง ผิดกับทาคุมิ คือ ไม่เข้าใจว่า ยุยไปเอาทาคุมิได้ไง ในเมื่อโคทาโร่ทำเพื่อยุยขนาดนี้ และเราชอบฉากที่โคทาโร่เมาและบอกกับยุยต่อหน้าทาคุมิว่า "ยังรักเธออยู่"
“เราแปลกใจแค่ว่า มารยาททางสังคมพื้นฐาน
คือ การมาตรงต่อเวลา แล้วทำไมการเลิกงานตรงเวลา
ถึงไม่จัดอยู่ในมารยาทการทำงานทางสังคมพื้นฐาน”
(เรามั่นใจว่า ใครหลายคนก็มีความคิด
อยากเลิกงานตรงเวลา แต่ก็เกรงใจ
ทั้งคนในบริษัทและบริษัทว่า เดี๋ยวจะมองไม่ดี)
อย่างที่เราบอกว่า ซีรีย์มีการปรับบทให้ทุกคนดูน่าทะนุถนอม และเน้นการทำงานเป็นทีมด้วยความสามัคคี คือ พอยุยได้ไปคุย ทุกคนก็เข้าใจและกลับมาทำงานด้วยกันอย่างทีม ทุกคนตั้งใจทำเพื่องาน พอดูเสร็จ ก็รู้สึกมีแรงกำลังขึ้นมาที่จะต้องทำงานด้วยใจรักกับทีมเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก แต่หนังสือเน้นความจริงของการมีปากเสียงกัน มีความไม่เข้าใจกัน ไม่ลงลอยกัน แต่เหตุผลและความจริงก็ย่อมชนะทุกสิ่ง
รูปภาพนี้ ความสามัคคีของทีมทำงาน
แต่ทุกคนยังไม่ลืมคอนเซปของการกลับบ้านตรงเวลา ซึ่งในเรื่อง ยุยมีการบอกว่า ทำง่ายๆเพียงแค่ 3 ขั้นตอนเท่านั้น ก็สามารถทำให้เราได้กลับบ้านตรงเวลา คือ จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบเพื่อหาของง่าย ทำลิสต์ไว้ว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง และจัดเวลาในการทำงานแต่ละอย่าง
ในเมื่อเรามีเวลาจำกัด ทำไมเราไม่ทำเวลาจำกัดให้มีคุณค่า โดยไม่ต้องทำงานล่วงเวลา และเรายังลาไปพักผ่อนทำอะไรหลายอย่างได้ด้วย ซึ่งอย่างยุยก็จะลาไปแช่บ่อน้ำร้อน พอเลิกงานก็ไปกินเบียร์ลดครึ่งราคา เป็นต้น
“การที่คนๆหนึ่งเลิกงานตรงเวลา
ไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นจะไม่มีผลงาน”
(เรื่องจริง คนเราสร้างผลงานในเวลาจำกัดได้
ถือว่า เป็นคนที่มีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล)
รูปภาพนี้ ยังไงฉันจะกลับบ้านตรงเวลาค่ะ
นางเอกหรือยุย (ด้านซ้าย) และนักเขียน (ด้านขวา)
เรื่องราวทั้งหมดของทั้งหนังสือและซีรีย์ เริ่มจากที่พ่อของยุยเป็นคนทำงานหนักมาก จนไม่มีเวลาให้กับทางบ้านเลย และตัวของยุยเองก็เคยทำงานจนเกือบตาย แต่แล้วก็รอดปาฏิหาริย์ ดังนั้น ยุยตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่า เธอจะเลิกงานตรงเวลา
