เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
what the flick...พยายามเขียนให้จบ
Leave No Trace(2018): "เรา"

  • "บ้านหนูอยู่ที่ไหน" หญิงสูงวัยคนหนึ่งถามทอมด้วยความใคร่รู้
    "หนูอยู่กับพ่อ" นี่คือคำตอบของทอมที่มาพร้อมกับท่าทีเรียบเฉยทว่าจริงจัง

    หนึ่งในหลากหลายบทพูดธรรมดาแสนสามัญจากภาพยนตร์เรื่อง Leave No Trace 
    ที่ทำให้ผู้ชมได้ร่วม 'รู้สึก' และเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูก 
    ระหว่าง วิลล์ (Will) และ ทอม (Tom) ที่ทั้งสองต่างเป็นโลก เป็นบ้านของกันและกัน 


              เดบรา กรานิก (Debra Granik) กลับมาพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องยาว (Feature Film) อีกครั้งหลังห่างหายไปจากจอเงินนานถึง 8ปี  หากในปี 2014 เธอได้มีผลงานภาพยนตร์สารคดี(Documentary film)เรื่อง Stray Dog ที่ได้ติดตามชีวิตของทหารผ่านศึกจากสงครามเวียดนามท่านหนึ่ง...ดังนั้นนับจากภาพยนตร์เรื่อง Winter's Bone ที่กวาดคำชื่นชมมากมายจากผู้ชมและนักวิจารณ์ อีกทั้งยังทำให้โลกได้รู้จัก เจนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) ว่าเธอนั้นมีของแค่ไหนในบทของ รี ดอลลี (Ree Dolly) เด็กสาวสู้ชีวิตจากถิ่นชนบทเมืองโอซารฺกส์ รัฐมิซูรี โดยหนนี้ เดบรา กรานิก ได้เลือกที่จะหยิบเอานวนิยายเรื่อง My Abandonment ของ ปีเตอร์ ร็อค (Peter Rock) ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคนตัวเล็กๆที่อยู่ตามชายขอบของสังคม คนไม่สำคัญที่มีเรื่องราวชีวิตในแบบของพวกเขาเอง มาดัดแปลงและถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม ด้วยความเรียบง่าย และปราณีต ตามรูปแบบเฉพาะตัวของเธอ ใน 'Leave No Trace'


    TRAILER

    Leave No Trace คือเรื่องราวชีวิตของพ่อ 'วิลล์' รับบทโดย เบน ฟอสเตอร์ (Ben Foster) และลูกสาววัยสิบสามปี 'ทอม' รับบทโดย โธมาซิน แม็คเคนซี (Thomasin McKenzie) ที่อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ข้องเกี่ยวกับสังคมในพื้นที่ป่าสาธารณะผืนแผ่นใหญ่ของเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน จนกระทั่งความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยได้กลายเป็นจุดพลิกชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล เมื่อพวกเขาถูกส่งตัวเข้าสู่กระบวนการทางสังคมสงเคราห์ของรัฐ และได้ประสบพบเจอกับสิ่งแวดล้อมใหม่จึงได้ตัดสินใจหวนคืนสู่ป่าบ้านของพวกเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อะไรหลายๆสิ่งกลับไม่เป็นเช่นเดิม

    - ต้องบอกว่าว่าตัวเราเองไปดูเรื่องนี้โดยไม่อ่านรีวิวใดๆ หรือแม้แต่อ่านเรื่องย่อ หรือดูเทรเลอร์ เราก็เลี่ยงทั้งหมด เรามักจะทำแบบนี้กับหนังที่ตัวเองรู้สึกตั้งใจที่จะดูแบบต้องดูให้ได้และตั้งตารอกับการมาถึงของมัน ก็นะ ไหนๆก็ตั้งใจซะขนาดนี้ก็อย่าไปอ่าน ไปดู ไปรู้อะไรให้ใจมันไขว้เขว หรือเกิดอคติ ตีกรอบความคิด บลาๆๆ ไม่ต้องคิดล่วงหน้าก่อนดู ไปรู้เอาดาบหน้าว่างั้น ฉะนั้นสิ่งที่รู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือ เดบรา กรานิก เป็นคนกำกับ กับนักแสดงนำที่ได้เห็นผ่านโปสเตอร์ที่ ป๊า...ป่า! แต่แค่นี้แหละที่ทำให้เราตั้งใจว่าจะไม่พลาดหนังเรื่องนี้เป็นแน่ เดบรา กรานิก ผู้กำกับหญิงที่ทำให้เรารู้สึกรักและชื่นชมมากจาก Winter's Bone...แน่นอนว่ามันต้องมาพร้อมกับความคาดหวัง หวังสูงด้วยสิ! 

