เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเมื่อเราไปเมืองสิงค์ ( in 2015)SnapDiary
Chapter 09 - คลายหิวที่วิโว่


  • กรุ๊ปเรานั่งรถโมโนเรลกลับสู่ห้างวิโว่ แล้วก็เป็นไปตามที่ใครบางคนบอกไว้

    ขากลับมักจะรู้สึกเร็วกว่าขาไปเสมอผมก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน  

    แต่ที่รู้สึกมากกว่าที่ใครคนนั้นบอกไว้คือ....หิวจ้า  (คนสูงวัยหิวเร็วเด้อ) ระหว่างเดินทาง  ผมนี่นึกเมนูอาหารตั้งแต่ขาก้าวขึ้นรถแล้วล่ะว่าจะกินอะไรดี  กระทั่งสรุปเองเออเองว่า…เจออะไรเป็นอันดับแรก ต่อคิวไม่นาน จะกินอันนั้น

    หิวแล้วโว้ยยย...ยยย

    เมื่อรถเข้าสถานีเราทั้งสี่ เดินมาซักหน่อยก็เจอกับศูนย์อาหาร ชื่อว่า  Food republicขนาดพื้นที่นั้นกำลังพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ตกแต่งแนวจีนโบราณภายในมีคนใช้บริการอยู่จำนวนพอประมาณ มีโต๊ะว่างให้เลือกนั่งสบายๆไม่ต้องแย่งชิงเหมือนกับศูนย์อาหารบริเวณริมอ่าวมารีน่า


                                                                                   ภาพถ่ายเต็มเฟรมติดรูปผมไปด้วย เลยขอครอปตัดออกนะครับ เขิลจ้า


    เมื่อได้โต๊ะ เราทั้งสี่ต่างนั่งแหงนหน้ามองดูป้ายเมนูอาหารที่มีหลากหลายให้เลือก ราคาเริ่มต้นนั้นอยู่ที่ ร้อยบาทนิดๆ ( 5SDG) ผมที่หิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงมองอะไรก็น่ากินไปหมด แต่ก็ออกอาการนิ่งไปพักนึง(คิดไม่ตกว่าจะกินไรดี ) กวาดสายตาไปยังภาพถ่ายเมนูของทุกร้าน  ที่มีตัวหนังสือให้อ่านด้วยภาษาซิงลิช อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน มีภาษาไทยบางร้าน


    โอ้ว….เยอะแยะๆ  อยากกินไปเสียทุกอย่าง ไม่เหมือนกับที่นึกมาเลย..ว่าเจออะไรจะกินอันนั้น ฮื้อ...กินมันหมดนี่เลยได้มั้ย


    นิ่งทบทวนอยู่พักนึงในที่สุดก็ตัดสินใจได้


    ผมเลือกสั่งข้าวกระเพาหมูสับ เอ้ย…ไม่ใช่ๆ ผมสั่งข้าวยำ (คิดว่าเป็นข้าวยำนะ ไม่แน่ใจ) เพราะเห็นว่ามันมีเครื่องเคียงหลายอย่างให้ลองอีกใจหนึ่งอยากสั่ง “ลักซา” มารองซด เหมือนเกาเหลาบ้านเราแต่พอมองจานอาหารที่คนอื่นถือมาที่โต๊ะ แล้วต้องยอมแพ้ แม้อาหารทุกร้านที่นี่ราคาเริ่มต้นหลักร้อย (ถือว่าราคาสูงสำหรับผม) แต่ว่าจานนั้นใหญ่เอาการเลยทีเดียว ถ้าสั่งมาสองอย่างคงกินไม่หมด

    ที่ร้าน คนขายบริการนักท่องเที่ยวดีมากแนะนำ โน่น นี่ นั่น ถามว่าจะรับอะไรเพิ่มเป็นพิเศษมั้ย