เธอรักอยู่กับโคทาโร่ และโคทาโร่เป็นพวกบ้างานอีก ดังนั้น ทั้งสองคนก็เลยเลิกกัน ความเป็นจริง เราชอบโคทาโร่ในแบบของหนังสือมากกว่าในบางมุมนะ เพราะดูเรียลดี และคือ โคทาโร่ในหนังสือดูมาดกวนกว่า คือ ไม่ละมุนเหมือนในซีรีย์ และมีแอบหึงหวง ประชดเรื่องแหวน เรื่องที่พักของยุยที่เช่าอยู่กับทาคุมิ และปากเสีย หาเรื่องตลอด (แหม่ หึงก็บอกเถิด) แต่ซีรีย์คือ โคทาโร่ไม่ปากเสีย แถมอ่อนโยนตลอด
เราชอบฉากในหนังสือที่พอโคทาโร่รู้แล้วว่า ยุยจะแต่งงานกับทาคุมิและโคทาโร่ก็เงียบไป ไม่กล้าพูดอะไร และเรื่องมาเปิดเผยว่า ที่โคทาโร่ย้ายมาทำงานอยู่กับยุย เพราะจะมางอนง้อขอแต่งงาน และจะเปลี่ยนตัวเองไม่ให้บ้างานแถมเลิกงานตรงเวลา แต่พอรู้ว่า ยุยมีใหม่ ก็คิดว่า งานนี่ล่ะช่วยให้เขาลืมได้จริงๆ
รูปภาพนี้ ฉันไม่คิดทำงานล่วงเวลาค่ะ
เมื่อเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากหัวหน้าบ้างานเพียงคนเดียวอย่างเจ้าฟุคุนางะ เจ้านี้ล่ะตัวดีเลย รับงานไม่คุ้มทุน (และมีหัวหน้าเยอะแบบนี้ในโลก ที่ไม่รู้คิดอะไร ถึงรับงานแบบนี้มาได้ เพราะงานแบบนี้ ต้องมีใครสักคนใดคนหนึ่งตาย) และเมื่อยุยมารับหน้าที่เป็นชีฟ ยุยก็ต้องพยายามปฏิวัติทุกคนให้เลิกงานตรงเวลาให้ได้
แต่ความเป็นจริง งานแบบนี้ก็ยากต่อการเลิกงานตรงเวลา แต่ยุยยังไม่ยอมแพ้ ทำให้โคทาโร่ที่อย่างที่บอกว่า มองแบบห่วงๆอย่างห่างๆ ต้องทำงานล่วงเวลาแทนยุย ชูน้องชายของโคทาโร่ที่โดริเล่นก็มาขอความช่วยเหลือยุย ยุยที่จำได้ว่า เคยเห็นโคทาโร่ทรุดจากงานจนแย่ ก็พยายามช่วย
ชู น้องชายของโคทาโร่ เคยบ้างานอย่างหนักตามพี่ชาย แต่วันหนึ่ง วันที่อยากจะฆ่าตัวตาย (คนญี่ปุ่นฆ่าตัวตายเยอะเพราะทนความลำบากจากงานไม่ไหว) ได้รับสายของยุย และยุยบอกว่า บางทีก็ต้องป่วยการเมืองบ้าง (หนังสือ แต่ในซีรีย์ คือ หยุดตัวเองทัน เพราะนึกเหตุการณ์นั้นได้) ดังนั้น ชูก็ตัดสินใจลาป่วยพร้อมลาออกจากงานและมาอยู่บ้าน นั่งรับงานจากยุยมาทำแทน
ถ้าทุกคนอ่านและดู จะเห็นว่า มีสิ่งที่ทั้งเหมือนและต่างกันของเรื่องนี้ คือ ยุยเป็นตัวละครที่หลายคนเห็นว่าไม่เอาไหน ไม่ควรทำตามเป็นแบบอย่าง ไม่งั้นชีวิตและโลกก็ไม่เจริญขึ้น(หนังสือและซีรีย์ช่วงแรก) และอีกหลายคนก็เห็นด้วยและทำตาม แต่สิ่งที่ยุยทำกับทุกคน คือ เอ่ยปากชม จะชมเล็กชมน้อย และเอาใจใส่ เพราะจริงๆแล้วยุยเป็นคนแบบนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้ทุกคนยอมรับและรักยุยในที่สุด
รูปภาพนี้ ฉันจะหยุดพักผ่อนเพื่อตัวของฉันค่ะ
และเมื่อเรื่องราวเดินมาถึงตอนใกล้ที่จะจบ ยุยได้รับบาดเจ็บจากการกลับมาทำงานหนัก เเละโคทาโร่ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก โคทาโร่ในหนังสือไม่ได้ร้องไห้ (แต่เราก็รู้นะ ว่า นายเป็นห่วงสุด) แต่สำหรับในซีรีย์ โคทาโร่ร้องไห้เสียน้ำตา จนทำให้ยุยยิ่งรู้ใจตัวเองเข้าไปใหญ่
