สวัสดีค่ะ ถ้าพูดถึงเรื่องลาออกจากงาน หรือเปลี่ยนงาน
อยากจะบอกว่า ตัวเราเองมีประสบการณ์ค่อนข้างพอใช้ได้อยู่เหมือนกัน 555
ในสายตาของบางคนอาจจะคิดว่า เด็กสมัยนี้ไม่อดทนเอาซะเลย
หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อะไรแบบนี้ใช่ไหมคะ แต่อยากจะบอกว่าชีวิตของเรา เราควรจะมีความสุข
ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบ ได้ทำในสิ่งที่รัก หรือรู้สึกว่ามันมีความหมายใช่หรือเปล่า
เราเป็นพวกที่ว่าไม่สามารถทนอยู่กับอะไรเดิมๆซ้ำๆได้เลย
ตอนใหม่ๆก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอก แต่พอผ่านไปสักพัก บางครั้งก็พบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับตัวเอง
หรือเจอปัญหานี่นั่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน สังคมการทำงาน เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย
หลายๆอย่าง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เราไม่มีความสุข พาลทำให้ไม่ชอบงาน ไม่อยากไปทำงาน
เป็นโรคเกลียดวันจันทร์ เกลียดงาน เบื่อชีวิต
แต่ก่อนจะคิดลาออกเลยนั้น เราควรจะมานั่งสำรวจตัวเองดีๆก่อน เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
แล้วลองไปแก้ไขที่ต้นเหตุ ไม่แน่ว่า อะไรๆอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ
วันนี้ เราขอมาแชร์ความคิดเกี่ยวกับว่า ทำไมเราควรลาออกจากงาน
พอดีได้มีโอกาสฟัง pod-cast ของอ.นภดล ร่มโพธิ์ แล้วรู้สึกว่าเนื้อหาน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ
เลยขออนุญาตมาแชร์ให้ฟังกันค่ะ ถ้าเพื่อนๆมีครบเกือบทุกข้อที่ว่ามานี้
มันก็เป็นสัญญาณที่บอกว่า เราควรจะพิจารณาตัวเองได้แล้ว
1) เราเริ่มเอาพลังงานลบๆกลับมาบ้าน
กลับมาบ้านแทนที่จะเป็นเวลาผ่อนคลายกับครอบครัว กลับชวนทะเลาะ เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด เพราะอะไร? เพราะความเครียด ความกดดันจากที่ทำงานมันสั่งสม ถึงเวลาเลิกงานเราไม่สามารถขจัดออกไปได้ มันเลยเป็นอารมณ์ขุ่นมัวติดตัวเรา หงุดหงิดโมโห ลงใส่คนที่บ้าน ยิ่งเป็นแบบนี้บ่อยๆ ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์กับคนที่บ้านแย่ลง
2) เรารู้สึกว่างานสบายมากเกินไป
งานที่ทำมันง่ายสำหรับเรามาก ไม่ต้องคิดหรือต้องแก้ปัญหาใหม่ๆ ทุกอย่างควบคุมได้หมด ไม่มีอะไรที่ท้าท้ายอีกแล้ว พูดง่ายๆคือมันตันแล้ว เราไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปได้อีก เหมือนต้นไม้ที่หยุดโตแล้ว ลองถามตัวเองว่าเราจะยอมเป็นแบบนี้หรอ เราพอใจกับชีวิตแบบนี้หรอ ถ้าคำตอบคือไม่ เราต้องเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง บางครั้งอาจไม่ต้องถึงขึ้นย้ายที่ทำงาน อยู่ที่เดิมแต่อาจจะลองคุยกับหัวหน้า ขอเปลี่ยนสายงาน ย้ายตำแหน่ง ย้ายฝ่าย หรือหาโปรเจ็คใหม่ๆเสนอ อะไรแบบนี้ เป็นต้น
3) เราพูดกับตัวเองว่ามันก็แค่งานอะ
คือเรามองงานว่ามันก็แค่งานธรรมดาๆเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าสนใจ ตาเราไม่เป็นประกายอีกต่อไป ไม่มีแพชชั่นอะไรเหลือ เหมือนกับว่าทำไปอย่างนั้นแหละ ทำให้เสร็จไปวันๆ ไม่ได้สร้างความหมายหรือคุณค่าอะไรให้ตัวเราหรือที่ทำงาน พูดง่ายๆคือหมดไฟนั่นเอง เพราะฉะนั้นเราต้องหาแรงจูงใจ อาจจะลาพักร้อนไปชาร์จแบตสักพัก หากิจกรรมใหม่ๆที่เติมน้ำหล่อเลี้ยงในใจ
4) เราทำงานจนชำนาญสุดๆขนาดที่หลับตาทำยังได้
อาจจะฟังดูคล้ายๆข้อสอง มันแอบมีความเชื่อมโยงกันนิดนึง คือ พอเราทำงานจนถึงจุดที่เป็นmasterในสายงานแล้ว มันก็กลายเป็นว่าเราทำเสร็จทุกอย่างอย่างง่ายดาย มันสบายสำหรับเรามาก โดยเฉพาะยิ่งงานroutineแล้ว ยิ่งกลายความอัตโนมัติ
