เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เป็นพ่องงง ได้อะไรมากกว่าที่คิดพรี่หนอม
02 : ครอบครัว?
  • “ผ่าคลอด” หรือ “คลอดธรรมชาติ” ทางเลือกสองทางของหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ โดยราคานั้นไม่แตกต่างกันมากในรายโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ผ่าคลอดมักจะแพงกว่านิดหน่อย


    แต่โรงพยาบาลประเทศนี้มีหลายเกรด และหลากราคา ดังนั้นอยู่ที่งบประมาณในกระเป๋าของแต่ละครอบครัว ว่าอยากได้ความเลิศหรู ดูดี เพื่อตอบสนองความต้องการแค่ไหน


    ---


    เค้าอ่านเจอมาว่า การผ่าคลอดจะมีผลต่อทารกในครรภ์น้อยกว่านะ โอกาสติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูกลดลง เพราะลูกไม่ต้องสัมผัสกับเลือดแม่ (ตรงนี้ไม่แน่ใจในข้อมูลนะครับ แต่ไว้จะลองขอภรรยามาให้อีกที ถ้าเธอได้แวะมาอ่านเรื่องที่ผมเขียนนะ  - -”)


    แต่การคลอดธรรมชาติอาจจะเจ็บน้อยกว่า (หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการคลอด ไม่ต้องพักฟื้นนานเท่า) และมีผลดีต่อลูกมากกว่าในแง่ของภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติ


    แต่อย่างที่ว่าแหละครับ… บางทีชีวิตคนเราก็ไม่มีโอกาสเลือกอะไรมากนัก



    ---



    “มึงอยู่ไหนวะ เมียผ่าเสร็จหรือยัง”
    “กูขึ้นมาที่ห้องละ มึงมาได้เลย”


    เพื่อนสนิทสมัยเด็กของผม โทรศัพท์มาถามไถ่ตั้งแต่รู้ว่าจะมาคลอดที่โรงพยาบาลเดียวกันภรรยาของมัน แถมยังรับปากว่าจะมาเยี่ยมซะดิบดี อยากบอกว่าเรื่องของหมอและโรงพยาบาลที่ผมได้ข้อมูล ส่วนหนึ่งมาจากมันนี่แหละครับ


    เราพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกันอยู่พักใหญ่ บอกตรงๆว่า ณ จุดนี้ ผมยังไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร กับบทบาทของการเป็น “พ่อ” ลูกพึ่งออกจากท้องแม่มาแป๊บเดียว จะให้รู้สึกตื้นตันดื่มด่ำก็คงมากเกินไปเสียหน่อย


    ผมขอคำแนะนำจากมันมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของการกินนมแม่ มันไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากคำว่า “นมอะไรก็แดรกส์ๆไปเหอะมึง เอาให้ลูกมึงรอดละกัน”


    ผมนึกถึงทฤษฏีที่อ่านมามากมาย คำแนะนำหลากหลายที่ส่งมาเป็นระยะ ร่วมกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากเพือนสนิทคนนี้ แล้วคิดในใจว่า


    ถึงแม้ว่าบางทีชีวิตคนเราก็ไม่มีโอกาสให้เลือกอะไรมากนัก
    แต่เราอาจจะต้องยอมรับแล้วอยู่กับมันให้ได้ (ละมั้ง)


    ---


    เสียงเปิดประตูห้องสอดแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาของผมและเพือน เสียงพยาบาลเข็นเตียงผู้ป่วยเข้ามาพร้อมกับจัดการอะไรให้เรียบร้อย ผมรีบเข้าไปดูหน้าเธอ…


    “เป็นยังไงบ้าง”
    “อือ.. ยังมึนๆนะ”


    “นอนไปเลย ไม่ต้องคุยนะ”
    “อือ”


    เพื่อนผมกล่าวทักทายเล็กๆน้อยๆ เหมือนเข้าใจดีว่าอาการหลังผ่าคลอดนั้นจะเป็นอย่างไร มันอยู่คุยกับผมอีกสักพัก ก่อนที่จะกลับไปทำงานของตัวเองต่อตอนบ่าย


    หลังจากส่งเพื่อนเสร็จ
    ผมได้แต่นั่งมองเธอนอนหลับอยู่แบบนั้น…
    พูดกับตัวเองเบาๆว่า “ขอบคุณ”



    ---



    น่าจะเป็นเวลาประมาณช้่วโมงกว่าๆ หลังจากที่เธอกลับมาที่ห้องพัก พยาบาลเข็นเตียงเด็กน้อยขึ้นมา เพื่อให้เราทั้งสามคนได้ทำความรู้จักกัน


    “เอาน้องมาเข้าเต้า กระตุ้นน้ำนมคุณแม่ค่ะ” พยาบาลเนอสเซอรี่กล่าวไว้ พร้อมกับแนะนำวิธีการอุ้มลูกเล็กๆน้อยๆให้กับเราทั้งสองคน


    นั่นคือสัมผัสแรกระหว่างผมกับเขา เราไม่ได้สบตากัน เพราะเขายังไม่ได้ลืมตา #จบ


    ---


    “ทำงานแบบนี้จะมีเวลาให้น้องเหรอ?” มิตรสหายหลายท่านถามด้วยความเป็นห่วง ในช่วงเวลาทีผ่านมา ผมพยายามจะบริหารจัดการงานทุกอย่างให้ได้ดั่งใจ เพื่อให้สิ่งที่เราทำนั้นมีประโยชน์กับคนอื่น และแน่นอนว่ามันจะส่งผลประโยชน์กับเรามากที่สุด

