เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
whatfilmbehoramiji
Talk: Little Women เพราะผู้หญิงก็มีเรื่องเล่า
  • "คุณจะรู้สึกว่ามันใช่เองเมื่อได้ชม(ภาพยนตร์จริงๆ)สักเรื่อง"

    นั่นคือคำตอบของเกรตา เกอร์วิก จากบทสนทนาในวงผู้กำกับ
    เมื่อถูกถามว่า 'ภาพยนตร์' (Cinema) สำหรับเธอคืออะไร?

    "คุณจะไม่พลาดตั้งแต่ช็อตแรกของเรื่อง คุณจะรู้สึกได้ถึงนักเขียนผู้อยู่เบื้องหลัง คุณรู้สึกได้หากมันมาจากมุมมองส่วนตัว คุณจะสัมผัสได้เลยในทุก ๆ อย่างที่ผ่านเข้ามา ทุกฉาก ทุกตอน นักแสดงทุกคน ทุกสิ่งละอันพันละน้อยจะเข้าถึงจิตใจคุณทั้งหมด ฉันไม่รู้จะอธิบายให้ดีกว่านี้ได้ยังไง แต่เราจะรู้สึกได้เองถ้ามันใช่ แค่นั้นเลยจริง ๆ"

    เราเพิ่งฟังบทสัมภาษณ์นี้ก่อนไปดู 'Little Women'
    และเมื่อหนังจบ คำพูดของเกรตาก็แวบขึ้นมาทันที

    นั่นแหละความรู้สึกที่เรามีต่อ Little Women ฉบับรีเมคของเกรตา เกอร์วิก...ใช่เลย ความรู้สึกที่ถาโถมโหมกระหน่ำเข้าใส่จนเรียบเรียงและบรรยายออกมาเป็นคำพูดสั้น ๆ ไม่กี่คำไม่ได้ แต่ส่วนลึกในจิตใจเราเข้าถึง สัมผัสและซึมซับทุกรายละเอียดเอาไว้ได้หมด จนเราบอกได้ทันทีว่านี่แหละคือ 'ภาพยนตร์' ในความรู้สึกของเรา ในความหมายของเรา 


    LITTLE WOMEN : THE BOOK

    "Little Women"  เป็นนิยายซึ่งประพันธ์โดยนักเขียนชาวอเมริกัน ลุยซา เมย์ อัลคอตต์ (Louisa May Alcott) หนังสือบอกเล่าเรื่องราวของสี่สาวพี่น้องตระกูลมาร์ช เม็ก, โจ, เบธ และเอมี่ โดยแบ่งการตีพิมพ์ออกเป็นสองเล่ม เล่มแรกในปี 1968 เป็นเรื่องราววัยเด็กซึ่งแม้ครอบครัวจะค่อนข้างจน คุณแม่ต้องลำบากเลี้ยงดูลูก ๆ เนื่องจากคุณพ่อไปออกรบ แต่ชีวิตประจำวันในบ้านของสาว ๆ ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและเสียงหัวเราะ ส่วนเล่มที่สองในปี 1969 เป็นภาคที่อัลคอตต์เคยเรียกเล่น ๆ ว่า The Wedding Marches เนื่องจากในช่วงวัยแห่งการโตเป็นสาว เธอต้องเขียนให้สี่ดรุณีได้แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไปทั้งหมด ตามความต้องการของตลาดสื่อสิ่งพิมพ์ในยุคนั้นเรื่องเล่าของสี่ดรุณียังเป็นกึ่ง ๆ ชีวประวัติของอัลคอตต์อีกด้วย เพราะเหล่าสาวน้อยตระกูลมาร์ชมีที่มาจากตัวเธอและพี่น้องของเธอเอง

    Little Women ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาแล้ว 7 ครั้ง —รวมฉบับล่าสุดของ เกรตา เกอร์วิก (Greta Gerwig)  ในปี 2019 นี้— และยังมีการดัดแปลงเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์อีกหลายฉบับ อาจเพราะเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเหล่าลูกสาวให้เป็นกุลสตรี มีจิตใจงดงาม กิริยาอ่อนหวาน แต่ก็ทั้งเข้มแข็ง เป็นตัวเอง ทะเยอทะยานด้วยไฟฝันและพลังแห่งการสร้างสรรค์ ในยุคที่ผู้คนยังไม่ให้คุณค่าศิลปะจากผู้หญิงด้วยซ้ำ มันช่างล้ำสมัยและมาก่อนกาลนานนัก ขนาดที่ว่า 150 ปีให้หลัง สารสำคัญของเรื่องราวก็ยังคงคุณค่า เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน และมีศักยภาพจะพัฒนาต่อไปได้อีก อย่างที่เกรตาได้พิสูจน์แล้วในงานกำกับและเขียนบท Little Women เวอร์ชั่นของเธอ


