“มีสติรู้เท่าทัน เห็นความคิด
จะเห็นชีวิตที่ปกติ
มีสติอยู่เหนือความคิด จะเห็นชีวิตไม่มีทุกข์
มีสติรู้เท่าทันความคิด จะพบชีวิตที่มีสุข”
- หลวงพ่อทอง อาภากโร -
-1-
ธรรมชาติของจิตจะเกิดขึ้นเมื่อมีอารมณ์มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกสิ่งเร้ากระตุ้นด้วยอารมณ์พอใจและไม่พอใจนี้ จิตใจของเราก็จะเต็มไปด้วยสุขและทุกข์ตามลำดับเช่นเดียวกัน
-2-
หลายต่อหลายครั้ง เราเจอคนที่วิจารณ์สิ่งที่เราพูดและกระทำในทางที่ไม่ดี เมื่อเรารับฟังนั้นแล้ว เรารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนกระทบในด้านความรู้สึกลบของเรา
แต่หากเมื่อไหร่ที่เราหยุดบ้าง และ ค่อยๆคิดอย่างรอบด้านแล้ว เราพบทางสองทางในจิตใจของเรา ได้แก่
ทางแรกจะพบว่า
“หากเมื่อสิ่งที่เขาวิจารณ์เป็นสิ่งที่ถูก
เราควรขอบคุณเขา
เพราะเขาเป็นดั่งกระจกเงา
สะท้อนความผิดพลาดของเรา
และเราควรรีบปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่เขาวิจารณ์นี้ทันที”
ในทางตรงข้ามกัน
“หากเมื่อสิ่งที่เขาวิจารณ์เป็นสิ่งที่ผิด
คือ ไม่เป็นความจริง
เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด
ดังนั้น เราควรปล่อยวางความคิดนี้
เพราะเราไม่สามารถหยุดปาก
และหยุดความคิดของคนอื่นได้
แต่เราสามารถหยุดความคิดและการกระทำของเราได้”
ยกตัวอย่างเช่น
ตอนเราทำงาน มีลูกค้าทักเราว่า
“ทอมหรือเปล่าหวะ เป็นทอมใช่ไหม
ไม่อยากซื้อกับทอมโว้ย”
เรามองหน้าลูกค้าอย่างเข้าใจว่า ลูกค้าเป็นคนมองโลกในแง่ลบและใจแคบมาก
เพราะลูกค้าตีความผู้หญิงทุกคนที่ไว้ผมสั้นเป็นทอม แต่ความจริงแล้ว ผู้หญิงที่ผมสั้นทุกคนไม่ได้เป็นทอม แต่แค่เป็นความชอบส่วนบุคคลก็ได้ อย่างเรา เราเป็นคนขี้ร้อน ชอบไว้ผมสั้น
และเราคิดอีกทีว่า คนๆนี้ใจแคบมาก เพราะสมมติถ้าเราเป็นทอมจริงๆ เราก็คงรู้สึกแย่มากว่า ทำไม ไม่อยากซื้อกับทอม มันทำให้คนที่เป็นทอมจริงๆเครียด แต่พอเราไม่เป็น เราเลยอดเห็นใจไม่ได้
และเราบอกกับลูกค้าว่า
“ค่ะ เนื่องจากตอนนี้ ทุกคนยุ่งทุกคนเลยค่ะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ขอให้ลูกค้าลืมเรื่องความเป็นทอมนี้ไปก่อน และให้หนูได้แนะนำสินค้าให้ได้ไหมค่ะ”
ลูกค้าใจแคบผู้นั้นตอบว่า
“ไม่ได้ จะรอคนอื่น”
เราตอบลูกค้าว่า
“ได้ค่ะ งั้นจำเป็นต้องกลับไปต่อคิวข้างหน้าใหม่ เพื่อทำการเข้าร้าน และจะได้พบเจอกับพนักงานท่านอื่นได้ค่ะ หนูต้องปฏิบัติตามกฏและระเบียบของบริษัทค่ะ”
ลูกค้าตอบว่า
“ให้ผมกลับไปรอใหม่ ผมรอมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ งั้นผมซื้อกับคุณก็ได้”
