รูปภาพนี้ หนังสือใบไม้ผลิที่ไม่มีเธอเป็นซากุระ
เราอ่านหนังสือเล่มนี้จบไปพร้อมกับตับพัง น้ำตาไหลออกมาเป็นถัง กับเรื่องราวสุดแสนประทับใจ อบอุ่นใจและละมุน แต่แล้วพอเรามาดูภาพยนตร์ใน Netflix แล้วเรารู้สึกว่า พังเหมือนกัน คือ ความรู้สึกพัง
รูปภาพนี้ ภาพยนตร์เรื่อง Love Like the Falling Petals
ภาพยนตร์ทำได้ออกมาไม่สนุกและสุดกว่าที่คิด เรารู้สึกว่า ตอนหลัง เขาให้นางเอกเล่นน้อยเกินไป และยัดบทที่พยายามจะขยี้ให้คนดูร้องไห้ แต่เราไม่ร้องไห้ เพราะคล้ายกับถูกยัดความรู้สึกเศร้ามากเกินไป แต่มันกลับไม่เศร้า แบบว่า อธิบายไม่ค่อยถูก
“ซากุระที่ผลิบานและร่วงโรยเปรียบเหมือน
ชีวิตของคนหนึ่งคนที่เมื่อเกิดมาก็ย่อมดับไป”
รูปภาพนี้ นักเขียนหนังสือเล่มนี้ที่เขียนออกมาได้สุดแสนอบอุ่นใจและละมุน
พระ-นางเรื่องนี้แบกรับหนังเรื่องนี้เอาไว้เต็มๆทั้งเรื่องเลย โดยเฉพาะตอนหลังที่พระเอกแทบแบกเรื่องเอาไว้ ซึ่งคือ โทนเรื่องค่อนข้างอืด เบื่อ ในช่วงหลังจริงๆ ซึ่งผิดกับหนังสือที่อ่านแล้วรู้สึกถึงความรักของมิซากิกับฮิโรโตะจริงๆ คล้ายกับว่า เราเข้าไปอยู่ในชีวิตของทั้งสอง ทำให้เราเห็นถึงความผลิบานของความรักของทั้งคู่อย่างค่อยเป็นค่อยไป จนเรารู้สึกซึ้งปนเศร้าในชีวิตของทั้งคู่จริงๆ
“มิซากิเปรียบเหมือนซากุระในความทรงจำผม”
เปรียบดั่ง
“ตอนผมเจอมิซากิก็แรกรัก
สุดประจักษ์พบรักแท้ไม่แปรผัน
ชีวิตทั้งสองรักกันทุกๆวัน
สุดจะพลันรักแท้ตลอดไป”
รูปภาพนี้ ปกหลังเปิดเผยเนื้อหาสำคัญแล้ว
รวมถึงชื่อหนังสือก็สามารถเดาตอนจบได้
(ขอรีวิวหนังสือก่อนค่ะ)
ฮิโรโตะเจอมิซากิโดยบังเอิญที่ร้านตัดผม ซึ่งมิซากิได้เผลอไปตัดติ่งหูของฮิโรโตะเข้าและฮิโรโตะตัดสินใจขอมิซากิออกเดต ก่อนเขาจะบอกความจริงกับมิซากิว่า เขาโกหกเรื่องเป็นช่างถ่ายรูป ในครั้งแรก มิซากิโกรธเขา แต่ก็ยังให้กำลังใจจนฮิโรโตะตัดสินใจที่จะถ่ายรูปเพื่อคนที่ตัวเองรัก และฮิโรโตะตั้งใจเดินตามทางฝัน
ในขณะนั้นเอง มิซากิพบว่า ตัวเองป่วยเป็นโรคแก่ก่อนวัยอันสมควร เมื่อมิซากิรู้ อยากที่จะเก็บความทรงจำที่ดีของทั้งสองคนไว้ โดยไปเที่ยวกัน และมิซากิอยากตอบรับที่จะแต่งงานกับฮิโรโตะ แต่ไม่กล้าพอ
วันหนึ่ง มิซากิตัดสินใจบอกเลิกฮิโรโตะและฮิโรโตะรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเองและเศร้าเสียใจมาก แต่สุดท้าย ฮิโรโตะมารู้จากพี่ชายของมิซากิว่า เธอไม่สบาย ฮิโรโตะขอร้องจนได้โชว์ภาพในนิทรรศการ และทั้งสองพบกัน แต่ฮิโรโตะจำมิซากิไม่ได้ ก่อนเขาจะมารู้ทีหลังว่า ยายแก่คนนั้นคือมิซากิ