    LITTLE WOMEN : BEHIND THE SCENES

    เกรตา เกอร์วิกเลือกถ่ายทำ Little Women (2019) ด้วยกล้องฟิล์ม เพราะสตีเวน สปีลเบิร์กให้เธอลองดมเซลลูลอยด์(ฟิล์ม)จากกล้องที่เขาใช้ถ่ายทำ Jurassic Park และยืนยันว่าเธอต้องถ่ายทำด้วยฟิล์มนะ กลิ่นอายมันไม่เหมือนกัน เขาไม่ยอมให้เธอถ่ายหนังยุค 1861 ด้วยกล้องดิจิตอลแน่  แถมสปีลเบิร์กยังแนะนำและเปิดเผยทุกเทคนิคการจัดแสงของยุคนั้นที่ยังใช้แสงจากเทียนอยู่ เพราะมันเป็นยุคเดียวกับในภาพยนตร์เรื่อง Lincoln ซึ่งเขาเคยถ่ายทำมาก่อน

    นอกจากการถ่ายทำด้วยฟิล์มเพื่อให้ได้ภาพบรรยากาศและมิติลึกซึ้งเข้ากับยุคสมัยเก่าแล้ว เกรตายังอยากให้หนังของเธอไม่ดูเป็นแนวพีเรียดจัดหนักจัดเต็มอลังการเกินไป อย่างที่หลายเรื่องชอบทำ จนบางครั้งเรารู้สึกอึดอัด เกรตาต้องการความงามฟุ้งแต่ไม่ยุ่งเหยิง คล้ายการเต้นรำในจังหวะกำลังพอสนุก เธอจึงเลือกทำงานกับผู้กำกับภาพโยริค เลอ โซ (Yorick Le Saux)  เพราะประทับใจวิธีการเคลื่อนกล้องอันลื่นไหลของเขาในการถ่ายภาพ และเกรตารู้สึกว่าภาพจะดูสดใหม่ที่สุดเมื่อถ่ายทำอย่างคลาสสิคนี่แหละ 'ถ้าอยากให้หนังดูมีชีวิต ก็ต้องเชื่ออย่างสุดใจว่าเรากำลังอยู่ในช่วงยุคสมัยนั้น' ซึ่งภาพที่เราได้ชมบนจอภาพยนตร์ก็ออกมาพลิ้วไหว มีชีวิตชีวา เปล่งประกายความทันสมัยอยู่ภายใต้ความพีเรียดจริง ๆ

    เวลาผู้กำกับบอกว่าจะสร้างหนังสงคราม พวกเขาหมายถึงงานสเกลใหญ่อลังการ ถ่ายทำในหลากหลายโลเคชั่น เทคนิคภาพตระการตา และอัดแน่นด้วยนักแสดงระดับแถวหน้ามากมาย ซึ่งเกรตา เกอร์วิกต้องการสร้าง Little Women ในแบบนั้นเช่นเดียวกัน

    "ถ้าคุณบอกใครสักคนว่าจะสร้างหนังสงครามนะ พวกเขาจะเข้าใจทันที" เกรตากล่าว "แต่ถ้าคุณบอกว่า 'ฉันจะเล่าเรื่องราวของเหล่าเด็กสาวที่กำลังก้าวข้ามพ้นวัยไปเป็นผู้ใหญ่ กับช่วงเวลาทุกข์และสุขของพวกเธอ'  คนจะคิดว่ามันเป็นหนังสเกลเล็ก ๆ นั่นคือสิ่งที่พวกเราอยากระบายออกมาค่ะ เพราะสำหรับพวกเรามันไม่เล็กเลย มันคือเรื่องราวชีวิตของพวกเรา—และของผู้ชายด้วย"

