คุณพ่อมักจะบอกผมเสมอตั้งแต่ผมจำความได้ว่าบ้านตรงข้ามคือบ้านผีสิง น้าแครอลที่เป็นเพื่อนบ้านบอกว่าเป็นถิ่นฐานของมนุษย์ต่างดาว เพื่อนที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันบอกว่าบ้านหลังนั้นคือบ้านแม่มด คุณครูที่โรงเรียนบอกว่าเป็นบ้านที่ถูกทิ้งร้างไว้ ผมไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดีระหว่างคุณปู่ น้าแครอล เพื่อนบ้าน หรือครูในโรงเรียน แต่ไม่มีใครเคยบอกผมว่าพวกเขาเคยเห็น ‘คน’ อาศัยอยู่ในนั้น ผมคิดว่าผมเห็นเด็กผู้ชายผอมแห้งทางหน้าต่างบ้านผีสิง ไม่สิ บ้านของเอเลี่ยน ไม่ใช่ บ้านแม่มดต่างหากล่ะ เอ๊ะ หรือบ้านร้างกันนะ ช่างมันเถอะ ผมจะเรียกว่าบ้านสีหมอกแล้วกันเพราะมันดูอึมครึมเหมือนหมอกในวันที่เย็นจัดจนผมม้วนตัวในผ้าห่มเกือบทั้งวัน มิเกะ (เพื่อนร่วมชั้นเกรดห้าของผม) เคยท้าให้แก๊งค์ของกุนเธอร์ที่อยู่เกรดหกไปสำรวจบ้านหลังนั้น ผลลัพธ์คือพวกเขาวิ่งแตกกระเจิงออกจากบ้านเพราะได้ยินเสียงเครื่องดนตรีเล่นเอง นั่นเป็นตัวจุดชนวนให้ผมอยากพิสูจน์ว่าบ้านสีหมอกเป็นอย่างชาวบ้านต่างพูดกันหรือเปล่า
เมื่อครูพิกซิสปล่อยให้นักเรียน
กลับบ้านผมก็รีบเดินไปยังบ้านสีหมอกทันที ไม่ได้ชวนเพื่อนคนอื่นไปด้วย ผมเดินอ้อมไปทางหลังบ้านสีหมอก ถ้าผมเดินเข้าทางประตูรั้วหน้าบ้านล่ะก็น้าแครอลอาจเห็นพบและนำไปบอกคุณปู่เอาได้ เธอเปรียบเสมือนแหล่งข่าวสารของหมู่บ้าน เมื่อน้าแครอลรู้ มนุษย์ทั้งในกำแพงมาเรีย โรเซ่ และซีน่าก็ต้องรู้ด้วย สายตาหล่อนน่ะไวยิ่งกว่าเปอร์เซียของมิเกะเสียอีก น้าไม่มีการไม่มีงานทำหรือไงกันนะ
ผมปีนรั้วหลังบ้าน เดินผ่านสวนดอกไม้ น่าแปลกที่ทั้งดอกไม้และต้นไม้ไม่เหี่ยวเลยสักนิด มันดูสุขภาพดีเหมือนอย่างที่คุณพ่อดูแลเปี๊ยบเลย ผมเคาะประตูหลังบ้านเผื่อว่ามีคนอยู่ ไม่มีเสียงตอบรับ ผมลองบิดลูกบิดประตู พบว่ามันไม่ได้ล็อกเอาไว้ ภายในบ้านมืดมิดเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่ สองเท้าก้าวเข้าไปห้องที่น่าจะเป็นห้องรับแขก เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามจังหวะการเดิน ผมใช้สองมือป้องปากและตะโกน “หวัดดี” ไม่มีใครตอบรับ ได้ยินแค่เสียงตะโกนของตัวเองสะท้อนกลับ จู่ๆ เสียงดนตรีก็ดังขึ้นจากชั้นสอง เป็นเสียงบรรเลงของฮาร์ป ผมค่อยๆ ก้าวขึ้นบันได เมื่อใกล้ถึงชั้นสองเสียงดนตรีก็เงียบลง
บนชั้นสองมีสามสี่ห้อง เว้นตรงกลางเป็นทางเดินกว้างๆ มีฮาร์ปหนึ่งเครื่องตั้งอยู่ตรงนั้น ผมเดินไปลูบมันเบาๆ เพราะกลัวจะทำให้มันมีรอยขีดข่วน นึกสงสัยว่าเพลงเมื่อกี้ใครเป็นคนเล่นกัน ต้องเป็นเด็กคนนั้นแน่ ผมหันไปรอบทางเดิน เห็นอะไรบางอย่างนูนออกมากจากผ้าม่านที่คลุมหน้าต่าง ผมเดินไปเปิดผ้าม่านนั่นออกและพบว่ามีเด็กผู้ชายคนเดียวกับที่ผมเคยเห็นนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ ผมทักทายเขา
