เดบรา กรานิก (Debra Granik) กลับมาพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องยาว (Feature Film) อีกครั้งหลังห่างหายไปจากจอเงินนานถึง 8ปี หากในปี 2014 เธอได้มีผลงานภาพยนตร์สารคดี(Documentary film)เรื่อง Stray Dog ที่ได้ติดตามชีวิตของทหารผ่านศึกจากสงครามเวียดนามท่านหนึ่ง...ดังนั้นนับจากภาพยนตร์เรื่อง Winter's Bone ที่กวาดคำชื่นชมมากมายจากผู้ชมและนักวิจารณ์ อีกทั้งยังทำให้โลกได้รู้จัก เจนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) ว่าเธอนั้นมีของแค่ไหนในบทของ รี ดอลลี (Ree Dolly) เด็กสาวสู้ชีวิตจากถิ่นชนบทเมืองโอซารฺกส์ รัฐมิซูรี โดยหนนี้ เดบรา กรานิก ได้เลือกที่จะหยิบเอานวนิยายเรื่อง My Abandonment ของ ปีเตอร์ ร็อค (Peter Rock) ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคนตัวเล็กๆที่อยู่ตามชายขอบของสังคม คนไม่สำคัญที่มีเรื่องราวชีวิตในแบบของพวกเขาเอง มาดัดแปลงและถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม ด้วยความเรียบง่าย และปราณีต ตามรูปแบบเฉพาะตัวของเธอ ใน 'Leave No Trace'
- ต้องบอกว่าว่าตัวเราเองไปดูเรื่องนี้โดยไม่อ่านรีวิวใดๆ หรือแม้แต่อ่านเรื่องย่อ หรือดูเทรเลอร์ เราก็เลี่ยงทั้งหมด เรามักจะทำแบบนี้กับหนังที่ตัวเองรู้สึกตั้งใจที่จะดูแบบต้องดูให้ได้และตั้งตารอกับการมาถึงของมัน ก็นะ ไหนๆก็ตั้งใจซะขนาดนี้ก็อย่าไปอ่าน ไปดู ไปรู้อะไรให้ใจมันไขว้เขว หรือเกิดอคติ ตีกรอบความคิด บลาๆๆ ไม่ต้องคิดล่วงหน้าก่อนดู ไปรู้เอาดาบหน้าว่างั้น ฉะนั้นสิ่งที่รู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือ เดบรา กรานิก เป็นคนกำกับ กับนักแสดงนำที่ได้เห็นผ่านโปสเตอร์ที่ ป๊า...ป่า! แต่แค่นี้แหละที่ทำให้เราตั้งใจว่าจะไม่พลาดหนังเรื่องนี้เป็นแน่ เดบรา กรานิก ผู้กำกับหญิงที่ทำให้เรารู้สึกรักและชื่นชมมากจาก Winter's Bone...แน่นอนว่ามันต้องมาพร้อมกับความคาดหวัง หวังสูงด้วยสิ!
โอเค...เรื่องราวต่อจากนี้เราอยากให้ลองไปหาคำตอบกันในโรงหนัง มันดีเกินกว่าที่คาดหวังเสียอีก...
Leave No Trace เป็นหนังที่มีไดอาล็อกบทพูดค่อนข้างน้อย หลายฉากปกคลุมด้วยความเงียบ หากเป็นความเงียบที่มีความหมาย เสียงย่างเหยียบ เสียงลมหายใจ ก็เช่นกันมันเปี่ยมไปด้วยความหมาย สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากๆคือ เดบรา กรานิก ถ่ายทอด 'ป่า' ออกมาได้ราวกับว่ามันเป็นเป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในหนังเรื่องนี้หาใช่เป็นเพียงแบ็กกราวนด์หรือบรรยากาศ เธอทำให้ป่านั้นดูสวยงามเป็นที่พักพิงในคราวหนึ่ง หากอีกคราวป่านั้นกลับน่ากลัว โหดร้ายและทารุณไม่ปราณี ดังฉากหนึ่งที่สองพ่อ-ลูกร่อนเร่ อยู่ในป่าหนาว มันหนาวสุดขั้วหัวใจ จนรู้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกได้ นี่ไม่ได้กล่าวเกินจริง
ในแง่ของการแสดงก็ต้องบอกว่านักแสดงในเรื่องนี้ไม่มีใครทำให้คนดูผิดหวัง เบน ฟอสเตอร์ ยอดเยี่ยมอย่างเคย กับบทพูดไม่มากแต่เรากลับรับรู้ทุกรอยปริแตกในจิตใจของวิลล์โดยที่เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาสักคำ ส่วนบทของลูกสาวหากว่า Winter's Bone นั้นได้แจ้งเกิด เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ Leave No Trace ก็ต้องทำให้ โธมาซิน แม็คเคนซี เป็นที่จับตามอง ในบทบาทของ ทอม เด็กสาววัยสิบสามที่ ฉลาด แข็งแกร่ง และกล้าหาญ ที่เธอได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของช่วงวัยที่มีต่อสถานการณ์แต่ละสถานการณ์ได้อย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติและเข้าใจตัวละครนี้อย่างแท้จริง
มันไม่ง่ายเลยเมื่อต้องมาแสดงเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มีร่องรอยในใจจนอยากหลีกหนี และหนีเพื่อที่จะตามหาความหมายของชีวิตที่หยุดนิ่งและเป็นสุข ซึ่งนักแสดงนำทั้งสองทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ไร้ที่ติ โดยเฉพาะฉากในตอนท้าย ฉากแห่งการ 'เลือก' ฉากที่แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจและเคารพการตัดสินใจของคนสองคนที่คนหนึ่งเป็นพ่อและอีกคนเป็นลูก...
Leave No Trace เป็นหนังที่มีพล็อตเรื่องเรียบง่าย เล่าเรื่องอย่างเนิบช้าตรงไปตรงมา ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกอันแสนซับซ้อนของมนุษย์ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูก ได้อย่างลึกซึ้ง ถึงแก่น และเข้าใจ
แม้ไม่ใช่หนังแนวกระแสนิยม แต่หากมีโอกาสก็อยากให้ลองไปดูกัน มันเป็นหนังที่ดูจบแล้วเหลืออะไรในใจไว้ให้คิดถึงมากมายเหลือเกิน จะทุกข์ตรมก็ไม่ใช่ สุขสมก็ไม่เชิง หากให้เปรียบคงเหมือนหัวใจที่ปริแตก คันยิบ เพราะตกสะเก็ดใกล้หาย แล้วทิ้งรอย และก็เรียนรู้จากมัน คงประมาณนั้นมั้ง
********************
เม สระเอมอม้า
20180721
Twitter @skywindandstars
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in