เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
วัยเรียนที่คิดถึงกับเรื่องเล่าในอดีตในสายตาของคนปัจจุบันSAILOM
ประถม 4 เด็กชายหนอนหนังสือ
  • โดยทั่วไปแล้ว เด็กชายสายลม จะเป็นเด็กที่สดใสร่าเริง แต่ก็ไม่ค่อยชอบสังคมและเก็บตัว การอ่านหนังสือ เป็นเสมือนเพื่อนที่ดีคนนึง ไม่ทราบว่าทำไมเหมือนกันนะ  อาจจะเพราะการอ่านหนังสือทำให้มันได้ความรุู้ และทำให้ดูฉลาดก็ได้  เปล่าหรอกทั้งหมดนั่นมันแค่เศษหนึ่งส่วนสิบของการอ่านเท่านั้น 

    แม้จะเป็นความจริง ที่การอ่านทำให้ได้ความรู้ แต่สายลมก็สนใจการ์ตูนที่เป็นการ์ตูนเล่มมากกว่า  การอ่านหนังสือเปล่าๆ และสายลมเองก็รู้สึกว่าหนังสือเรียนทั่วไปมันอ่านยังไงก็ไม่สนุกเลยสักนิด แถมการพูดคุยกับคนแม่งก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าจุกจิก เกินกว่าจะเข้าใจ  และสายลมเองก็เป็นคนที่ขี้เกียดทะเลาะหรือเถียงกับความคิดคนนัก เพราะไม่ได้อะไรเลยจริงๆ ไม่สามารถที่ทำให้เราฉลาดขึ้น แถมยังมีเรื่องชกต่อยกันได้ง่ายๆด้วย  นั่นแหละเป็นสาเหตุของการเข้าห้องสมุดแล้วไปอ่านหนังสือของสายลมในสมัยเด็ก อย่างแท้จริง  ปราศจากการอ่านเพื่อเอาความรู้โดยสิ้นเชิง อ่านเพื่อหลบผู้คนล้วนๆเลย 

    จริงๆแล้วมันก็มีความจริงบางอย่างที่ปฏิเสธไม่พ้นว่าห้องสมุดนั้นเป็นสถานที่ที่แม่งโคตรไม่สนุกเลยด้วยซ้ำ เล่นเหี้ยไรก็ไม่ได้ เอาขนมไปกินก็ไม่ได้  ส่งเสียงดังๆก็ไม่ได้อีก บันเทิงเหอะ และมันก็เป็นสถานที่ ที่ดูไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ใดๆ สำหรับเด็กวัยซนอย่างเราเลย แต่เพื่อแลกกับการต้องนั่งทนเสียงบ่นของเพื่อนหรือเสียงหยอกล้อกัน มันคงไม่ดีต่อจิตใจอันบอบบางของสายลมได้แน่...
    ดังนั้น  "การอยู่ห้องสมุดถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด" 

    ความจริงแล้วสายลมนั้นชอบเข้าห้องสมุดตั้งแต่อยู่ชั้น ป.สามแล้ว  ห้องสมุดเป็นแหล่งที่แม่งเงียบมาก และการเล่นกันนั้นไม่ค่อยมีผลต่อห้องสมุดใดๆเลย เพราะเด็กป.หนึี่งส่วนใหญ่ก็ไปเล่นที่สนามไม่อยู่ห้องกันนัก  น้อยมากส่วนที่อยู่แม่งก็เด็กเรียน ข้างๆห้องสมุดก็ห้องที่เป็นเด็กเรียนอีก สรุปว่าเอื้ออำนวยต่อการ  "อยู่เงียบๆ" ของผมมาก
    และห้องสมุดก็กลายเป็นแหล่งกบดานชั้นดีของเด็กชายสายลมในเวลาต่อมา

    จริงๆแล้วชั้นป.สามผมเองก็ไม่ค่อยเข้าไปเท่าไหร่นักหรอก เพราะอาคารเรียนของผมมันไกลกับการต้องลากสังขารตัวเอง กลับไปเรียนในชั้นเรียนตอนบ่าย แต่พอ ภาคเรียนที่สองผมก็เริ่มเข้าห้องสมุดมากขึ้น และกลายเป็นที่กบดานของผมในเวลาต่อมา   ผมค้นพบว่าห้องสมุดมันคือที่ที่มีความสุขมากๆ เลยในช่วง ป.สาม เพราะไม่มีงานกลุ่มมากนัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานเดี่ยวกัน และผมก็จะรีบๆทำให้มันเสร็จๆ ในช่วงที่เรียนไปเลย จะได้มีเวลาไปเข้ากบดานตนเองที่ห้องสมุด  และเพื่อนๆมันก็สิงอยู่ที่แถวๆอาคารเรียน ไม่สนใจมาเข้าห้องสมุดหรอก และผลที่ตามมาก็คือ ผมดูกลายเป็นเด็กเรียนไปเลย ทั้งๆที่จริงแล้วผมเข้าห้องสมุดเพื่อ หลีกหนีความวุ่นวายก็เท่านั้น

