เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ถ้าเทรดในแอคล็อคเป็นบทความmrrollin
ว่าด้วย ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ EP.01
  • ถ้าบอกว่าเพิ่งจะได้ดูหนังเรื่องนี้ มันจะช้าไปไหมนะ 5555
    ความจริงอยากดูตั้งแต่หนังเข้าโรงใหม่ ๆ แล้ว แต่เพราะจริง ๆ เป็นค้างคาวที่มีร่างจำแลงเป็นคนเลยเลือกที่จะไม่ออกไปสถานที่ชุมชนอย่างโรงภาพยนตร์ด้วยตัวคนเดียวน่ะ (เพ้อเจ้อ)

    ก็ได้แต่รอส่อง Netflix อย่างใจจดใจจ่อ จนในที่สุดก็มันเข้ามา! หาเวลาว่างได้พอดี ก็เลยดูซะหน่อยระหว่างกินข้าวมันไก่ 

    เออ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจ Take notes ระหว่างดูหนังด้วย เดี๋ยวจะมาพูดเรื่องนี้กันอีกที


    ต่อจากนี้อาจมีสปอยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์นะจ๊ะ


    เราว่าหนังดีนะ ฮาวทูทิ้งมีเทคนิคในการเล่นปมเดิมซ้ำ ๆ ในหลาย ๆ รูปแบบ ทำให้มันชัดเจนในเมสเสจ แต่ก็ไม่ทำให้มันจืด รู้สึกเก็ต symbolic มากกว่าเรื่องฉลาดเกมส์โกง (ที่ก็เพิ่งได้ดูไปก่อนหน้านี้ไม่นาน อาจจะไปคุ้ยทวิตเก่ามาลงโพสต์ถัด ๆ ไป) อาจจะเพราะเรื่องนี้มันเนิบนาบกว่า ซึมเข้าสมองง่ายกว่าสำหรับคนช้า ๆ แบบเรา (หรืออาจจะเป็นเพราะครั้งนี้ take notes ระหว่างดูด้วยแหล่ะ)


    หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทำให้ลุกมาร้อง ไอ้*** ได้สองรอบ 555555 จากคำพูดของสองตัวละคร

    1. เจย์: "กูกล่าวขอบคุณมันก่อนทิ้งแล้วนะเว้ย" ตอนถูกจีนเจอว่าเขาทิ้งผ้าพันคอที่จีนถักให้
    มันช่างเป็นการจิกกัดที่ชวนให้หัวเราะเยาะเย้ยจริง ๆ ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกยังไง แต่เหมือนมันกำลังตอกย้ำว่า หลักการของเจ๊จัดบ้านที่ใครหลาย ๆ คนยึดเป็นจริงเป็นจัง (เช่น จีนในตอนต้นเรื่อง) มันเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี

    2. เอ็ม: "ตอนที่เธอมาขอโทษทีแรก เราโกรธนะ เหมือนเธอแค่มาขอโทษเราแล้วก็รอดเลย แล้วเราก็ต้องให้อภัยใช่ไหม? ถ้าไม่ให้อภัย มันก็จะเป็นเรื่องของเรา ไม่เกี่ยวกับเธอแล้ว" ตอนคุยกับจีนครั้งสุดท้าย
    อันนี้ค่อนข้างจะเป็น ไอ้*** ที่อีโมกว่าอันข้างบนหน่อย เพราะรู้สึกโดนพูดแทงใจดำ ทั้งใจในส่วนของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ


    ตอนแรก เราเขียนโน็ตไว้ว่า "การเลือกที่จะลืมนั้นเห็นแก่ตัว" แต่อีกสักพัก ก็ต้องมา / เพิ่มว่า "การเลือกที่จะไม่ลืมนั้นก็เห็นแก่ตัว" และอีกสักพัก เอ็มก็เหมือนเข้าใจความสับสนของเราจนสรุปมาให้ว่า ทุกคนก็เห็นแก่ตัวเหมือนกันหมดนั่นแหล่ะ

    มันคล้ายกับว่า เรื่องนี้ไม่มีทางออกสำหรับใครทั้งนั้น ทุกคนล้วนเจ็บปวดในความสัมพันธ์ใด ๆ ที่ไม่ช้าก็เร็วก็จะเกิดการ ทิ้ง กัน ไม่ว่าทิ้งเป็น (พ่อจีน) ทิ้งตาย (แม่เอ็ม) หรือโดนทิ้งเป็น (แม่จีน)


    ตัวละคร แม่จีน หรือ ม๊า เป็นตัวละครที่เราอยากเข้าใจที่สุด เราอยากรู้ว่าเขาจะรับมือยังไง แสดงออกยังไง ในฐานะเหยื่อจากทั้ง conflict ความสัมพันธ์ และ conflict generation gap แต่ก็ได้รู้เท่าที่ได้รู้ เพราะยังไงตัวละครหลักก็คือจีน


