สวัสดีค่ะ เพื่อนผู้มีความกลัวทั้งหลาย
"เพื่อนๆค่ะ เคยมีความกลัวอะไรบ้างไหมในชีวิต และมาแบ่งปันเล่ากันให้ฟังด้วยค่ะ"
สำหรับเรา
"เราเป็นคนที่กลัวการปฏิเสธคน เพราะเราขี้กังวลว่า ถ้าเราปฏิเสธไป คนจะไม่ชอบ เราจะพยายามทำให้ได้ตามคำขอ แต่บางครั้งก็ยากเกินจริงๆที่จะทำ"
เรากังวลในเรื่องนี้มาก ว่า ควรแก้ไขอย่างไรดี คราวนี้ วันหนึ่ง
เราได้ดูจิบลิเรื่องนึง ซึ่งคือ Howl's Moving Castle ทำให้เราเรียนรู้ที่จะมีความกล้าหาญที่จะปฏิเสธ ถ้าเราทำไม่ได้จริงๆ (ครั้งหน้าจะมาพูดถึงหนังสือกับหนังอนิเมชั่นเรื่องนี้ค่ะ) เราควรต้องพูดออกไป
ในหนังมีหลายอย่างที่ทำให้เราต้องดึงความกล้าออกมา เรียนรู้ที่จะมีคนที่ไม่ชอบนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะ ทางที่เราเลือกพูดออกไปนั้น ย่อมมีคนชอบกับไม่มีคนชอบ
ในระหว่างนั้นเอง เราก็นั่งหามุมเงียบๆเริ่มคิดว่า
"ในชีวิตเราเคยมีความกล้าหาญอะไรบ้าง"
เราก็ได้คำตอบว่า
"เคย"
ครั้งนั้นเป็นครั้งที่เราไปปฏิบัติธรรรมคนเดียว และเรากลัวผีมาก กลัวแบบเข้าขั้นชอบจินตนาการและหนักหนามากเกินบรรยาย
หลวงพ่อที่เรานับถือ ท่านให้เราเข้าไปในห้องที่เก็บและเผาศพ ที่เป็นห้องเย็นที่มีเก็บศพเตรียมเผา
ท่านบอกว่า ให้ลองไปข้างๆเตาก่อน ถ้าไม่หายกลัวอีก จะให้ไปนอนในโลง (สำหรับเตรียมเผาศพ)
พอตกดึก หลังจากที่เราสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จ เราก็รู้สึกว่า
"ทำไมวันนี้ ทำวัตรเร็วจัง เราไม่อยากให้ทำวัตรเสร็จเลย อยากให้ทำวัตรทั้งคืน เราไม่อยากไปแล้ว กลัวก็กลัว แล้วถ้าผีออกมาจะทำยังไง ผีนะสู้กันก็มีแต่แพ้"
แต่วันนั้นก็ผ่านไปเร็วจริงๆ พี่ที่บวชมาส่งแค่นิดนึง บอกให้เราใช้ไฟฉายแค่ส่องทางได้
ในระหว่างเดินไปคนเดียวนั้น ก็วังเวงนัก ทำไมวัดป่าตอนกลางคืนถึงน่ากลัวขนาดนี้นะ ทั้งวังเวง ทั้งมืด แถมยังมีเสียงใบไม้ที่เหมือนเสียงคนร้องไห้อีก
เราอยากบอกทุกคนว่า ถ้าตอนเช้า สถานที่สวดมนต์ทำวัตรใกล้กับสถานที่เผาศพมาก
แต่พอตกกลางคืน
เรารู้สึกว่า เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึง และพอเมื่อถึงก็ไม่อยากเดินเข้าไปอีก ขาสั่น ก้าวขาไม่ออกที่จะเข้าไป แต่พี่ที่บวชส่องไฟฉายมาไกลๆ ทำมือให้เข้าไปได้แล้ว
เรากลัวมาก ทำไงดี กลับไปบอกหลวงพ่อดีกว่า ว่า ไม่เอาแล้ว
แต่ไม่ได้ ถ้าไม่เข้าวันนี้ ต้องนอนโลงเลยนะ
