“ผมเห็นจริงๆนะ! มันขยับเองได้จริงๆ” เด็กชายพูดกับเพื่อนอย่างร้อนรน มือน้อยๆ กำชายเสื้อคาร์ดิแกนสีฟ้าแน่น เอเรนมองเขาและถอนหายใจ “ฟักทองเดินได้น่ะมันมีจริงเสียที่ไหนล่ะ เนอะ มิคาสะ” เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มพยักหน้าเห็นด้วย อาร์มินขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย โกรธเอเรนและมิคาสะที่ไม่ยอมเชื่อคำพูดของเขา เขาไม่ใช่เด็กขี้โกหกเหมือนเด็กในนิทานสักหน่อย ไม่ได้อยากจมูกยาวเหมือนพิน็อคคิโอ้เลยสักนิด อาร์มินโกรธจึงเดินออกมา ‘ไปบอกคุณปู่ดีกว่า คุณปู่ต้องเชื่อเราแน่’ เขาคิด
เด็กชายเล่าให้คุณปู่ฟัง ชายชราลูบหัวสีบลอนด์ บอกว่า “หลังพระจันทร์ปรากฏบนท้องฟ้าให้ไปที่สวนฟักทองท้ายหมู่บ้าน” อาร์มินยิ้มกว้าง อย่างน้อยๆ คุณปู่ก็ยังเชื่อคำพูดของเขา อาร์มินหยิบหนังสือเล่มใหม่ (ที่คุณปู่ให้เป็นของขวัญวันเกิด) ในกล่องสมบัติที่ติดแผ่นไม้ไว้ว่า ‘ของล้ำค่าของอาร์มิน’ เดินไปนั่งบนเก้าอี้โยกเยก เปิดอ่านเพื่อรอให้ตะวันตกดิน หน้าแล้ว หน้าเล่าจนผล็อยหลับไปในที่สุด สะดุ้งตื่นขึ้นมาในภายหลังเมื่อได้ยินเสียงคุณปู่ผิวปากร้องเพลง
ตะวันลับขอบกำแพง อาร์มินสับขาวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ มุ่งหน้าไปยังสวนฟักทองตามที่คุณปู่บอก เห็นลูกฟักทองเรียงรายกลายเป็นพื้นที่สีส้มอมเหลือง กวาดสายตาไปทั่วบริเวณเพื่อหาฟักทองเดินได้ที่เคยเห็นเมื่อเช้าตรู่ ‘ไม่เห็นมีอะไรเลย’ เขาคิด ทรุดลงข้างๆ ฟักทองลูกหนึ่งและกอดมันไว้แน่น จู่ๆ ลูกฟักทองในอ้อมกอดก็ขยับไปมา อาร์มินตกใจจนตัวโยน เผลอปล่อยฟักทองลูกนั้นตกลงพื้น ลูกกลมๆ สีส้มอมเหลืองกลิ้งไปตามพื้นเป็นเส้นตรงไปทางกลางสวนฟักทอง —ไม่ใช่แค่ลูกเดียว ยังมีอีกสองลูกที่กลิ้งตามไปด้วย เด็กชายอ้าปากค้าง ฟักทองทั้งสามลูกล่องลอยกลางอากาศ ค่อยๆ เรียงตัวกันจนกลายเป็นสโนว์แมน —ไม่ใช่สิ พัมกิ้นแมนต่างหากล่ะ
พัมกิ้นแมนกระโดดไปมา เหมือนส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือแก่อาร์มิน เด็กชายนึกอะไรขึ้นออก วิ่งไปหยิบมีดในบ้านเก็บของ ขออนุญาตพัมกิ้นแมนเพื่อแกะสลักปาก ดวงตา และจมูก พัมกิ้นแมนกระโดดโลดเต้น เด็กชายบรรจงใช้มีดแกะสลักทั้งสามลูก เริ่มจากลูกข้างบนสุด ทำออกมาได้แย่มาก มันโย้เย้ไม่เหมือนที่คิดเลยสักนิด ความพยายามครั้งที่สองเขาคิดว่ามันดีขึ้น แม้แค่นิดเดียวก็ตาม เมื่อถึงความพยายามครั้งสุดท้าย ผลลัพธ์มันค่อนข้างวิเศษมากถึงแม้มันยังคงเบี้ยวอยู่ก็ตาม อยากให้คุณปู่มาเห็นจังว่าเขาทำได้ดีมากเพียงใด อาร์มินปัดเศษของพัมกิ้นแมนลงบนพื้น “ขอบใจนะเด็กน้อย” พัมกิ้นแมนทั้งสามลูกพูดพร้อมกัน เด็กชายอ้าปากค้างยิ่งกว่าเดิม
“อยากไปเที่ยวกับพวกเราไหม?” ฟักทองทั้งสามชักชวน อาร์มินพยักหน้า พัมกิ้นแมนบอกให้เขาแตะบนตัวและหลับตา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบเห็นเหล่าวิญญาณลอยล่องไปมา เห็นโครงกระดูกเดินได้ เห็นชายหัวขาดขี่หลังม้า เห็นพัมกิ้นแมนอีกหลายตัว อาร์มินจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีเลือดฝาด พัมกิ้นแมนพาเขาไปชมยังสถานที่ต่างๆ เล่าว่า “ ‘โลกเพลินจิต’ เป็นโลกของเหล่าภูติผี ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับมนุษย์ ภูติผีเหล่านี้มีภาษาพูดแต่ไม่ใช่ภาษาที่มนุษย์รู้จัก ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทุกประการ ต้องการอาหารและน้ำ มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง สิ่งที่ต่างออกไปจากพวกเธอคือพวกเราสามารถบินไปมาได้ ไม่มีกำแพงและไททันล้อมรอบ ไม่ต้องหวาดกลัวว่าวันนึงกำแพงจะแตกและโดนเหล่าไททันยักษ์จับกิน” อาร์มินคิดในใจว่าสิ่งที่พัมกิ้นแมนแสดงให้เห็นนั้นล้วนมีแค่ด้านดีของมันเท่านั้น เขานึกอยากเห็นโลกเพลินจิตอีกด้านหนึ่ง ( “ทุกสิ่งทุกอย่างมักมีสองด้านเสมอแม้แต่เค้กเองก็ด้วย” คุณปู่ชอบพูดใส่เขาบ่อยๆ ) แต่พัมกิ้นแมนพาเขาลอยหวือขึ้นบนฟ้าเสียก่อน