หลังจากมิซากิเสียชีวิตไปแล้ว และมิซากิไม่อยากให้ใครเห็นเธอแก่ตาย อยากให้ทุกคนจดจำเธอในสภาพสวยงาม มิซากิเขียนจดหมายถึงฮิโรโตะ จนทำให้ฮิโรโตะรู้สึกอยากมีชีวิตอีกครั้งและอยากทำความฝันให้เป็นจริง เพราะเขาปรารถนาจะถ่ายรูปให้คนที่เขารักดู
รูปภาพนี้ พระ-นางในหนังเรื่องนี้
เรารู้สึกว่าคือ อ่านจบ แล้วทำให้เราเข้าใจในมุมมองคนป่วย มุมมองคนที่อยู่กับคนป่วย ความหวังหรือความผิดหวัง รวมทั้งคนที่รักเรา และรักเขา มันจะมีหลายอย่างที่หนังสือ สามารถดึงความประทับใจออกมาได้สุดคือ รักครั้งสุดท้ายที่ตราตรึงใจ ไม่จำเป็นต้องคู่กันเสมอไป แต่ขอให้คนๆนั้นเป็นดั่งซากุระที่ร่วงโรยอยู่ในมือของเรา หรืออยู่ในความทรงจำของเรานั้นเอง และฮิโรโตะขอมีชีวิตอยู่โดยมีความทรงจำของมิซากิอยู่ในใจของเขาตลอดไป
"เพียงแค่หนึ่งวันที่ได้รู้จักรัก
ดีกว่าอยู่ทั้งชีวิตแล้วไม่มีรักเลย
เพราะทั้งชีวิต ซากุระผลิบานในใจและชีวิตนั้น"
รูปภาพนี้ ขอรีวิวหนังต่อค่ะ
ส่วนในหนัง มีช่วงหลังจากที่ทั้งคู่รักกันแล้ว และมิซากิรู้ตัวแล้วว่า ตัวเองเป็นโรคนี้ มิซากิมาหาฮิโรโตะที่บ้านและมีอะไรกัน ก่อนที่จะไม่ติดต่อหาฮิโรโตะอีก มิซากิติดต่อฮิโรโตะมาอีกครั้ง และขอให้หมอร่วมแสดง แกล้งเป็นแฟนของเธอ เพื่อขอเลิกกัน ซึ่งฮิโรโตะก็เศร้าและเสียสูญมาก
พี่ชายมิซากิพามิซากิไปหาหมอแต่ถูกหลอก และมิซากิขอให้พี่สะใภ้พาไปเห็นฮิโรโตะ และในไม่ช้า พี่ชายมิซากิตัดสินใจไปบอกฮิโรโตะ ซึ่งฮิโรโตะมาหามิซากิ แต่ไม่เจอกัน เพราะมิซากิไม่อยากพบฮิโรโตะ ซึ่งทั้งคู่ก็ร้องไห้ภายใต้ประตูกั้นระหว่างทั้งคู่ และสุดท้ายมิซากิมาดูงานนิทรรศการรูปภาพของฮิโรโตะ
หลังจากนั้น มิซากิตาย ฮิโรโตะได้รับจดหมายจากพี่ชายมิซากิ ทำให้ฮิโรโตะเข้าใจความหมายของชีวิตว่า มิซากิอยากให้เขามีชีวิตอยู่ เพื่อตัวเขาเองและเพื่อมิซากิด้วย รวมถึงคนทุกคนที่เขารัก เพราะมิซากิคือซากุระที่เบ่งบานในใจของฮิโรโตะ
ความรักระหว่างพี่น้องหรือความรักระหว่างคนรัก ระหว่างมิตรภาพ ระหว่างพ่อแม่ ระหว่างครอบครัว คือ ความรักที่บริสุทธิ์ เพราะมีแต่ความหวังดี ความประสงค์ดี ความรักดีที่มอบให้กัน ถึงแม้คนๆนั้น ทำให้ทุกข์ใจขนาดไหนก็ตาม แต่เราก็สุขทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือและได้มีกันและกันอยู่ในความทรงจำ
“ถึงแม้ซากุระจะไม่ผลิบานในใจมิซากิแล้ว
แต่กลับกลายว่ายังผลิบานในใจทุกคน”
Look A Breathe
(LAB)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in