    ตั้งแต่รู้ตัวว่ามี “ลูก” ผมพยายามเลือกงานมากขึ้น… แต่สิ่งที่แปลกสำหรับผม (อาจจะเรียกแทนว่า โง่ ก็ได้นะครับ) ผมพยายามที่จะเลือกงานที่ผมอยากทำจริงๆ ไม่ว่างานนั้นจะมีมูลค่าเท่าไร

    “พี่เชื่อไหม อยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าความสุขมันไม่ได้ไกลตัวเราเลย แค่ผมเห็นเมียที่กำลังท้องหัวเราะ แค่ผมเห็นแม่มีความสุขหลังจากที่ผมนั่งคุยกับแก ผมก็รู้สึกว่า นี่เรากำลังตามหาอะไรอยู่หรือเปล่า”

    “ความสุขมันเป็นแบบนั้นแหละครับหนอม” พี่ที่ผมเคารพมากๆท่านหนึ่งให้คำสอนนี้ไว้ นั่นคือเหตุผลที่ผมเลือกสิ่งที่ผมอยากทำมันจริงๆ และเอาเวลาที่เหลือไปใช้กับความสุขที่มันควรจะเกิดขึ้นจริงในชีวิต

    (แต่ยังไงถ้าอยากจ้างงานก็ยังติดต่อได้เสมอนะครับ อ้าว มึงมาซะดี จบแบบนี้อีกแล้ว)


    ---


    ภาพตัดกลับมาที่ห้องในโรงพยาบาล เด็กแรกเกิดน้ำหนัก 3 กิโลกว่าๆ กลับทำให้ผมรู้สึกหนักมาก สัมผัสที่กะโหลกศีรษะอ่อนๆของเขา แขนขาเล็กราวกับไม่มีพลัง และเสียงร้องไห้ที่ดังยิ่งกว่าเสียงตะโกนคุยกันของคนปกติ

    ผมไม่ค่อยกล้าอุ้มเด็กอ่อนสักเท่าไร ในกรณีที่ไปเยี่ยมใครที่โรงพยาบาล ผมมักเลือกที่จะมองดูอยู่ห่างๆ เพราะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ พูดง่ายๆก็คือกลัวทำลูกเขาหล่นนั่นแหละ

    ผมมององค์ประกอบร่างกายของเขา รู้สึกถึงความไม่ลงตัวหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นโดยจงใจของธรรมชาติ มันอาจเป็นพลังของ “ชีวิต” ก็ได้นะ 

    เขาพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ ส่วนผมก็พยายามที่จะเรียนรู้การมีชีวิตของเขา และเราทั้งคู่ต้องเรียนรู้กันและกันต่อไป

    ...และมันทำให้ผมนึกถึงความยิ่งใหญ่ของคำว่า "ครอบครัว"


    ---


    “ถ้าคลอดแล้วไม่ไหว เอามาอยู่ที่บ้านเราสักเดือนก็ได้นะ”
    แม่บอกกับผมเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่รู้ว่าใกล้คลอด

    “ไหวน่ะแม่ ลูกเลี้ยงเองได้แหละแม่”
    ผมตอบแม่กลับไปเป็นครั้งที่ 3 เช่นเดียวกัน

    ฟังดูเหมือนผมอาจจะตัดเยื่อใยต่อความปราถนาดี ปนกับความอวดดีหยิ่งผยองของชายหนุ่มผู้ซึ่งไม่รู้ต่อความยากลำบากของการมีลูก หยิ่งนักเหรอมึง ได้ เดี๋ยวมึงจะรู้ (ใครหลายคนคงคิดแบบนี้)

    เปล่าเลยครับ ผมรู้ดีเสียด้วยซ้ำว่า ถ้าไปให้แม่ช่วยเลี้ยง ไปอยู่ที่บ้านตัวเอง มันคงจะดีและง่ายกว่า ในช่วงแรกที่ภรรยาเคลื่อนไหวไม่สะดวก แถมผมยังไม่ต้องลำบากในการจัดการย้ายข้าวของเข้าคอนโดใหม่ที่ใช้เลี้ยงลูกเสียด้วยซ้ำ

    แต่ถ้าผมเลือกทางนั้น ผมเชื่อว่าจะได้ไม่เติบโตจริงๆเสียที ซึ่งคำว่าเติบโตในที่นี้หมายถึงได้เรียนรู้การใช้ชีวิต ได้เรียนรู้ความลำบากของการเลี้ยงลูก และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบอะไรใหม่ๆ กับสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวที่ผมเองนั้นเป็นคนสร้างมันขึ้นมา

    ผมคิดว่าแม่ผมคงเข้าใจสิ่งที่ผมสื่อเป็นอย่างดี เพราะวันนี้ผมเองก็เข้าใจแล้วว่ากว่าแม่จะเลี้ยงผมมาจนถึงวันนี้ มันต้องผ่านความลำบากและยากเย็นเพียงใด

    แม้ผมจะมีความเชื่อว่า ครอบครัวเป็นสถานที่ๆทำให้เราสามารถกลับไปได้เสมอ แต่เราควรจะกลับไปหามันด้วยความสุขและความทรงจำที่ดี ไม่ใช่นำภาระที่เรามีไปให้เขาแบ่งเบา

    ถ้ามีโอกาส ผมอยากสอนให้เขา - ลูกของผม - เข้าใจแบบเดียวกัน  :)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in