ท้องฟ้าโลกเพลินจิตนั้นมืดสนิท ไม่มีดวงดาวหรือดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ ไม่มีปุยเมฆขาวอย่างที่คิด มีเพียงแสงไฟที่พัมกิ้นแมนเรียกมันว่า ‘แสงหิ่งห้อย’ เท่านั้น ภูติผีเหล่านี้ไม่รู้จักโลกมนุษย์ พวกเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามนุษย์คืออะไร บางทีสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาจนิยามให้ ‘มนุษย์’ เป็น ‘ผี’ เหมือนอย่างที่มนุษย์นิยามให้ ‘ภูติผีเหล่านี้’ เป็น ‘ผี’ ก็ได้
เด็กชายก้มลงมองเมืองจากบนฟ้า เห็นแสงหิ่งห้อยมากมายเปล่งประกายเต็มท้องฟ้าและผืนดิน เขาแตะหิ่งห้อยตัวหนึ่งที่บินสวนกับเขาเบาๆ มันรีบบินหนีอาร์มินไปอีกทางหนึ่ง เหมือนเห็นภาพคุณปู่เห็นงูแล้ววิ่งหนีไม่มีผิด
หนึ่งคนและสามฟักทองที่รวมเป็นหนึ่งล่องลอยกลางอากาศไปมา เส้นผมบลอนด์กระจายตามแรงลม ดวงตาของเด็กชายพยายามเก็บความทรงจำแสนวิเศษเหล่านี้ไว้เพื่อเอาไปเล่าให้คุณปู่ เอเรน และมิคาสะฟัง จู่ๆ พัมกิ้นแมนก็ส่ายตัวไปมากลางอากาศส่งผลให้อาร์มินที่กอดฟักทองจากข้างหลังเซไปด้วย ฟักทองทั้งสามลูกพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน สะบัดให้เด็กชายหลุดออกจากตัวร่วงหล่นสู่พื้นพสุธา “ไว้เจอกันใหม่และลาก่อน อาร์มิน”
อาร์มินสะดุ้งตื่น พบว่าตัวเองยังคงถือหนังสือและอยู่บนเก้าอี้โยกเยกตัวเดิม เขาหันซ้ายหันขวา เห็นคุณปู่กำลังผิวปากร้องเพลงอยู่ ‘ฝันเหรอเนี่ย เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นจริงเลย’ เขาคิด ขยี้ตาและลุกยืนบิดขี้เกียจ นำหนังสือกลับไปเก็บใส่ ‘กล่องสมบัติของอาร์มิน’ เหมือนเดิม วิ่งออกไปนอกบ้านเพื่อไปหาเอเรนและมิคาสะ ชักชวนให้สองคนนั่นไปที่สวนฟักทองตอนกลางคืนที่ทัายหมู่บ้านด้วยกัน
มิคาสะเดินนำเด็กชายทั้งสองคนไปที่สวนฟักทองหลังพระอาทิตย์อัสดง พบเห็นชาวบ้านกำลังจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ฟักทองในกำแพงมาเรียนั้นขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีการแสดงหุ่นไล่กาโดยใช้ฟักทองที่เอาไส้ข้างในออกแล้วสวมใส่ศรีษะ บ้างก็เอาหัวนั่นมาใส่และวิ่งไล่จับกันไปมา เอเรนยื่นพายฟักทองให้อาร์มิน บอกว่า “ที่นายเห็นเมื่อเช้าน่ะคือหัวฟักทองที่คนใส่ต่างหากล่ะ” เด็กชายรับพายฟักทองจากเพื่อน ยิ้มเคอะเขินเมื่อรู้ว่าตนเองนั้นเข้าใจผิดไปอีกอย่าง —ใช่ มันมีที่ไหนล่ะ ฟักทองที่เดินได้เองน่ะ มีแค่ในนิทานก่อนนอนของเหล่าเด็กน้อยก็เท่านั้น
คืนนั้นหลังจากที่ชาวบ้านทุกคนแยกย้ายกันกลับที่พักของตัวเองและเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ฟักทองสามลูกจากในสวนก็เริ่มขยับไปมา กลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้น ล่องลอยกลางเวหา ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว พัมกิ้นแมนโปรยชิ้นส่วนของตัวเองแก่สวนสีส้มอมเหลืองเหมือนแม่มดร่ายเวทมนตร์เพื่อไม่ให้แมลงตอมไต่และเสริมสร้างรสชาติให้รสเลิศ ทิ้งคำพูดไว้และหมุนตัวเป็นรูปฟักทองหายลับไปในที่สุด “ราตรีสวัสดิ์เหล่าฟักทองทั้งหลาย”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in