และลูกค้าซื้อสินค้ากับเราจนเสร็จและออกจากร้าน โดยที่เราไม่ได้ทะเลาะกับลูกค้าเลย เพราะเรารู้ทันความโกรธตัวเองและเข้าใจความคิดของลูกค้า
เราคิดต่อสถานการณ์นี้ว่า เราไม่สามารถหยุดความคิดนี้ของลูกค้าได้อยู่แล้ว คนที่เขารังเกียจเพศที่สามในสังคมก็มีมากมาย แต่เมื่อเราไม่เป็น แล้วเราจะร้อนใจไปทำไม สู่ปล่อยวางความโกรธเคืองนี้ดีกว่า
และปล่อยให้เขาทุกข์กับความคิดของเขาต่อไป เรามั่นใจนะ ว่า คนที่ใจแคบแบบนี้ จริงๆเขาก็ทุกข์ของเขาอยู่ในใจเหมือนกัน เพราะบางที เบื้องหลังคนเหล่านี้ คงมีลูกสาวเป็นทอมแน่ๆ พอรังเกียจความที่ลูกสาวเป็นทอม ก็รังเกียจผู้หญิงที่ไว้ผมสั้นที่คิดว่าเป็นทอมไปด้วย เรากลับสงสารคนพวกนี้ด้วยซ้ำ
“ผมสั้น ≠ ทอม”
-3-
เมื่อเราอาศัยอยู่ในโลกนี้แล้ว ไม่มีใครย่อมอาศัยอยู่ได้นาน แต่เราเพียงอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้น การที่เราอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมนั้น ย่อมไม่ได้หมายความว่า เราจะอยู่กับคนๆนี้ถาวรตลอดไป เพราะฉะนั้น เราจะอยู่กับคนๆนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
ความสามัคคี คนเราไม่มีทางที่จะอยู่คนเดียวหรือทำงานคนเดียวได้ แต่เราทุกคนต้องทำงานร่วมกันกับคนอื่น
ยกตัวอย่างเช่น
งานในปัจจุบันที่เราทำ คือ บล็อกเกอร์ รีวิวหนังสือและสถานที่ท่องเที่ยว โดยที่เราทำงานคนเดียวนั้นจริงอยู่ แต่ถ้าไม่มีคนผลิตหนังสือ ไม่มีนักเขียน ไม่มีประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวนั้น เราไม่สามารถนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังอยู่ดี เพราะความสามัคคีที่รวมพลังกันระหว่างทุกคนสามารถทำให้ทุกอย่างสำเร็จได้เป็นอย่างดี
ไม่เพียงเท่านั้น
“คุณค่าของความสำคัญของแต่ละคนนั้นย่อมไม่เท่ากัน
เมื่อเราอยู่ในสังคมนั้น
เราอยากให้คนในสังคมยอมรับเรา
ชื่นชมเรา และเข้าใจเรา
แต่ทุกคนลองหันกลับมาคิดดูว่า
การที่คนๆหนึ่งจะถูกยอมรับได้ในวงกว้างนั้น
ส่วนมากแล้วย่อมจะเป็นคนดี
หรือคนที่ทำเพื่อสังคมวงกว้างอย่างแท้จริง”
ยกตัวอย่างเช่น
เหตุการณ์ที่ไฟไหม้โรงงาน มีอาสาเข้าไปช่วยและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ คนทุกคนก็ยกย่อง ชื่นชมในคุณงามความดีที่ทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแท้จริง โดยที่อาสาคนนั้นไม่ได้สนใจในประโยชน์ส่วนของตนเลย
ส่วนเราทุกคนสามารถทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมได้เช่นกัน คือ เราแค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
