ผู้เขียน: ไอริส จาง ผู้แปล: ฉัตรนคร องคสิงห์ สำนักพิมพ์: มติชน
คำโปรยหลักปกเล่ม
บอกเล่าเรื่องราวจากสามมุมคือ มุมของทหารญี่ปุ่น ทหารจีน และกลุ่มชาวตะวันตกที่ไม่ยอมทิ้งเมือง แต่กลับสร้างเขตปลอดภัยซึ่งได้ช่วยคนจีนไว้เกือบ 300,000 ชีวิต หนึ่งในจำนวนวีรบุรุษเหล่านี้คือนาซีนาม จอห์น ราเบ้ ซึ่ง ไอริส จาง ค้นพบบันทึกประจำวันของเขา และถึงกับให้สมญาชายผู้นี้ว่า "ออสการ์ ชินด์เลอร์ แห่งจีน"
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/172/172707/pagegallery/1663529523/16d617f5.jpg)
ทำไมต้องอ่าน?
หนังสือเล่มนี้ถูกแปลมาจากต้นฉบับ 'The Rape of Nanking' ที่ตีแผ่เรื่องราวการฆ่าล้าง ข่มขืน สังหารหมู่ชาวจีนหลายแสนชีวิตในเมืองนานกิง ผ่านการเล่าเรื่องอันทรงพลัง ทุกตัวอักษรที่จะช่วยส่งต่อความรู้สึกสะเทือนใจตรงมาที่ผู้อ่านอย่างจัง เขียนโดย ไอรีส จาง หญิงสาวชาวอเมริกาเชื้อสายจีน ซึ่งเธอมีปู่และย่าที่อพยพหนีมาจากเหตุการณ์สังหารโหดดังกล่าว หลังจากนั้นจึงตัดสินใจย้ายมาใช้ชีวิตที่อเมริกาถาวร
โดยเนื้อหาดังกล่าวที่ปรากฎอยู่ในหนังสือเล่มนี้เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในสมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเริ่มเข้ามารุกราน และยึดครองประเทศจีนในปี ค.ศ 1937 โดยเริ่มจากนครเซี่ยงไฮ้ลามไปเมืองต่างๆ จนมาถึงเมืองหลวงโบราณอย่างนานกิงด้วย ทุกการเข่นฆ่าห้ำหั่นของทหารญี่ปุ่นนั้นเปลี่ยนเมืองที่เคยสงบสุขให้กลายเป็นแดนมรณะ นรกบนดินในชั่วพริบตา ทั้งซากศพคนตายที่กองพะเนินสูงเป็นภูเขาลูกย่อมๆจนลำน้ำถูกอาบย้อมไปด้วยสีแดงฉานจากโลหิตผู้วายชนม์ ซากปรักหักพังเสียหายท่ามกลางถนนที่ร้างผู้คน เท่านั้นไม่พอทหารญี่ปุ่นชั้นเลวเหล่านั้นยังได้ออกปล้นสะดม ต้อนพวกเชลยสงครามที่เป็นผู้ชายนับหมื่นออกไปยิงทิ้งนอกเมือง ซ้ำร้ายยังลงมือข่มขืนเรียงคิวหญิงชาวบ้านอย่างต่ำช้าไม่เลือกหน้าที่อายุตั้งแต่ 8ขวบไปจนถึงหญิงคราวย่ายายอายุ 80เลยทีเดียว หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอดก็ไม่เว้น หลังจากลงมือย่ำยีแล้วก็ใช้ดาบปลายปืนคว้านทารกในท้องออกมาแล้วจับโยนลงไปในน้ำเดือดร้อนๆ อีกทั้งเหตุการณ์ฆ่าข่มขืนนี่ก็เกิดขึ้นทุกวัน ทุกเวลาและทุกสถานที่ จนถึงกับมีคำพูดที่ว่า ''ไม่มีแม้แต้ชั่วโมงเดียวที่จะไม่มีหญิงสาวบริสุทธิ์ถูกลากไปขืนใจ' ในระยะเวลาเพียง 6-7สัปดาห์เพียงเท่านั้นที่ญี่ปุ่นยึดครองนานกิง จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็งวงกว้างถึงการกระทำที่โหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่นจากมุมมองของชาวต่างชาติทั้งอเมริกาและยุโรป แต่รัฐบาลญี่ปุ่นในขณะนั้นกลับภาคภูมิใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินว่าเมืองนานกิงล่มสลายลง จนมีการลงข่าวใหญ่โตในหนังสือพิมพ์ รวมทั้งมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญในประเทศญี่ปุ่นอีกต่างหาก