เราหายใจเข้า-ออกลึกๆยาวๆอยู่ 3 ที ก่อนที่ขามันเริ่มก้าวเข้าไปได้ เราก็ก้าวไป เจอพระพุทธรูป
ในใจเราคิด เราไม่เข้าไปได้ไหม เราจะอยู่กับพระพุทธรูป แถมมีแสงดาวเป็นเพื่อนด้วย ตอนนั้นแสงอะไรก็เอาหมด
แต่ใจเราก็บอกว่า ไม่ได้ ถ้าเราอยู่กับพระพุทธรูป กลายเป็นเราโกหกหลวงพ่อใช่ไหม ไม่ได้เราต้องเดินเข้าไป
เราเดินเข้าไปในห้องเย็น ที่จริงๆมันเย็นสบาย แต่วันนั้นรู้สึกเย็นยะเยือกเลย แบบทำไงดีๆ เราไม่เอาแล้ว จะออกไปอยู่กับพระพุทธรูป แต่อีกใจก็บอกว่า เข้าไปๆ
สุดท้ายความกลัวมากกว่า เราออกมาหาพระพุทธรูปอีกครั้ง เข้าไปเอามือจับท่านด้วย แต่แล้วอีกใจบอกว่า เข้าไปเดี๋ยวนี้ๆ
เราตัดสินใจเข้าไป คราวนี้มีการใช้ไฟฉายส่องครั้งหนึ่ง เพื่อหาทางที่จะสามารถนั่งได้ เราตัดสินใจปิดประตู ไม่ให้เห็นพระพุทธรูป ปิดไฟฉาย หลังจากที่หาที่นั่งใกล้ๆได้แล้ว
เราหลับตาแบบนั่งสมาธิ ตอนนั่งก็กลัว จินตนาการว่า เจอผีหัวขาด เจอผีหน้าเละ เจอผีนู่นผีนี้ในหัวสมองไปหมด พอลืมตาขึ้นมาก็เจอความมืด
ในห้องนั้นไม่มีหน้าต่างและไม่มีแสงไฟใดลอดเข้ามาได้เลย
เรารู้สึกกลัวไปหมด และเราตัดใจ เพราะกลัวยังไงก็ออกไปไม่ได้แล้ว ต้องรอจนพี่เขาจะมารับเลย หรือถ้าเราปวดฉี่เข้าห้องน้ำถึงออกได้ แต่เราดันไม่ปวดฉี่
ตอนนั้นเองที่ตัดสินใจกล้าขึ้นมาที่จะสู้กับความกลัว เรานั่งสมาธิ นั่งดูลมหายใจ ก็จิตกระเจิง ท่องพุทโธก็จิตกระเจิง พิจารณาซากศพก็จิตกระเจิง
ในไม่ช้า ก็นั่งเฉยๆสักพัก ทำใจได้ ก็เริ่มต้นนั่งดูลมหายใจกับพิจารณาซากศพเกือบทั้งคืน
ตอนนั่งไป นั่งมาอยู่นั้น เราได้ยินเสียงคนคุยกันข้างๆหูเราด้วย หลวงพ่อสอนว่า ให้ลองดูลึกเข้าไปว่า เสียงนั้นคือเสียงอะไร เสียงนั้นคือเสียงจากไหน เสียงนั้นมีรูปแบบแบบใด แล้วให้พิจารณาสักแต่ว่าเสียง
พอเราพิจารณา เราก็รู้ว่า มันคือเสียงคุยกันในใจ ไม่ใช่เสียงจริงๆ พอเราตั้งใจลองฟังเสียงรอบข้าง มันไม่มีจริงๆ มันมีแต่เสียงในใจที่ทำให้เราคิดว่า มีคนคุยกัน เสียงสักว่าเสียง เสียงนั้นก็หายไป
คราวนี้เราลืมตาขึ้นมา เรารู้สึกว่า มันเหมือนเห็นคน หลวงพ่อบอกว่า รูปสักแต่ว่ารูป ให้ลองพิจารณาว่า รูปคืออะไร รูปมาจากไหน รูปเป็นแบบไหน
พอเราพิจารณาตามที่ท่านบอก และพอเราปรับตาให้อยู่ในความมืดได้ มันไม่ใช่คน มันคือเงาของเราเอง
สรุป "ความกลัวเกิดจากสิ่งที่เราคิดขึ้นมาเองทั้งหมด และผีก็เช่นกันกับความกลัวที่เกิดจากเราคิดขึ้นมาเองทั้งนั้น ผีที่เราจินตนการ ไม่มีจริง"