    มาขยายเรื่อง conflict กัน สำหรับเรื่องนี้ เราจับได้ 2 ประเด็นใหญ่ ๆ (เพราะประเด็นมีความสัมพันธ์กับตัวเอง จึงอาจจะเห็นชัดกว่าประเด็นอื่น ๆ) โดยคอนฟลิกท์หลัก ก็คือเรื่อง ความสัมพันธ์แบบสองด้าน และ คอนฟลิกท์รอง คือเรื่องความแตกต่างระหว่างวัย

    เราจะพูดถึงเรื่องรองก่อนแล้วกัน ความแตกต่างระหว่างวัย หรือ Generation Gap

    ประเด็นนี้มันชัดเจนแทบทิ่มตาตั้งแต่เปิดเรื่องมา เรารู้สึกว่าหนังวางแม่จีนไว้เป็นคนยุคเก่าแบบสุดโต่ง และวางจีนไว้เป็นฝั่งคนยุคใหม่แบบสุดโต่งเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่แม่เป็นคนที่เลือกจะเก็บกันชนรถพัง ๆ ไว้ในบ้าน จีนก็ปฏิเสธสุดตัวที่จะเอาหนังสือที่มีประโยชน์จริง ๆ เข้าบ้านและเลือกใช้แต่ไฟล์ pdf แทน หรือ ในขณะที่จีนเชื่อสุด ๆ ว่า คนเราไม่ควรรู้สึกอ่อนไหว (อีโม) มาก แม่ก็เป็นคนที่เกิดปฏิกิริยารุนแรงกับของเหลือทิ้งเก่า ๆ อย่างเปียโน

    อันนี้อาจจะส่วนตัวสักหน่อย ด้วยความที่เราคุยเรื่องนี้กับแม่ (แม่ของฉันจริง ๆ น่ะ) บ่อย ๆ เลยพอจะสรุปได้ว่า ชีวิตของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่นั้นขับเคลื่อนด้วยการใช้อารมณ์ เพราะรู้สึกเคารพจึงเชื่อฟัง เพราะรู้สึกศรัทธาจึงปกป้อง การมีพวกพ้องเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ทำตัวแปลกแยก และการยึดถือตามหลักศีลธรรมเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติตาม ในขณะที่ชีวิตของคนรุ่นเด็ก วัยรุ่น ไปถึง Young Adult นั้นขับเคลื่อนด้วยการใช้เหตุผล หลักการเป็นเรื่องสำคัญ ถูกคือถูก ผิดคือผิด ไม่ชอบการประนีประนอม พึ่งพาตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง ยึดถือความเป็นปัจเจกเป็นสำคัญ

    ด้วยความต่างของกระบวนการความคิด ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีการแบ่งฝ่ายคนแก่คนหนุ่มกันอยู่กลาย ๆ เพียงแต่เส้นคั่นกลางมันยังไม่ชัดเจนขนาดนั้น จนบางทีคนทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่รู้ตัวถึงการแบ่งแยกนั้น

    ม๊าและจีน เป็นตัวที่เน้นความชัดของเส้นคั่นนั้นมากขึ้น ด้วยความสุดโต่ง

    Somehow ทั้งที่เรา (ในฐานะเด็กวัยรุ่น) ควรจะรู้สึกเห็นด้วยกับจีนในการรีโนเวทบ้านเก่าเน่า ๆ เป็นสไตล์มินิมอลสุดคูล แต่ด้วยความสุดโต่งของจีน กลับทำให้เรามีความรู้สึกเห็นใจม๊าอยู่กลาย ๆ

    แทนที่การขีดเส้นนี้จะแบ่งแยกฝ่ายให้มันชัดเจนขึ้น ความสุดโต่งมันดันดึงคนดูทั้งสองฝ่ายให้เข้ามาใกล้ชิดกันกว่าเดิม ทั้งคนรุ่นเก่าและใหม่ต่างเห็นด้านสุดโต่งของตัวฉันและตัวเธอ ก่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ และการพยายามทำความเข้าใจจะตามมา

    เราไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่น conflict นี้มันทำงานแบบนี้ไหม แต่นี่คือวิธีที่มันทำงานกับเรา


    เนื่องจากบทความยาวมากแล้ว (เป็นคนเวิ้นเว้อ 5555) จึงขอพูดต่อถึงประเด็นหลัก ความสัมพันธ์แบบสองด้าน ในตอนต่อไป

    ทิ้งท้ายไว้ว่า ประเด็นนี้ทำให้เราคิดใคร่ครวญถึง The other side of a relationship

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in