เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
COVID YEAR Memory (2020)missporiuz
10/4/2020 เมื่อฉันเครียดจนแทบบ้า แต่ก็ตาสว่างรอบที่ 1 เพราะคลิปของขุนเขา
  • เราจำวันที่ที่แน่นอนตายตัวไม่ได้ แต่เอาเป็นว่า ช่วงนั้นมันคือช่วงต้นๆ ปี ที่เกิดวิกฤติโควิด ตอนนั้นทุกคนได้รับผลกระทบ ส่วนเราเองก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน

    ด้วยความที่เพิ่งเปลี่ยนที่ทำงาน และที่ทำงานที่เราเปลี่ยน มันเป็นลักษณะของการเริ่มต้นใหม่แทบทุกอย่าง แม้ยังมีต้นทุนเดิมคือ มีหุ้นส่วน และคนที่ย้ายมาส่วนหนึ่ง มีชื่อเสียงพอประมาณ แต่ด้วยสภาพตลาดและกลุ่มลูกค้าตอนนั้น ยังไม่พร้อมเสี่ยงจะจ่ายกับอะไรแพงนัก แถมกรุงเทพฯ ก็ล็อคดาวน์ และเราก็จัดว่าเป็นกิจการที่ต้องปิดไปตามที่ทางการขอในช่วงนั้นพอดี

    สิ่งที่เราโดนก็คือ เราไม่มีเงินประจำติดกันสองเดือน แม้ยังมีเงินเก็บ แต่ก็เครียดนะ เพราะชีวิตทุกวันมันคือค่าใช้จ่าย

    จนกระทั่งไปเจอคลิปนี้ของคุณขุนเขา ช่วงที่เขาอัพคลิปเสร็จใหม่ๆ นี่แหละ



    ยาวร่วมชั่วโมง แต่เราก็พยายามวิ่งสับเท้าหน้าทีวีไปดูไปด้วย ตั้งใจฟังจนจบเลยล่ะ บอกเลยว่าคลิปนี้มันทำให้เรามีแรงลุกขึ้นมาลองค้นหาตัวเองในแบบต่างๆ ในช่วงโควิดจริงๆ

    คำเตือนต่อไป สำหรับคนที่จะอ่านต่อ
    ชีวิตของเราไม่เหมือนกันนะคะ นี่คือปกหนังสือในแบบของฉัน ก็จะเป็นเรื่องของฉัน หากมีแนวคิดอะไรไม่ถูกใจคุณไปบ้าง ต้องขออภัยแล้วกันเนอะ เตือนแล้ว อิ้อิ้





  • ณ วันที่เราโดนที่ทำงานบอกว่า คงไม่มีเงินเดือนจ่ายให้สักพักนะ

    วันนั้นคือเครียดมากเลยนะ บอกตรงๆ

    ตั้งแต่ทำงานหาเงินได้ เราบริหารเงินดีมาโดยตลอด อย่างมากสุดก็แค่ไม่มีเงินเก็บ แต่ส่วนมาก ก็จะเก็บเงินไว้ได้ เราเก็บเงินเผื่อวิกฤติที่จะเกิดในอนาคตอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้เงินก้อนนั้นเร็วขนาดนี้

    โควิดเนี่ย มันทำให้เราต้องเอาเงินก้อนนี้ออกมาใช้เพื่ออยู่รอดไปวันๆ

    มันก็ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะทุกนาทีมันคือเงินที่เริ่มค่อยๆ หายไป

    ตอนนั้นเครียดมาก เลยหาคลิปพวกแนวคิดอะไรต่างๆ ดูไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองแย่ไปมากกว่านี้

    จนมาเจอคลิปที่เอามาแปะของคุณขุนเขานี่แหละ

    หลายอย่างมันจึ้ก วนแบบย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า

    "เพราะมันมีวิกฤติไง มันเลยมีนวัตกรรมใหม่เกิด เพื่อรองรับวิกฤติรอบหน้าอีกทีน่ะ"

    ในคลิปจะยกตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตมาหลายอย่างมาก แต่เราขอยกอันที่เราจำได้เลยดีกว่า...



    ครั้งหนึ่ง มนุษยชาติในยุคที่ยังเป็นยุคหิน ย้อนกลับไปก่อนที่มนุษย์จะรู้จักการใช้ไฟให้เป็นประโยชน์ ตอนนั้นพวกเขาต้องผจญกับวิกฤติความมืด

    แต่พอรู้จักวิธีการใช้ไฟ ไม่ใช่แค่เพียงวิกฤติความมืดที่คลี่คลาย มนุษย์ยังรู้จักในเรื่องของการใช้ไฟทำอาหาร กลายเป็นว่าอาหารหลายๆ อย่าง พอเอามาปรุงให้สุก กลับให้สารอาหารกับเราได้มากมายมหาศาล จนทำให้สมองของมนุษย์เริ่มวิวัฒนาการ นอกจากนี้ ไฟยังกลายเป็นปัจจัยพลิกเกม จากอันดับล่างๆ ในห่วงโซ่อาหาร ให้กลายเป็นตัวท้อปได้ไม่ยาก