“หวัดดี”
“หวัดดี”
“ฮาร์ปที่เธอเล่นเพราะดีนะ”
“ขอบใจ”
ผมอธิบายให้เขาฟังว่าแอบเข้ามาได้ยังไง ผมคิดว่าเด็กคนนี้จะด่าผม แต่เขาเพียงแสดงสีหน้านิ่งๆ บอกว่าตั้งแต่เติบโตในบ้านหลังนี้ยังไม่มีใครบ้าบิ่นใจกล้าขึ้นมาถึงชั้นสองนี่ได้เท่าผมแล้ว ผมแนะนำตัวกับเขาเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทมากเกินไป บอกว่าอาศัยอยู่บ้านตรงข้าม มีคุณปู่กับคุณพ่อและผมแค่สามคนในครอบครัว เขาบอกว่าชื่อรีไวล์ เคยมีแม่แต่ท่านเสียชีวิตจากโรคระบาดตั้งแต่เขายังเป็นทารก เหลือแค่คุณลุงที่ชายแท้ๆ ของแม่คอยเลี้ยงดูเขาขึ้นมา ตอนเด็กๆ เขาเป็นคนป่วยง่ายจึงได้แต่นอนซมที่บ้านเสมอ โรงเรียนก็ไม่ค่อยได้ไป ส่วนคุณลุงที่งานยุ่งกับงานตลอดก็ไม่ค่อยว่างมาดูแลเขาเท่าไหร่นักและนอนค้างนอกบ้านบ่อยๆ ทำให้ไม่มีใครเข้า-ออกบ้านหลังนี้ นั่นทำให้ชาวบ้านพาลคิดไปเองว่านี่คือบ้านร้างหรือบ้านผีสิงอะไรทำนองนั้น หลังจากฟังเรื่องราวของเขาผมรู้สึกโล่งใจที่บ้านสีหมอกไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านต่างลือกัน
ผมพิจารณารูปร่างของคนข้างหน้า ตัวเขาผมแห้งเหมือนเนื้อติดกระดูก ผมดำยาวรกรุงรัง เสื้อผ้าเก่ามีรอบเย็บปะ แก้มตอบ สีผิวซีด เขาดูไม่เหมือนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผมเลย ผมรู้สึกเห็นใจที่เขาต้องอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้จึงบอกเขาว่าหลังเลิกเรียนหรือเวลาที่ผมว่างจะมาเล่นเป็นเพื่อนคลายเหงา ก่อนที่ผมจะออกจากบ้านหลังนั้นไม่ลืมบอกให้เขาล็อกประตูบ้านให้เรียบร้อยด้วย ผมเล่าให้คุณปู่กับคุณพ่อฟังกลางโต๊ะอาหารเย็นว่าผมได้เข้าไปในบ้างสีหมอกและพบรีไวล์ พวกเขาตกใจนิดหน่อยที่รู้ว่ามีคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นจริงๆ ถึงครอบครัวผมจะรู้แล้วแต่ผมไม่คิดบอกให้เพื่อนคนอื่นรู้หรอก ไม่งั้นรีไวล์อาจโดนแกล้ง
ผมไปหาเขาทุกวัน เอาขนมนมเนยไปแบ่ง ขอให้เขาสอนผมเล่นฮาร์ป บางวันก็จะเจอคุณลุงของรีไวล์ ครั้งแรกที่ลุงเคนนี่เห็นผมเขาระแวงว่าผมจะเป็นพวกที่ประสงค์ร้ายกับรีไวล์หรือเปล่า แต่ก็เป็นแค่ช่วงแรกๆ เพราะหลังจากนั้นลุงเคนนี่ก็ไว้ใจให้ผมเล่นกับรีไวล์ บางครั้งผมก็พาเขามานอนค้างที่บ้าน คุณปู่กับคุณพ่อไม่ได้ห้าม กลับกันพวกเขายังช่วยลุงเคนนี่ดูแลเขาระหว่างที่ไม่อยู่ด้วยซ้ำ
นานวันเข้าเพื่อนบ้านก็เริ่มสังเกตว่ามีคนอาศัยอยู่ในบ้านผีสิงนั่นจริงๆ แถมยังมีชีวิตชีวามากขึ้นและยังสนิทกับครอบครัวผมด้วย มีวันนึงน้าแครอลรัวคำถามใส่ผมไม่ยั้งเมื่อเห็นรีไวล์กำลังช่วยผมปลูกต้นไม้อยู่ ผมเมินหล่อน แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของเธอ
เมื่อถึงวันหยุด ผมขออนุญาตคุณตาไปดูพลุในเมืองกับรีไวล์ คุณตาอนุญาตและเตือนว่า “อย่าซนนักล่ะ” ก่อนถึงเวลาจุดพลุผมพาเขาไปซื้อของกิน ผมลอบมองรีไวล์ที่กำลังเคี้ยวขนมปังอย่างเอร็ดอร่อย เขาแตกต่างจากวันแรกที่พบเจอกันมาก เขามีเนื้อมีหนังมากขึ้น กล้าเข้าสังคมมากขึ้น ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น และที่สำคัญคือเขากับผมกลายเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว ผมยิ้มกว้างกับตัวเองจนรีไวล์เอ่ยปากด่าผมว่า “น่าขนลุก” อ่า ผมลืมบอกไป เขาค่อนข้างพูดคำหยาบเพราะติดมาจากลุงเคนนี่ แต่ตอนนี้ผมไม่ค่อยได้ยินมันแล้วจนกระทั่งเมื่อกี้นี้นี่แหละ
พวกเรานั่งใต้ต้นไม้เพื่อรอดูพลุ ผมถามคำถามเขาเพื่อฆ่าเวลา “จำเด็กสามคนที่เคยเข้าไปบ้านนายได้ไหม? ที่หัวหน้าแก๊งค์ชื่อกุนเธอร์ นายทำยังไงให้พวกนั้นกลัวจนหนีไปล่ะ?” รีไวล์ใช้เวลานึกอยู่สักพักแล้วตอบ “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนั้นแอบเข้ามา ตอนนั้นฉันแค่อยากเล่นฮาร์ป แล้งจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันได ฉันกลัวว่าจะเป็ยขโมยก็เลยไปหลบหลังผ้าม่าน” ผมยื่นน้ำให้เขาดื่มแก้คอแห้ง “มิน่า พวกนั้นถึงบอกว่าดนตรีมันเล่นเองได้ ที่แท้นายไปซ่อนก่อนที่พวกนั้นจะมาเห็นนี่เอง” ผมหัวเราะดังลั่น รีไวล์หัวเราะตาม เรื่องผ่านมาไม่กี่เดือนแต่ผมยังจำมันได้ดี รีไวล์ยังบอกอีกว่าน่าจะส่งเสียงเหมือนไททันด้วยพวกนั้นจะได้ักลัวมากขึ้นอีก พวกเราหัวเราะดังลั่นจนกระทั่งพลุนัดแรกปรากฏบนท้องฟ้า ผมชี้ให้เขาดู
“สวยจัง”
“นายเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ ขอบใจที่พามานะ“
รีไวล์หันมายิ้มให้ผม เป็นจังหวะเดียวกับที่พลุนัดใหม่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้าแล้วแตกกระจายเป็นประกายแสงสีต่างๆ ผมใจกระตุกจังหวะหนึ่ง หน้าแดง เกาท้ายทอยเพราะเขินที่ถูกขอบคุณตรงๆ พวกเรานั่งดูพลุด้วยกันจนกระทั่งถึงนัดสุดท้ายที่ยิงขึ้นกลางอากาศ รีไวล์นั่งพิงต้นไม้ ถอนหายใจยกใหญ่ซึ่งนานๆ ทีเขาจะเป็นแบบนี้
“อยากดูพลุอีก”
“เอาไว้รอบหน้าฉันจะพามาดู”
“รอบหน้านี่ตอนไหนล่ะ?”
“ปีหน้า มันมีปีละครั้ง”
“สัญญาว่าต้องพามาอีกนะ”
“เกี่ยวก้อยกันก่อน”
“คืออะไร?”
“เกี่ยวก้อยคือสัญลักษณ์ว่าเราจะต้องทำตามสัญญา”
“ทำอย่างนี้เหรอ?”
“ใช่ เอ้า! เกี่ยวก้อยกันแล้ว ปีหน้านายจะได้มานั่งตรงนี้อีกแน่ๆ”
“ขอบใจที่ยอมเป็นเพื่อนกับฉันนะ เออร์วิน”
“ฉันก็เหมือนกัน รีไวล์”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in