    ผมส่ายหน้าขอแบบธรรมดาตามรูปเลยครับ

    เมื่อได้ข้าวยำเดินกลับมาที่โต๊ะ..พบว่า  น้องร่วมทริปนั้นสั่งอาหารคนละอย่างสองอย่างมาแลกกันชิม ผมเลยขอชิมด้วย เลยได้ลิ้มรส โรตีมะตะบะแกงกระหรี่ไก่โอ้... ผมรู้สึกว่าอร่อยกว่าทุกที่ที่เคยได้ชิมมา(ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย หิวมากถ่ายไม่ทันจ้า) อร่อยจนอยากแลกข้าวยำเลย

    เมื่อท้องเริ่มคลายหิวผมก็ผ่อนแรง มองไปรอบๆตัวอีกครั้ง พบว่าพนักงานที่คอยบริการ เก็บจานเช็ดโต๊ะ ทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆ ที่นี่นั้น เป็นคนวัยอาแปะ อาม่า ทั้งนั้นเลย ด้วยความไม่แน่ใจเลยหันไปชวนน้องๆสังเกตุดู น้องคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตุว่าอาจจะเป็นนโยบายของห้างที่นี่ ที่จ้างคนหลัง วัยเกษียณทำงานเล็กๆ น้อยๆดีกว่าจะอยู่บ้านเหงาๆ เป็นภาระลูกหลาน อะไรทำนองนี้

    ผมไม่แน่ใจนะว่าข้อสังเกตุนี้ใช่หรือเปล่า     ใครที่มาเที่ยวที่นี่ ลองสังเกตุดูนะครับ


                   บรรยากาศภานในศูนย์อาหาร ถ่ายจากกล้องมือถือ ภาพสั่นไหว เพราะใจหิว (ขออนุญาตคนในเฟรมด้วยนะครับ)


    หลังจากอิ่มท้องกันทุกคนแล้วเราก็เดินออกมาย่อยอาหารที่ เทอเรส ข้างศูนย์อาหาร ที่ตรงนี้คงเป็นพื้นที่ที่ห้างจัดไว้ให้คนมาพักผ่อนสูบบุหรี่ หลังทานอาหารเสร็จ วิวดีใช้ได้เลย มองเห็นทะเล สวยงามสบายตา สบายใจผึ่งพุงได้ชิวๆ

    เมื่อเราพักผ่อนหย่อนพุงกันจนได้ที่แล้ว….จึงตกลงกันว่า ต้องหาร้านกาแฟซักร้านที่มีปลั๊กชาร์ตแบตกล้องได้เพราะกล้องหลักที่เราเอาไปถ่ายรูป แบตหมดเร็วมาก แล้วมันก็ไม่สามารถชาร์ตผ่าน พาวเวอร์แบงค์ได้เสียด้วย….แถมแบตก้อนสำรองก็ราคาสูงมาก เลยไม่ได้ซื้อมา  


    เฮ้อนี่แหละน๊า ตอนซื้อก็ไม่คิดว่าจะเดินทางท่องเที่ยวแบบนี้ (ข้อนี้เลยกลายเป็นข้อหลักที่ตัวเองต้องดูเป็นอย่างแรกตอนซื้อกล้องตัวต่อมาจะไม่พลาดแบบครั้งนี้แน่ๆ ที่เลือกรุ่นใหม่ล่าสุดในตอนนั้น ตอนที่ อุปกรณ์เสริมยังราคาแพงอยู่)

    เราเดินหาร้านกาแฟแบรนด์ท้องถิ่นตลอดทุกชั้นที่เดิน แต่ไม่เจอ (เออ..คงจะเจอหรอกนะใครเค้าหาร้านกาแฟท้องถิ่นในห้างใหญ่ๆกัน) สุดท้ายก็มาจบที่ร้านกาแฟนางเงือกหลังจากดูราคาบนป้ายแล้ว ไม่ห่างจากบ้านเรามากนัก แลกกับการมีปลั๊กให้เราเสียบชาร์ตทุกอย่างนั้นก็ถือว่า คุ้มค่าเกินราคา


    เราทั้งหมดสั่งเครื่องดื่มคนละแก้ว….แลกกับการเสียบชาร์ต มือถือทุกเครื่องกล้องทุกตัว อะไรที่ติดตัวมา ชาร์ตไฟได้ เราขอเค้าเสียบชาร์ตเติมไฟให้หมด