    โลกก็ดำเนินมาจนถึงจุดหนึ่ง เราและบรรดาสัตว์น้อยใหญ่เผชิญกับวิกฤติอีกรอบ แต่คราวนี้เป็นวิกฤติความหนาว สัตว์สปีชีส์อื่นพากันสูญพันธุ์กันไปหมด ไม่รู้ว่าตัวอะไรรอดเป็นเพื่อนเราไหม แต่ที่แน่ๆ เรารอดกันมาได้ เพราะเรามีไฟให้ความอบอุ่น และเครื่องนุ่งห่มนี่แหละ จะเอาอุ่นๆ ก็ต้องขนสัตว์ที่ล่ามาได้ใช่ไหมล่ะ ล่ามาได้เพราะมีไฟอีกนั่นแหละเนอะ ที่ทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้นเนี่ย

    ก็ลองคิดดูเล่นๆ ถ้าวันนั้นมนุษย์ยังใช้ไฟไม่เป็น นอกจากจะยังไม่รอดจากพวกสัตว์นักล่าที่เก่งในความมืดแล้ว สมองคงไม่วิวัฒนาการ และเราเองก็คงไม่มีแมคบุ๊คส์มาให้นั่งพิมพ์บล็อกนี้ มินิมอร์เองก็คงไม่เกิด เพราะป่านนี้พวกเราอาจเป็นเพียงลิงธรรมดาๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกก็เป็นได้

    ตัวอย่างลักษณะแบบนี้ยังมีอีกมากในคลิปเลย 
    เรารู้สึกว่าคลิปนี้ดีมาก ชนิดที่ว่า วันไหนรู้สึกท้อเพราะปัญหาหรือวิกฤติ อยากให้ลองฟังดูจริงๆ แล้วจะรู้ว่าบรรพบุรุษเราผ่านความยากลำบากมามาก ในวันที่ชีวิตเขาก็มีข้อจำกัดในแบบยุคของเขา เขาก็อุตส่าห์ผ่านมันมา และส่งต่อเรื่องราวมาให้คนยุคเรา

    ส่วนเราคือผลผลิตของพวกเขา ที่ถูกส่งต่อองค์ความรู้และนวัตกรรมต่างๆ มาแล้วมากมาย ชนิดที่ว่าไม่ต้องงมหรือลองผิดลองถูกเองขนาดนั้นด้วยซ้ำนะ อยากฝึกอยากเก่งอะไร สมัยนี้แค่ Google หรือ Youtube หรือเดินไปห้องสมุด หาหนังสือมาอ่าน ก็คือได้เรื่องแล้วจริงๆ นะ
  • เราได้ลองคิดตามคุณขุนเขา ว่าหรือเอาเข้าจริงๆ ถ้าเรายังเข้าถึง Internet ได้ เข้าถึง TikTok ยังคงไถฟีดส์เฟซบุ๊คได้ มีอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นคลังห้องสมุดให้เข้าถึงความรู้ได้ไม่อั้นขนาดนี้ เราก็ไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย มันก็ยังมีอะไรให้ทำ แม้ต้องเน้นการอยู่กับบ้านมากกว่า

    อย่างน้อยก็เต้น เจน นุ่น โบว์ ไปก่อนแหละนะ ไม่เครียดดี



    เมื่อในหัวประมวลผลได้แล้ว ... แล้วเราล่ะ เหตุการณ์ของเราล่ะ เป็นยังไงเหรอ?
    ในความโชคร้าย ยังมีข้อดีอีกข้อหนึ่ง คือเรามีบ้านอยู่ บ้านที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก ปู่ผ่อนจนหมดมานานแล้ว และมีแม่ในวัยเกษียณราชการที่มีเงินดูแลตัวเองได้ทุกเดือนเลยแหละ แกยินดีจะช่วยเราเรื่องค่าใช้จ่ายบางส่วน เช่น ค่าวัตถุดิบทำกับข้าว ค่าน้ำดื่ม เป็นต้น เรายังมีเงินเก็บเหลืออยู่ชนิดที่ว่า อยู่ได้ยาวถึงเดือนตุลาเลยล่ะ 

    และเราก็มีโค้ชให้ปรึกษาฟรี เพราะตัวเราได้รู้จักโอกาสตัวหนึ่งที่ชื่อว่าเลกาซี่มาสักพักแล้ว

    ตัวฉันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะเพื่อน

    ช่วงโควิดเราเลยได้ลองทำอะไรแปลกๆ ที่ปกติแล้วไม่ค่อยได้ทำหรอก (แค่งานก็รัดติ้วแล้ว) เอาไว้เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังต่อ ว่าฉันใช้ชีวิตผ่านช่วงนี้มาได้อย่างไร แถมเหมือนรีโนเวทนิสัยตัวเอง มุมมองตัวเองกลายเป็นคนใหม่อีกด้วย

    เจอกันตอนหน้าจ้ะ :v
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in