ใช่ อยู่ดีๆ พอสรุปว่า ผีที่เราจินตนการ ไม่มีจริง ความกลัวมันหายไป หายเป็นปลิดทิ้งเลย เราเตรียมพร้อมหลับ
พอเรานอนหลับไปได้สักครู่ เราปวดฉี่ อยากเข้าห้องน้ำ เราตัดสินใจเดินไปเข้าห้องน้ำ ก่อนกลับมานอนอีกครั้งหนึ่ง
และเราตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สวดมนต์ นั่งสมาธิจนถึงพี่เขามาเรียกเราตอนเช้า และเรียกให้ไปสวดมนต์ทำวัตรเช้าด้วยกัน
ตั้งแต่นั้นมา เราไม่กลัวผีอีกเลย เเละความกลัวผีทำอะไรเราไม่ได้อีก
ถึงแม้ว่า ตอนนี้หลวงพ่อจะมรณภาพไปแล้ว แต่เราขอบพระคุณในพระคุณครูบาอาจารย์ที่ท่านได้สอนให้หายกลัวในวันนั้น
"หลังจากที่นึกถึงเหตุการณ์นี้ ก็ดูใช้ความกล้าในการเผชิญกับความกลัว ซึ่งทำให้มั่นใจในตัวเองขึ้น และเริ่มนึกได้ว่า
แล้วทำไมกับแค่เรื่องปฏิเสธคน เราไม่กล้า ในเมื่อเราทำไม่ได้จริงๆ เราไม่รู้จริงๆ เราควรกล้าที่แค่พูดออกไป
ผลลัพธ์จะเกิดอะไรขึ้น ก็แค่เหรียญสองด้านเท่านั้นเอง สักแต่ความคิดเท่านั้น
ตอนนั้นความกล้าก็เกิดขึ้นมา ตั้งแต่นั้น เราก็ลดความกังวล และกล้าที่จะพูดมากขึ้น
เรามั่นใจว่า ทำได้ดีกว่าแต่ก่อนมากขึ้น"
จบความกล้าในใจที่เต็มด้วยความกลัวผี
เราตั้งใจเลือกหนังสือ 5 เล่มมาให้ทุกท่าน เพื่อให้ทุกท่านเห็นภาพของความกล้ามากมายที่ทุกคนสามารถหาได้ ไม่ว่าจะเป็น
1. ความกล้าจากซันจิที่สร้างความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก
2. ความกล้าที่จิมเผชิญกับความเป็นหรือความตาย แต่สามารถใช้สติพาตัวเองรอด
3. ความกล้าจากเด็กหญิงน้ำตาลที่จะไม่นำเรื่องไม่ดีที่คนอื่นทำกับเรามาอยู่ในความคิด
4. ความกล้าของชาร์ล็อตต์ที่ใช้ช่วงเวลาสั้นสุดท้ายในชีวิตชักใยให้วิลเบอร์รอดชีวิต
5. ความกล้าของหมาที่ไม่ยอมตายเมื่ออยู่ในเวลาคับขัน (ที่เกือบตาย)
"ทุกชีวิตมีคุณค่าในตัวเอง เปรียบดั่งทุกชีวิตมีความกล้าเช่นเดียวกัน"
อยากให้เพื่อนๆลองหลับตาดูและคิดดูว่า เพื่ออะไร เพื่อใคร เพื่อตัวเราเอง เราเคยมีความกล้าอะไรบ้าง
"อันว่าด้วยเรื่องความกล้านั้น
อยู่ที่สันรองเท้าใช้หาไม่
อยู่ที่ใจกล้าที่จะสู้ไป
เพื่อเดินให้ถึงทางที่ถูกเอย
เราต้องกล้าเพื่อตัวเองบ้าง
ไม่ได้สร้างความทุกข์ใจนี้
เราต้องมีความกล้าในบางที
เพื่อทำดีทุกอย่างให้สมบูรณ์"
-- Look a Breathe --
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in