disclaimer
this is a work of fiction.
names, places, and events in the story are purely fictional.
“ซอยองโฮ...”
น้ำเสียงไม่มั่นใจ
ชื่อของผม
ฟังคล้ายนามของคนแปลกหน้า
บนริมฝีปากของเขา
“รุ่นพี่ซอยองโฮใช่ไหมครับ”
ซอยองโฮไม่ชอบเริ่มเรื่องราวด้วยบทสนทนา
ความปรารถนาของเขา — เช่นเดียวกับนักเขียนทั้งหลายที่ไม่มีปัญหากับการปล่อยให้ถ้อยคำโลดแล่น แต่ไม่มีปัญญาต้อนเข้ากรงเมื่อถึงเวลา — ก็คือการเขียนประโยคแรกให้เป็นที่จดจำตลอดกาล เหมือน มาร์เกซ เหมือนวูล์ฟ เหมือนตอลสตอย ไม่จำต้องเป็นต้องเป็นประโยคคมคายหรือสั่งสอน ไม่จำเป็นต้องสละสลวยหรือซับซ้อน เพียงแค่คุณนายดัลโลเวย์บอกว่าเธอจะไปซื้อดอกไม้เอง ยองโฮก็รู้สึกว่าการกระทำแสนสามัญที่มารดาของเขาก็ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันพลันจับใจอย่างน่าประหลาด แต่กับบทสนทนา กับถ้อยคำที่คนเปล่งเสียงออกมา เขากลับรู้สึกว่าไขว่คว้าไว้ไม่ได้ เสียงนั้นจะค่อยๆ หายไปเช่นเดียวกับเวลาตะโกนลงไปในบ่อน้ำแห้งผาก เขาพยายามนึกถึงประโยคแรกในหนังสือที่ถ้อยคำถูกโอบกอดด้วยอัญประกาศ แต่ไม่มีเล่มไหนจับใจให้จดจำสักเรื่อง
ตอนนั้นซอยองโฮอายุสิบแปด ทั้งทระนงตนและอ่อนต่อโลกเกินไป เขาไม่มีปัญหากับการเขียนประโยคแรกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะพึงพอใจในสมุดบันทึกเล่มเยิน สลับกับการเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง หวังว่าสายลมปลายฤดูหนาวจะพาถ้อยคำกลับมาเหมือนนกอพยพคืนถิ่น ชั่วขณะนั้น โลกทั้งใบมีอยู่จริงแค่ในหัวของเขา โลกภายนอกมีเพียงเสียงปลายปากกาเคาะขอบโต๊ะและชอล์กขูดขีดกระดาน แต่ไม่ว่าโลกใบไหนๆ ก็ไร้ซึ่งคำพูด
มีเพียงตัวอักษร ลายมือหวัด และคำแล้วคำเล่าต่อแถวกันบนเส้นสีเทา จนกระทั่งมีเสียงเสียงหนึ่ง ดุจดังพระผู้เป็นเจ้าตรัสเพื่อบันดาลให้สรรพสิ่งเป็นไปตามพระประสงค์
“ซอยองโฮ...” ใครสักคนส่งเสียงเรียกเขาจากทางด้านหลัง “รุ่นพี่ซอยองโฮใช่ไหมครับ”
เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มแข่งกับดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน แสงแดดห้าโมงเย็นต้องเรือนผมสีน้ำตาลเข้มจน
เจิดจ้าขณะที่เจ้าตัวหายใจหอบนิดๆ เหมือนเพิ่งวิ่งลัดสนามมาเมื่อครู่ ยองโฮพยักหน้ารับเงียบๆ ยังไม่ทันได้ถามอะไร อีกฝ่ายก็ยื่นสมุดบันทึกสีแดงให้อย่างกระตือรือร้น “ผมเจอที่ห้องแล็บน่ะ” เขากล่าวเสริม
ยองโฮเพิ่งซื้อสมุดปกสีน้ำตาลเล่มใหม่เมื่อเช้า เพิ่งตัดใจจากความทรงจำกว่าหนึ่งปีที่เป็นรูปเป็นร่างอยู่ในสมุดเล่มเก่าได้หมาดๆ ความรู้สึกตอนนี้จึงเหมือนได้พบลูกหมาที่เฝ้าประคบประหงมกลับมาในอ้อมแขนของคนแปลกหน้า เขายื่นมือไปรับ ทั้งสัมผัสและน้ำหนักยังคงเคยคุ้นเช่นเดียวกับอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกาย คราวนี้เขายังไม่ได้ทันได้กล่าวขอบคุณ เด็กหนุ่มตรงหน้าดูจะมีพรสวรรค์ในการแย่งชิงประโยคแรกในบทสนทนาเป็นพิเศษ
“ขอโทษนะครับที่ถือวิสาสะแอบอ่าน” ว่าแล้วก็เอามือแตะหูอย่างเก้อๆ “แต่ว่าผมชอบมากเลยล่ะ”
ถ้อยคำจากปลายปากกาซอยองโฮยังไม่เคยถูกซึมซาบผ่านสายตาคู่ไหน หรือเคยมีใครอื่นรักใคร่นอกจากเจ้านายของพวกมัน อย่างกับค้นพบโลกใหม่ เขาคิด อย่างกับได้รับการค้นพบ ทั้งที่เคยหวงแหนจนไม่อยากให้ใครค้นพบ
จองแจฮยอน มัธยมปลายปีหนึ่ง ห้องหนึ่ง — นักสำรวจใจกล้า คนแปลกหน้า และผู้เป็นที่รัก
ตอนนั้นซอยองโฮอายุสิบแปด ทั้งอ่อนไหวและโง่เง่า หารู้ไม่ว่าประโยคแรกที่จะจดจำไปจนวันตาย
เริ่มต้นด้วยชื่อของเขา และต่อจากนั้นคือเรื่องราวของคนที่เอ่ยมัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in