    ในส่วนของการเข้าห้องสมุดนั้นผมเชื่อว่าน่าจะเขียนไว้เล็กน้อยๆ แต่คงจะเล่าใหม่ในช่วงประถมสี่ด้วยแล้วกัน  

    ข้อดีของการเข้าห้องสมุดสมัย ป.สาม 

    ได้อ่านหนังสือภาพเที่ยวไทยสวยๆ และหนังสือคำถามน่ารู้ ที่รู้ไปทำไมวะนั่นแหละ ออกข้อสอบไหมก็ไหม แถ่ถ้าเอาคำถามนี้ไปถามเพื่อน ใครตอบได้เพื่อนคนนั้นแม่งโคตรคูล แสดงว่าแม่งต้องเป็นกูรู ผู้แสวงหาความรู้ใส่ตัว  นั่นทำให้หนังสือประเภทคำถามน่ารู้ถึงขายได้นั่นเอง ส่วนใหญ่เราจะอ่านหนังสือภาพนั่นแหละ ไม่สนใจการอ่านหนังสือคำถามน่ารู้เท่าไหร่ เพราะไม่สนใจที่จะไปอ่านแล้วไปถามใครเพราะไม่มีใครให้ถาม หรือมันไม่น่าสนใจเท่า ใครจะตายและโคนันจะไขปริศนาได้ไหม หรือโดราเอม่อนกับโนบิตะทำอะไรบ้าง ในเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา  แม่มดโดเรมีเป็นยังไงบ้าง แม่งสนุกกว่าการมานั่งตอบคำถามพวกนั้นด้วย

    2
    ได้อ่านหนังสือ ที่น่าสนใจเยอะมากและได้อ่านหนังสือเรียนข้ามชั้นด้วย หนังสือที่ชอบก็พวกหนังสือความรู้แหละ  ยังรู้สึกเดชะบุญจนถึงตอนนี้ที่โรงเรียนของเราไม่ได้เป็นห้องสมุดที่มีแต่หนังสือเรียนหรือหนังสือนิทานภาพ เจ้าชายเจ้าหญิงหมดทั้งห้องสมุด เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมคงเข้าไปนอนอย่างเดียว หรือไม่ก็คงหลบตามมุมที่ไมมีใครเข้าไปอยู่ เพื่ออยู่เงียบๆช่วงพักเที่ยงแทน  การได้อ่านหนังสือความรู้ทำให้ชีวิตของผมมีความสุขมาก เพราะได้ความรู้เพิ่มเยอะขึ้น และนั่นเป้นสิ่งที่น่าสนใจ คงจะรู้กันดีว่าเด็กยุค 90 ยังคงอ่านหนังสือความรู้เป็นหลัก ไม่ค่อยมีการ์ตูนความรู้นักหรอก ส่วนเรื่องทีี่น่าสนใจก็ยังคงเป็นวิทยาศาสตร์  โชคดีที่หนังสือโรงเรียนมีภาพเยอะแล้วมันทำให้อ่านง่ายขึ้น เห็นภาพสวยๆแค่นั้นก็ฟินแล้ว  ต่อมาจึงค่อยๆไปอ่านหนังสืออื่นๆอย่างหนังสือผักสวนครัวแนวๆนั้น  แล้วก็ลามไปที่หนังสือท่องเที่ยวเมืองไทย แบบปกแข็ง ยืมออกไปนอนอ่านที่บ้านไม่ค่อยได้นั่นแหละ

    3
    ได้สนิทกับรุุ่นพี่ แน่นอนว่าชั้นป.ปลาย จะเป็นชั้นที่งานกลุ่มเริ่มเข้ามาแล้ว และการอ่านหนังสือหรือการนัดทำงานที่ห้องสมุดก็จะมีส่วนเข้ามาเยอะมาก  ส่วนใหญ่รุ่นพี่ที่เข้ามาห้องสมุดก็มาอ่านหนังสือหาความรู้เพิ่มเติม หรือไม่ก็มาทำการบ้านนั่นแหละ เพราะห้องสมุดจะเงียบกว่าทุกๆบริเวณในโรงเรียนแล้ว  เราจะได้พูดคุยกับรุ่นพี่ มันทำให้เรารู้สึกดีเหมือนคุยกับคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ ไม่ง้องแง้งมาก และรุ่นพี่ส่วนใหญ่ก็จะคุยกับน้องด่ีๆ (เฉพาะที่อยู่ในห้องสมุดนะ)  และถ่อยไปเลยก็มีและกลุ่มเหล่านั้นจะไม่ค่อยเข้าห้องสมุดนัก และเริ่มมีความสนใจทำกิจกรรมตั้งแต่ตอนนั้น  เพราะรุ่นพี่ป.5-6 จะเริ่มเข้าห้องสมุดเยอะมาก กลุ่มคนเหล่านั้นก็จะเป็นกลุ่มท๊อปๆของโรงเรียนด้วย ที่ชอบทำกิจกรรมให้โรงเรียนนั่นแหละ เลยได้คุยเกี่ยวกับกิจกรรมโรงเรียนกับพวกพี่ๆเค้า