ซึ่งคุณไอริส จาง ผู้เขียนได้พยายามรวบรวบข้อมูล ภาพถ่ายเก่าๆจากเหตุการณ์จริงที่แม้มันจะเป็นเพียงภาพขาวดำทื่อๆ แต่ก็ชวนหดหู่ใช่เล่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าในสมัยนั้นมีฟิลม์สีจะน่าสยดสยองเพียงใด (ภาพถ่ายเหล่านั้นก็ถูกรวบรวมอยู่ในตัวเล่มด้วยนะคะ) รวมถึงสัมภาษณ์บุคคลที่เหลือรอดมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นผ่านมุมมองของหลายๆฝ่าย ทั้งฝ่ายอาชกรทางสงครามครั้งนั้น และผู้ตกเป็นเหยื่อ ว่าเพราะอะไรถึงเกิดความรุนแรงขึ้น? อะไรคือสิ่งที่ทำให้ทหารญี่ปุ่นที่ในอดีตอาจจะเคยเป็นทั้งพ่อที่อ่อนโยนและพี่ชายที่แสนดีแปรเปลี่ยนไปเป็นเครื่องจักรไร้ความรู้สึกที่สังหารมนุษย์ด้วยกันอย่างเลือดเย็น หรือเพราะความเทิดทูนในตัวจักรพรรดิ รู้สึกว่าประเทศของตนเหนือกว่าชาติไหนๆอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลัทธิชินโตในขณะนั้นเองก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการฆ่าคน เพราะเชื่อฝังหัวมาตลอดว่าจักรพรรดิและผู้สืบสันติวงศ์เท่านั้นที่เป็นพระเจ้า การทำงานตามรับสั่งของพระเจ้านั้นจะทำให้ตนไปสู่สวรรค์ และไม่ผิดบาปใดๆทั้งสิ้น แต่ที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทั้งๆที่เหตุการณ์ในนานกิงนี้ทั้งโจ่งแจ้งและโหดร้าย มีผู้ที่ต้องมาสังเวยชีวิตอย่างไม่เป็นธรรมมากมายจนแทบระบุเป็นตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่มันกลับไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ถ้าเทียบกับเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่ากับนางาซากิ อีกทั้งยังพยายามหลบเลี่ยงไม่พูดถึง ทำเหมือนราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในหนังสือเรียนก็บิดเบือนเขียนไว้แต่เพียงว่า ในครั้งนั้นญี่ปุ่นเป็นฝ่ายกำชัยและได้เข้ายึดครองนานกิงเพียงเท่านั้น จากนั้นก็ตัดฉับจบครบสูตรเหมือนละครไทยเป๊ะๆ โดยไม่ได้สาธยายถึงวีรกรรมอะไรที่เคยทำลงไปบ้างซักนิด แต่พอเขียนถึงเรื่องราวความยากลำบากของญี่ปุ่นในการเผชิญภัยสงครามเพื่อส่งเสริมความรักชาติกลับบรรยายออกมาได้เป็นวรรคเป็นเวรไม่ตกหล่นแม้เพียงประโยคเดียว ทำเอาเรางงกันไปตามๆกัน!
Talk: ถ้าถามว่าทำไมต้องเอาเรื่องโหดๆมารีวิว ก็ขอตอบว่าเราไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง แทนที่จะเลือกทำเป็นลืมๆไปก็ขอให้จดจำเอาไว้เสมอว่า'สงครามนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายแต่ก็ล้มเลิกได้ยาก' ไม่ว่าฝ่ายไหนจะพ่ายแพ้หรือมีชัย ก็ล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอกับฝันร้าย และความสูญเสียด้วยกันแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับประชาชนผู้บริสุทธ์รวมถึงเหล่าลูกเล็กเด็กแดงอนาคตของชาติทั้งหลาย พวกเขาสมควรแล้วหรือที่ต้องมารับผลกระทบที่มาจากความเห็นแก่ตัว และบ้าอำนาจของผู้นำประเทศ? เลยอยากจะฝากเป็นข้อคิดเตือนใจเล็กๆค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in