“ถ้าเราเป็นลูก ทำหน้าที่กตัญญูรู้คุณพ่อแม่”
“เราทำหน้าที่ค้าขายก็ควรมีศีลธรรมและจริยธรรมในการให้คำแนะนำสินค้ากับลูกค้าและปฏิบัติตามกฏของบริษัท”
“และถ้าเราทำงานเป็นนักการตลาด เราไม่ควรทำโฆษณาที่หลอกลวงลูกค้าและสามารถให้ทางเลือกกับลูกค้าได้เช่นกัน”
“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งง่ายๆที่ทำร่วมกับคนอื่น
ด้วยความสามัคคีและอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ
ชีวิตของเราสามารถประสบความเร็จและสมปรารถนาได้เป็นอย่างดี"
5 เหตุผลที่เลือกอ่านหนังสือเล่มนี้
1. การอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคม
"การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น
จะชื่นบานหรือเศร้าใจอยู่ที่ตน
หากแม้นเราเรียนรู้คน
ไม่ต้องทนเมื่อใจยอมรับมัน
เรียนรู้และให้อภัยด้วยกัน
ยามคับขันช่วยกันตลอดนั้น
ค่อยๆสอนค่อยๆทำเสร็จทัน
เรียนรู้กันสามัคคีถ่อมตนเอย"
“คนเราปัจจุบันนี้ เวลาอยู่ร่วมกัน มักจะมีปัญหา
เพราะคนนี้คิดว่าตัวเองเก่งกว่าอีกคน
อีกคนก็คิดเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่มีใครยอมใคร
แต่ถ้าเราเรียนรู้การอยู่ด้วยกัน
อย่างทำงานด้วยกัน ต้องไปด้วยกัน
อย่าพูดจาให้เกิดความขัดแย้ง อย่าทำให้ส่งผลลบ
ทุกอย่างมันก็จะดำเนินไปด้วยความสำเร็จด้วยดี”
2. การรู้จักอยู่กับตัวเอง
"ตนเองคืออะไรอยู่ที่ไหน
หาเห็นไม่มีหรือตัวตนนี้
เห็นแต่เพียงธาตุทั้งสี่
รวมกันดีเป็นร่างกายเรา
จิตใจนั้นตัวรับความคิด
ได้ใกล้ชิดอารมณ์สมหมาย
อารมณ์ดีพร้อมกับเลวร้าย
รู้ทันหลายความคิดจะโชคดี"
“การรู้จักตัวเองมันลำบากนะ
เพราะคนเราส่วนใหญ่ชอบดูตัวเองเพียงแค่ 1%
และชอบดูคนอื่นมากถึง 99%
แต่หากเราดูตัวเองมากขึ้นล่ะ เราจะพบว่า จริงๆแล้ว
อารมณ์ของเรากับคนคนอื่นไม่ต่างกัน ดังนั้น
เราควรละโลภ โกรธ หลงจะดีที่สุด”
3. การเป็นมิตรแท้
"หากอยากเจอเพื่อนที่ดี
เราควรมีความดีนั้นก่อน
ควรเป็นตัวอย่างไม่ลิดรอน
ได้สอนความรู้และให้อิสระเอย
หากเราทำตัวเป็นมิตรชั่ว
คงได้คั่วกับความเลวไม่รู้หลาย
เพื่อนรอบข้างเหมือนคนร้าย
ทุกคนหมายทางผิดเสมอไป"
“มิตรที่ชั่ว คือ มิตรที่หลอกลวง มิตรที่ปอกลอก
มิตรที่พาเราไปในทางที่ไม่ดี ใครๆก็กลัวมิตรประเภทนี้
แม้กระทั้งพระพุทธเจ้ายังกล่าวมงคลข้อแรก
คือ ไม่ควรคบคนพาลเลย
และทุกคนอยากพบมิตรดีที่แท้จริง
นั้นคือ มิตรที่จริงใจ มิตรที่ไม่หลอกลวง
มิตรที่พาเราไปในทางที่ดี
ดังนั้น เราควรเป็นมิตรที่ดีให้กับคนอื่นก่อน
(เรียนรู้ที่จะให้ก่อนที่จะเป็นผู้รับ)”
4. ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
การงาน
อันการงาน คือคุณค่า ของมนุษย์
ของมีเกียรติ สูงสุด อย่าสงสัย
ถ้าสนุก ด้วยการงาน เบิกบานใจ
ไม่เท่าไร ได้รู้ธรรม ฉ่ำซึ้งจริง
เพราะการงาน เป็นตัวการ ประพฤติธรรม
กุศลกรรม กล้ำปนมา มีค่ายิ่ง
ถ้าจะเปรียบ ก็เปรียบคน ฉลาดยิง
นัดเดียววิ่ง เก็บนก หลายพกมา
คือการงาน นั้นต้องทำ ด้วยสติ
มีสมาธิ ขันติ มีอุตสาห์
มีสัจจะ มีทมะ มีปัญญา
มีศรัทธา และกล้าหาญ รักงานจริง
- พุทธทาสภิกขุ -
“การที่เราทำงานสักอย่างหนึ่ง
เราควรทำงานนั้นด้วยสติและสัมปชัญญะด้วยดีที่สุด
ควรทำด้วยความขันติ อดทน และสม่ำเสมอ
ควรเรียนรู้จริยธรรมและศีลธรรม
และควรศึกษาอาชีพการงานนั้นอย่างแท้จริง
เพราะเมื่อเรามีความรู้
เราสามารถที่จะมีความรับผิดชอบ
ต่อหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี”
5. เรียนรู้ที่จะให้อภัย
“การตัดกรรม ก็คือ หยุดทำความชั่ว ความบาป
การตัดเวร ก็คือ หยุดการพยาบาท
อาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน คือ
ไม่แก้แค้นซึ่งกันและกัน
รู้จักคำว่า ให้อภัยซึ่งกันและกัน
ผู้ทำผิดให้รู้จักคำว่า ขอโทษ
ผู้ถูกขอโทษก็ควรรู้จักคำว่า ให้อภัย ไม่เป็นไรหรอก
อันนี้ก็เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร”
- หลวงพ่อพุธ ฐานิโย -
“หลายต่อหลายครั้งที่เราเจอคนหัวร้อน
และคนเหล่านั้นมักโกรธและไม่ให้อภัย
ถึงแม้เราจะกล่าวขอโทษแล้ว ดังนั้น
ถ้าเป็นไปได้ เมื่อเราเจอคนแบบนี้
ตัวเราควรต้องใจเย็นก่อน ปล่อยให้เขาโกรธไปก่อน
แล้วหากเขายังไม่ยอมหยุดพูดและหยุดโกรธ
เราควรต้องหาตัวช่วย
คือ หาคนอื่นมาเป็นตัวช่วยความหยุดโกรธในครั้งนี้
เพราะไม่งั้น คงจะยากที่จะหลุดพ้นจากห่วงนี้ไปได้”
เราเรียนรู้หลายอย่างว่า หากเราปรารถนาความสงบสุขและความสำเร็จในชีวิตแล้ว เราควรเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน
“เมื่อเราเข้าใจตัวเอง เราย่อมเข้าใจผู้อื่น”
"สิ่งที่เราทำแล้วสบายใจ
สิ่งนั้นไม่พ้นเรียกกุศล
สิ่งนั้นส่งผลเป็นบุญหนุนตน
เปรียบต้นสนแข็งแรงทนทาน
หากสิ่งใดทำแล้วเป็นทุกข์
ดั่งติดคุกในใจหนีไม่พ้น
สิ่งนั้นเรียกว่าบาปแน่นะตน
คงไม่พ้นตกนรกแน่นะเอย"
“ขอบคุณสำหรับที่ทุกคนร่วมกันอ่าน
เรื่องเล่าสู่กันฟัง จนถึงบรรทัดนี้ค่ะ
เราขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพนับถือ
ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายสมปรารถนาทุกอย่าง”
Look a Breathe
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in