    4
    ค้นพบว่าตัวเองเป็นนักอ่าน และการอ่านทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นมีความสุขขึ้นมากเลย  และเมื่ออ่านมากๆแล้วก็พบว่า การยืมหนังสือออกมาก็แสนจะเป็นเรื่องที่เท่ห์มาก เพราะเราได้ทำเรื่องที่คนอื่นๆไม่ทำกัน  ใช่ห้องของผมเขาไม่สนใจเรื่องการอ่านหนังสือหรือเข้าห้องสมุดหรอก เขาสนใจการเล่นและทำการบ้าน หรือนอนอยู่ที่ห้องเรียนของตัวเองช่วงพักเที่ยงมากกว่า  และมันทำให้ผมกล้าที่จะไปทำกิจกรรมหนึ่งกิจกรรมกับห้องสมุดโรงเรียนจากการยื่นสมัครสมาชิกห้องสมุดโรงเรียนด้วยตัวเอง  โดยไม่มีเพื่อนๆไปด้วย  และก็ขอคุณครูห้องสมุดไปเป็นบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดด้วย แม่งโคตรเท่ห์อ่ะ



    THE BANNARAK

    โดยปกติแล้วบรรณารักษ์ห้องสมุดจะเป็นเด็กชั้น ป.4ข และผมเองก็ไม่มีส่วนร่วมกับการเป็นนั้น จนกระทั่งผมรู้แล้วว่าผมชอบงานห้องสมุดและอยากทำหน้าที่บรรณารักษ์ (พนักงานยืมคืนหนังสือ และดูแลห้องสมุด) ก็เลยได้ถามรุ่นพี่ (สมัยที่ยังอยู่ป.สาม) ว่าจะเป็นได้ยังไงก็เลยทราบว่า ห้องป.สี่ขอ จะได้หน้าที่ดูแลห้องสมุดร่วมกับครูห้องสมุดที่เป็นครูประจำชั้น  ความจริงผมก็อยากเป็นตั้งแต่ ภาคเรียนสองของป.สามแล้วแหละ แต่เชื่อว่าผมเด็กไปที่จะทำหน้าที่ผมเลยถามไปก่อน และไม่ได้อยากเข้าไปขอเป็นหรือทำหน้าที่นั่น (กลัวดูแลห้องสมุดได้ไม่ดีนัก)

    แต่เมื่อมาถึงชั้น ป.สี่นี้ผมก็ได้เข้าไปถามทรายเพืื่อนสาวที่อยู่ ห้องขอ ว่าอยากเป็นบรรณารักษ์บ้าง  ผมเลยได้เป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดและได้ทำงานที่ห้องสมุดโรงเรียนเป็นครั้งแรก  และนั่นเองที่ทำให้ผมกลายเป็นที่รู้จักของห้องสอง และรู้จักในฐานะบรรณารักษ์ผู้แปรพรรคไปอยู่กับห้องสองในสายตาของเพื่อนๆ  เพราะผมต้องทำงานเป็นคนดูแลห้องสมุดในช่วงเที่ยงของบางวัน ทำให้เพื่อนไม่เจอผม และผมอาจจะเข้าเรียนภาคบ่ายในบางครั้งช้ากว่าปกติจนครูประจำชั้นถามขึ้นมานั่นแหละ เพราะกลัวว่าเราจะแปรพรรคเป็นเด็กเกเร ซึ่งเราไม่เคยเป็นแบบนั้นไง (หมายถึงปกติจะเข้าเรียนภาคบ่ายเร็ว แต่พักหลังๆก็จะช้า เพราะรอปิดห้องสมุดกับเพื่อนๆ ) 

    ได้รู้จักเพื่อนๆ มากขึ้น ปกติเราเองจะไม่ได้เจอเพื่อนต่างชั้นนัก และไม่สนิทกันเลยด้วยซ้ำตอนนี้ก็ได้รู้จักเพื่อนๆที่ทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ด้วยกัน  (ซึ่งตอนนี้ลืมแล้วว่าใครบ้าง) และผมก็ได้ป้ายยาเพื่อนๆ ห้อง ก เข้าห้องสมุดไปด้วยในตัวเลย

    5
    เปลี่ยนผันชีวิตจากเด็กปกติกลายเป็นมนุษย์เด็กผู้บ้ากิจกรรม เรากลายเป็นพวกสนใจทำกิจกรรมอาสาโรงเรียนมาก เพราะได้สนิทกับพวกพี่ๆที่มายืมหนังสือห้องสมุด ได้ถามไถ่เกี่ยวกับงานกิจกรรมที่ทำอย่าง เวรรับส่งน้องเข้า - กลับโรงเรียน ที่หน้าประตูโรงเรียน  จนได้มาทำหน้าที่รับน้องๆและเพื่อนๆ แบบไม่เป็นทางการกับพี่ๆด้วยนั่นแหละ และปลูกฝังให้เรากลายเป็นเด็กกิจกรรมเวลาต่อมา

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in