ยุยตัดสินใจบอกฟุคุนางะให้ลาหยุดไป ๒ ปี (ในหนังสือ) เพื่อพักผ่อนเถิด เพราะจะได้ค่อยๆคิดทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำ และยุยจะรอฟุคุนางะอยู่ตรงนี้ จะเก็บที่ว่างให้กับเขา ซึ่งเขาก็ยอม ส่วนในซีรีย์ โคทาโร่มาขอร้องแทน และฟุคุนางะก็เข้าใจ
หลังจากนั้น ทาคุมิมาขอบอกเลิกยุยเพราะว่านอกใจยุย และยุยพยายามง้อนง้อก็ไม่สำเร็จ แต่ในหนังสือ คือ โคทาโร่ไปเห็นเขานอกใจและไม่อยากให้ยุยเห็น แต่ในไม่ช้า ยุยเห็นก็เข้าใจและตัดสินใจเลิกลากันไป
เราชอบตอนจบของซีรีย์เรื่องนี้มากกว่าหนังสือนะ เพราะหนังสือก็จบให้เราเดาต่อล่ะว่า ต้องคู่กันแน่ๆ แต่ซีรีย์ทำได้ละมุนแบบฟินจิกหมอน และอมยิ้ม จนไม่สามารถลืมมุไคได้ตลอดวัน ตลอดคืนเลย คือ มุไคที่เล่นเป็นโคทาโร่มาบอกกับยุยว่า “มาอยู่บ้านด้วยกันเถิด”
คำพูดแค่นี้กับแววตาของมุไคที่ส่งมาก็เพียงพอที่จะทำให้เราบ้า อ่อนระทวย กอดหมอนและหัวเราะไปมา เพราะโดนเสน่ห์ของเขาตกอย่างอยู่หมัดแล้ว เราขอบอกเลยว่า ใครบอกว่า ผู้ชายญี่ปุ่นไม่หล่อและไม่ดูดี ขอให้เปลี่ยนความคิดใหม่ ด่วน
“ฉันจะเลิกงานตรงเวลาค่ะ
มีอะไรสอบถามได้
จริงๆแล้วเราทำเพื่อใคร
ทำเพื่อได้ตัวเองกลับมา”
เรื่องราววายป่วงทั้งหมดนี้ก็จบลง ถึงแม้ว่า จะต้องตามความจริง ว่า มีคนที่ไม่สามารถจัดการเวลาให้อยู่หมัดได้ ก็ต้องอยู่ดึกต่อไป หรือหลายครั้ง งานที่เร่งจริงๆก็ต้องทำให้อยู่ดึก แต่เรื่องนี้ ไม่ทิ้งกลิ่นอายความจริงว่า ถ้าหัวหน้าไม่รับงานเน้นขาดทุนแบบนี้และงานหนักแบบนี้ เราสามารถจัดการเวลาให้อยู่หมัดได้ และทุกคนสามารถกลับบ้านตรงเวลาได้ค่ะ
และเราชอบฉากในซีรีย์ที่เสนอถึงเรื่องการคุกคามทางเพศว่า สิ่งที่ผู้ชายบังคับเราทำแบบนี้ ก็เป็นการคุกคามทางเพศ และการแก้ไขปัญหาของการคุกคามทางเพศของผ่านยุยและโคทาโร่ รวมถึงทั้งซีรีย์เน้นว่า ถึงแม้งานจะสำคัญแค่ไหน แต่มีหลายอย่างที่ประกอบเป็นตัวเรา ไม่ว่าจะทั้งคนรอบข้าง ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และคนที่เรารักทุกคนนั้นล่ะก็สำคัญกว่า การใช้ชีวิตไปกับงานจนลืมทุกอย่าง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญและสิ่งสุดท้ายในชีวิตจริงๆหรือเปล่า และสุดท้ายมีคำพูดของประธานบอกว่า "อย่าทุ่มเทชีวิตให้กับบริษัทจนเกินไป"
“ฉันเชื่อว่า ฉันจะกลับบ้านตรงเวลาค่ะ”
Look A Breathe
(Read A Book)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in