    Thomasin McKenzie and Ben Foster in 'Leave No Trace' credit: bleeckerstreetmedia

              เสาร์ที่แล้ว (แต่เพิ่งจะมาเขียน) เราจึงมุ่งหน้าไปที่ House จองตั๋วรอบบ่ายกับหมายเลขที่นั่ง G 05 และก็คอยจนได้เวลา... ในช่วงต้นของหนังที่แสดงให้เห็นสองพ่อ-ลูก วิลล์และทอมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในป่า ผ่าฟืน กินเห็ด หากมันไม่ได้ดูเหมือนกับการตั้งแคมป์ อะไรหลายๆอย่างมันแสดงให้ให้เห็นว่าพวกเขาพำนักอยู่ที่นี่อย่างถาวร ชั่วแว้บหนึ่งมันทำให้เรารู้สึกถึงบรรยากาศแบบ Post-Apocalyptic นะ แต่ก็ตกไปและก็ใช่จริงๆ วิลล์และทอมอาศัยอยู่ในป่า แต่ก็มีบางครั้งบางคราวพวกเขาก็เข้าเมืองเพื่อซื้อข้าวของจำเป็น รวมถึงวิลล์ต้องรับยาบางอย่างจากทางโรงพยาบาล แต่ทว่าเขากลับนำยาเหล่านั้นมาขายต่อให้กับผู้ที่ต้องการเพื่อแลกกับเงินที่ไว้ใช้ในการดำเนินชีวิต หนังค่อยๆเฉลยให้เรารับรู้อย่างไม่รีบร้อนและไม่ปกปิด พวกเขาไม่ใช่คนจรไร้บ้าน ไม่ได้หนีความผิด หากแต่เพราะวิลล์ผู้เป็นพ่อ อดีตทหารผ่านศึกที่เคยผ่านศึกใดมาสักศึกนั้นไม่อาจระบุ ที่ต้องทนทุกข์ทรมาณจากอาการ PTSD นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจพาทอมหนีชีวิตที่ข้องเกี่ยวกับสังคมโดยมุ่งหน้าสู่ป่าที่จะมีเพียงกันและกันและอยู่แบบนั้นมานานปี กระทั่งเพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่นำพาพวกเขาเข้ากระบวนการการสังคมสงเคราะห์ของรัฐ และป่านั้นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นบ้านของพวกเขาอีกต่อไป หากเป็นบ้านไร่ของชายใจดีที่มีทั้งงาน ทั้งการศึกษาให้กับวิลล์และทอมตามลำดับ อันนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลง
              ทอมดูจะตื่นตาตื่นใจและปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่ได้เป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าเธอพอใจและค่อนข้างกระตือรือร้นกับสิ่งที่เรียกว่าสังคมมนุษย์ แต่ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับวิลล์มันคือสิ่งที่เขาเคยพบเคยประสบเคยใช้ชีวิตสิ่งเหล่านั้นมันคือสิ่งเก่าที่เขาหลีกลี้หนีมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจทานทนกับมันได้เพียงเสี้ยววัน ทั้งสองจึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ป่าอีกครั้ง โดยครั้งนี้ความรู้สึกลึกๆของทั้งคู่นั้นต่างจากกันโดยสิ้นเชิง

    Thomasin McKenzie in 'Leave No Trace' credit: bleeckerstreetmedia

    โอเค...เรื่องราวต่อจากนี้เราอยากให้ลองไปหาคำตอบกันในโรงหนัง มันดีเกินกว่าที่คาดหวังเสียอีก...

