“ทุกคนเรียกร้องอิสระ
ชีวิตจะเป็นอย่างไรหารู้ไหม
แต่ขอสู้จนหมดหัวใจ
เพื่อจะได้หนทางที่เสรี
ทุกคนอาจไม่เข้าใจเราดี
ว่าสิ่งนี้ที่เราเรียกร้องมี
หนทางอิสรภาพเสรี
เขาเรียกสิ่งนี้ว่าของขวัญ”
เรื่องราวในเล่มนี้ต่อเนื่องกันมาต่อหลังจากลินคอล์นเรียกร้องเสรีภาพโดยประกาศเลิกทาสให้กับคนผิวดำ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้สำเร็จอะไรเท่าไหร่ เพราะคนผิวดำยังถูกรังแกอยู่ร่ำไป แต่ก็มีคนผิวขาวบางคนที่ดีต่อกับคนผิวดำเช่นกัน
มาร์ตินเกิดในตระกูลบาทหลวง และพบถึงความไม่เท่าเทียมตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะห้ามโดยสารรถประจำทาง ห้ามกินอาหาร ห้ามซื้อรองเท้า ที่ร้านคนผิวขาวไม่อนุญาตให้คนผิวดำเข้า และเมื่อตอนเป็นเด็กที่เขาเป็นเพื่อนกับคนผิวขาว ถูกห้ามเล่นด้วยกันอีก เพราะเพียงแค่ตัวเองเกิดมาผิวดำ
“ในความคิดเรานะ ไม่มีใครอยากผิวดำหรอก
ผิวเหลืองก็ไม่มีใครอยากเป็น
เเละทุกคนอยากผิวขาวเหมือนกันหมด
เพราะเราถูกป้อนข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วว่า
ขาวถึงดูดี”
คราวนี้ มาร์ตินคิดทุกวิถีทางว่า เราจะต้องสู้เพื่อคนผิวดำให้เป็นอิสระอย่างไร เขาได้ไปศึกษาหลักอหิงสาจากการอ่านหนังสือของคานธีและตัดสินใจนำมาดำเนินตาม ไม่ว่า ให้คนผิวดำไม่โดยสารรถประจำทาง แต่เลือกเดินไปทำงาน ซึ่งทุกคนตั้งใจทำกันมาก จนกระทั่ง ก็สามารถเปลี่ยนกฎให้คนผิวดำโดยสารรถประจำทางได้
มาร์ตินได้ตั้งใจไปศึกษาดูงานที่อินเดียและนำเอากลับมาใช้ในการสู้ต่อไป ถึงแม้เขาจะถูกจับเข้าคุก ถูกแทง ถูกทำร้าย ถูกขู่ แต่เขาก็ไม่กลัว เขาคิดจะทำทุกทางเพื่อช่วยเหลือคนผิวดำ จนกระทั่ง เขาก็สามารถประกาศอิสรภาพได้เพียงบางส่วน ก่อนที่ชีวิตของเขาจะถูกฝ่ายไม่เห็นด้วยยิงดับไป พร้อมกับจบชีวิตของนักสู้อิสรภาพ ถึงแม้ว่า ปัจจุบัน อาจจะไม่ได้ดีขึ้น แต่มันก็ดูเหมือนว่า จะดีกว่าแต่ก่อน
เราขอบอกว่า เรื่องราวของมาร์ติน ทำให้เราหันมามองถึงตัวเองและคนอื่นนะ ว่า เราต้องเข้าใจพวกคนที่ชอบบังคับคนอื่นด้วยนะ ว่า คนพวกนี้ คงมีปมในใจถึงทำแบบนี้ ถ้าหากคนเราเป็นคนที่ดี เมตตาต่อกัน และไม่มีปมจริงๆ คงไม่ทำร้ายอิสรภาพของคนอื่นขนาดนี้ แต่เราก็มองพวกที่เรียกร้องอิสรภาพแบบผิดๆเหมือนกันนะว่า เข้าใจอะไรผิดอยู่หรือเปล่า มีแต่เพียงเลิกเบียดเบียนกัน เลิกเห็นแก่ตัว ก็พบหนทางที่ดีแล้ว
“เสรีภาพคือสิ่งที่หอมหวาน
แต่เราอย่าลิดรอนเสรีภาพของคนอื่นด้วย”
Look a Breathe
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in