    แต่กว่าจะได้ชาร์ตครบก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน เพราะโลเกชั่นร้านนั้นสวยงาม ติดวิวทะเลคนเลยเยอะตามสภาพ เราสี่คนเลยต้องยืนรอคิวโต๊ะในช่วงแรกกระทั่งกาแฟผมเกือบจะหมดแก้ว เราจึงได้ที่นั่งครบคน (ในระหว่างยืนรอน้องรูมเมทผมใช้วิธีขอเสียบชาร์ตตามเสาตามโต๊ะคนอื่น ไปก่อน )


    พอเราได้ที่นั่งหันหน้าเข้าหากันทั้งสี่คน ก็เป็นวาระโอกาสการได้โหลดรูป อัฟเฟซ ลงโซเชียลและปรึกษาเส้นทางจุดหมายต่อไป  ในเวลาต่อมาสองคนในสี่ ก็เผลอหลับไป


    ผมไม่หลับ ไม่มีอะไรทำเลยนั่งอ่านรีวิว หาข้อมูลว่ามาที่นี่ควรซื้ออะไรกลับไป  หนึ่งในนั้นบอกว่า ต้องซื้อ ข้าวโพดคั่ว “กาเร็ท ป็อปคอร์น /Garrett Popcorn (ข้อมุลปี2015) เลยนึกขึ้นได้ว่าเอ..เมื่อกี้ตอนไปเข้าห้องน้ำ เพิ่งเห็นนี่นา ยังคิดอยู่เลยว่านี่ใช่ข้าวโพดคั่วที่เค้ารับพรีออเด้อร์มั้ยนะ สรุปว่าใช่ว่ะ

    เลยเขียนโน๊ตไว้ว่า จะแวะซื้อที่นี่ ลองดู  


    เวลาผ่านไปราวชั่วโมงน้องที่หลับตื่น แบ็ตกล้องทุกตัวเกือบเต็ม เราจึงชวนกันออกจากร้านเพื่อเดินทางต่อ  เพราะจากการคำนวนเวลาเดินทางแล้ว…จุดหมายต่อไปนั้น อยู่ห่างจากที่นี่พอสมควรหากช้ากว่านี้เราอาจเหลือเวลาไม่ทันโปรแกรมถัดไป  

    ก่อนไปที่สถานีรถไฟผมชวนน้องๆ แวะช้อป กาเร็ทป็อปคอร์น ซึ่งอยู่ชั้นเดียวกันกับร้านกาแฟ   น้องคนหนึ่งเอ๋ยถาม ซื้อที่นี่ มันจะแพงมั้ยพี่ คุ้มหรือเปล่า ผมตอบกลับไปว่า” คุ้มไม่คุ้ม ไม่รู้  รู้แต่ว่า หาข้อมูลมาแล้ว…เส้นทางที่เราจะไป กาเร็ท มีทีนี่ที่เดียว”

    เท่านั้นแหละน้องๆ จึงตกลงซื้อคนละรสสองรส เจ้าคนที่ถามนี่ ซื้อเกือบครบทุกรสเลย ( มี5 รสชาติ)  

    เมื่อได้ข้าวโพดคั่วครบกันทุกคนแล้ว….เราก็ออกเดินทางต่อ

                                                                               ตอนซื้อ คนต่อแถวยาวมาก  เลยเอียงตัวมาแช๊ะได้ภาพนึง


    ก่อนถึงทางออกห้างสายตาผมมองเจอตู้สีน้ำเงินตู้หนึ่ง เลยแวะดู โอ้ว....มีตู้หยอดเหรียญ Skincare for men ด้วย  อ๊ะไหนๆก็ลองข้าวโพดคั่วแล้ว...ลองเจ้าครีมนี้ด้วยดีกว่า

    น้องคนหนึ่งเห็นผมหายไปจึงวกกลับมาตาม

    “พี่ เร็วๆ  เดี๋ยว ชารล์ส แอนด์ คีธ จะหมดก่อน    ไปเล้ยยยยยย  เร็ว.ววววว!!!!

                                                                                                  เนี่ย!!!! สิ่งที่เราต้องการตลอดทริป 555

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in