    Leave No Trace เป็นหนังที่มีไดอาล็อกบทพูดค่อนข้างน้อย หลายฉากปกคลุมด้วยความเงียบ หากเป็นความเงียบที่มีความหมาย เสียงย่างเหยียบ เสียงลมหายใจ ก็เช่นกันมันเปี่ยมไปด้วยความหมาย สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากๆคือ เดบรา กรานิก ถ่ายทอด 'ป่า' ออกมาได้ราวกับว่ามันเป็นเป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในหนังเรื่องนี้หาใช่เป็นเพียงแบ็กกราวนด์หรือบรรยากาศ เธอทำให้ป่านั้นดูสวยงามเป็นที่พักพิงในคราวหนึ่ง หากอีกคราวป่านั้นกลับน่ากลัว โหดร้ายและทารุณไม่ปราณี ดังฉากหนึ่งที่สองพ่อ-ลูกร่อนเร่ อยู่ในป่าหนาว มันหนาวสุดขั้วหัวใจ จนรู้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกได้ นี่ไม่ได้กล่าวเกินจริง

    ในแง่ของการแสดงก็ต้องบอกว่านักแสดงในเรื่องนี้ไม่มีใครทำให้คนดูผิดหวัง เบน ฟอสเตอร์ ยอดเยี่ยมอย่างเคย กับบทพูดไม่มากแต่เรากลับรับรู้ทุกรอยปริแตกในจิตใจของวิลล์โดยที่เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาสักคำ ส่วนบทของลูกสาวหากว่า Winter's Bone นั้นได้แจ้งเกิด เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ Leave No Trace ก็ต้องทำให้ โธมาซิน แม็คเคนซี เป็นที่จับตามอง ในบทบาทของ ทอม เด็กสาววัยสิบสามที่ ฉลาด แข็งแกร่ง และกล้าหาญ ที่เธอได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของช่วงวัยที่มีต่อสถานการณ์แต่ละสถานการณ์ได้อย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติและเข้าใจตัวละครนี้อย่างแท้จริง 

    มันไม่ง่ายเลยเมื่อต้องมาแสดงเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มีร่องรอยในใจจนอยากหลีกหนี และหนีเพื่อที่จะตามหาความหมายของชีวิตที่หยุดนิ่งและเป็นสุข ซึ่งนักแสดงนำทั้งสองทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ไร้ที่ติ โดยเฉพาะฉากในตอนท้าย ฉากแห่งการ 'เลือก' ฉากที่แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจและเคารพการตัดสินใจของคนสองคนที่คนหนึ่งเป็นพ่อและอีกคนเป็นลูก...

    Thomasin McKenzie and Ben Foster in 'Leave No Trace' credit: bleeckerstreetmedia

    Leave No Trace เป็นหนังที่มีพล็อตเรื่องเรียบง่าย เล่าเรื่องอย่างเนิบช้าตรงไปตรงมา ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกอันแสนซับซ้อนของมนุษย์ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูก ได้อย่างลึกซึ้ง ถึงแก่น และเข้าใจ

    แม้ไม่ใช่หนังแนวกระแสนิยม แต่หากมีโอกาสก็อยากให้ลองไปดูกัน มันเป็นหนังที่ดูจบแล้วเหลืออะไรในใจไว้ให้คิดถึงมากมายเหลือเกิน จะทุกข์ตรมก็ไม่ใช่ สุขสมก็ไม่เชิง หากให้เปรียบคงเหมือนหัวใจที่ปริแตก คันยิบ เพราะตกสะเก็ดใกล้หาย แล้วทิ้งรอย และก็เรียนรู้จากมัน คงประมาณนั้นมั้ง

    ********************


    เม สระเอมอม้า

    20180721

    Twitter @skywindandstars








เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Belle Kulmanachaya (@fb1839868619409)
อ่านเคลิ้มาากเลยค่ะ เขียนดีมากเลย