5) เราไม่อยากไปทำงาน เกลียดวันจันทร์
ตอนเช้าไม่อยากลุกขึ้นตื่น รู้สึกหมดแรง แค่คิดว่าต้องไปทำงานก็พลังหดแล้ว วันจันทร์เป็นยาขม เรารู้สึกไม่ชอบงาน งานไม่สนุก อยากให้เวลาผ่านไปไวๆ นั่งมองนาฬิากาทุกๆชั่วโมง เฝ้ารอวันหยุด นับรอเวลาเลิกงาน
6) เราเริ่มทำงานผิดพลาดบ่อยขึ้น
เรื่องเล็กน้อยๆ ผิดนิดๆหน่อยๆ ผิดซ้ำซาก จนดูไม่เหมือนเราที่เคยเป็น เหม่อลอย ไม่โฟกัสหรือทุ่มให้งานเต็มที่ ไม่สนไม่แคร์ว่างานมันจะออกมายังไง
7) สภาพแวดล้อมที่ทำงานเป็นพิษ
ไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมทางกายภาพ โลเคชั่น สิ่งแวดล้อมที่ไม่น่าอยู่ หรือสภาพแวดล้อมทางจิตใจ เช่น วัฒนธรรมองค์กร เพื่อนร่วมงาน ปริมาณงาน เวลาทำงาน การบริหารงานขององค์กร ที่เป็นปัญหาหนักอกหนักใจที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของคน มีเพื่อนร่วมงานขี้นินทา เห็นแก่ตัว ขี้ประจบ ชอบแซะชอบจับผิด ทะเลาะกันทุกวัน อะไรแบบนี้ ยิ่งทำให้บั่นทอน
8) เราเริ่มรู้สึกว่าไม่สบาย
คือ ป่วยจริงๆ เช่น ปวดหัวบ่อยๆ เป็นไมเกรนถี่ๆ ปวดท้องโดยไม่มีสาเหตุ ท้องเสีย หรืออาการทางจิตใจ เช่น หดหู่ ซึมเศร้า ไม่อยากอาหาร นอนไม่หลับ อะไรแบบนี้ ถ้ามีอาการแบบนี้เกิดขึ้น แล้วมีข้อสังเกตว่ามันเกิดจากงานหรือที่ทำงาน ให้รีบพิจารณาตัวเองแล้วหาทางแก้ไขก่อนมันจะลุกลาม ถ้ามันส่งผลกระทบต่อสุขภาพไม่ว่าจะทางกายหรือใจ เราไม่ควรจะฝืนตัวเองทำต่อไป เพราะสุขภาพ หากเสียไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ เราจะเอาเงินที่ทำงานหามาได้ไปรักษาตัวเองเหรอ ที่ทำงานขาดเราไปเขาก็หาคนใหม่มาแทนได้ แต่ครอบครัวเราเอาอะไรมาแทนไม่ได้
บางทีมันก็ถึงเวลาแล้วจริงๆ ทางนี้หรือที่นี้มันอาจไม่ใช่สำหรับเราจริงๆ
อยากจะบอกทุกคนว่ารักตัวเองให้มากๆ รักครอบครัวให้มากๆ
เราควรจะมีความสุขและสนุกกับชีวิตสิ ลุกขึ้นมารับผิดชอบความสุขของตัวเอง
อย่าให้อะไรมาควบคุมหรือทำร้ายเรา
สุดท้ายแล้ว เราไม่ได้จะเสียใจในสิ่งที่เราทำแล้วแต่ทำไม่ได้หรอก
แต่เราจะเสียใจในสิ่งที่เราทำได้ แต่ไม่ได้ทำต่างหาก หากเราทำเต็มที่แล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจ
เขาบอกว่าให้เลือกทางที่เราจะเสียดายน้อยที่สุดเมื่อมองกลับมาจากอนาคต ทุกอย่างคือโอกาส
เราก็แค่ลอง ลองแล้วจะได้รู้ ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร
"อย่าคิดว่าจะประสบความสำเร็จอย่างไรในรูปแบบไหน แต่ให้คิดว่าตอนนี้มีเรื่องอะไรที่ท้าทายเราที่สุด อยากรู้มากที่สุด อยากหาคำตอบมากที่สุด อะไรที่เราไม่ได้ทำแล้วจะเสียดายมากที่สุด ให้ลงมือทำสิ่งนั้น อย่าคิดถึง 5 ปีข้างหน้า อย่าคิดว่ารางวัลอะไรรออยู่" หนังสืออัจฉริยะสร้างได้
"Don't take a job for what you can earn, take a job for what you can learn" พ่อรวยสอนลูก
"The faster you learn from being wrong, the sooner you can discover what is right" unknown
มีคนบอกว่า ชีวิต...แม้ว่าจะใช้หรือไม่ใช้สุดท้ายมันก็จะหมดไปอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นแล้ว ใช้ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ใช้ชีวิตแบบที่เราจะไม่มีวันเสียใจ ทำในสิ่งที่ฝัน ทำในสิ่งที่เชื่อ อย่าไปคาดหวังว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แค่ทำแล้วมีความสุข เติมเต็มหัวใจก็พอแล้ว
...
ms.messy
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in