    ตอนที่ต้องโน้มน้าวให้ผู้บริหารโซนี่ไฟเขียวเรื่องทุนสร้าง เกรตาจำได้ว่าในห้องเต็มไปด้วยผู้ชาย และแม้ว่า Little Women จะเป็นหนังพีเรียดในช่วงศตวรรษที่ 19 แต่เธอจะเล่าเรื่องราวของ "ศิลปะ ความทะเยอทะยาน และเงินตรา" ซึ่งผู้ชายเข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี  หนังได้งบมา 40 ล้านเหรียญฯ ถ่ายทำใน 38 โลเคชั่น รอบบริเวณบ้านของอัลคอตต์ในแมสซาชูเซตส์  เธอและนักแสดงได้พากันไปเยี่ยมหลุมศพของอัลคอตต์ ผู้ประพันธ์หนังสือด้วย เกรตานึกถึงการตัดสินใจของอัลคอตต์ที่จะเก็บลิขสิทธิ์ในงานเขียนไว้ เป็นการประกันรายได้ของตัวเองในอนาคต  สัญชาตญาณอย่างเดียวกันเติบโตในตัวเกรตา และผลักดันให้เธอกล้าทุ่มเท กล้าบอกตัวเองว่า 'เราต้องลงทุนกับหนังเรื่องนี้ มันต้องยิ่งใหญ่ ต้องได้รับการถ่ายทอดอย่างสมศักดิ์ศรี'

    บรรยากาศเบื้องหลังการถ่ายทำ Little Women (2019) ที่อัดแน่นไปด้วยนักแสดงคุณภาพ :


    เกรตายังเขียนบทให้ทันสมัยมากขึ้นด้วยการแต่งแต้มไอเดียซึ่งได้จากจดหมายและไดอารี่ส่วนตัวของอัลคอตต์ลงไปด้วย แต่สิ่งที่ได้ผลมากที่สุดในการเล่าเรื่องด้วยสไตล์ของเธอเองนั้น สำหรับเราคือการวางโครงสร้างและลำดับการเล่าเรื่องเสียใหม่ เกรตารู้จัก Little Women ครั้งแรกตั้งแต่ยังเด็ก โดยแม่เป็นคนอ่านให้ฟัง และสี่พี่น้องมาร์ชก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอมาตั้งแต่นั้นจนโต เมื่อเกรตาอ่านหนังสืออีกครั้งในวัย 30 ปี ประสบการณ์ที่ได้กลับแตกต่างออกไปจากที่เธอเคยรับรู้อย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้เธอยังพบว่าเรื่องราวของสาว ๆ ในหนังสือทั้งสองช่วงนั้นมีส่วนสะท้อนหากันไปมา เธอจึงอยากเล่าตัดสลับไปมาระหว่างช่วงวัยทำงานและมีคู่ครอง กับ ช่วงความทรงจำในวัยเด็กของทั้งสี่ คล้ายการเล่านิทานสลับกับชีวิตจริง เหตุผลหนึ่งก็เพราะผู้หญิงมักมีความรู้สึกว่า 'ช่วงเวลาแห่งการผจญภัยและความสนุกเป็นเรื่องของเด็กสาววัยรุ่นเท่านั้น เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ชีวิตก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว' เกรตาคิดว่าเราจะส่งต่อความคิดเดิม ๆ นั่นออกไปให้เด็กผู้หญิงรุ่นใหม่ไม่ได้ การคืนความสุขวัยเด็กให้กับสี่พี่น้องมาร์ชจึงเป็นภารกิจสำคัญของหนังเรื่องนี้สำหรับเธอ

    "มีผู้หญิงมากมายอ่านแค่ภาคแรกของหนังสือ ถ้าสิ่งที่เรากำลังบอกเหล่าเด็กสาว คือ 'ทุกอย่างจบลงเมื่อเราเข้าสู่วัยผู้ใหญ่' นั่นก็ไม่ดีพอค่ะ เพราะมันหมายถึงว่าชีวิตไม่มีอะไรให้ปรารถนาหรือไขว่คว้าอีกต่อไป ถ้าการโตเป็นผู้ใหญ่มันไร้ซึ่งความกล้า ความทะเยอทะยาน ความเป็นไปได้อื่น ๆ ถ้าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่แค่ในวัยเด็กและเราต้องโยนมันทิ้งไป คงฟังดูไม่ถูกต้องเท่าไร ฉันเลยยืนพื้นด้วยเส้นเรื่องในตอนโตค่ะ"  เกรตา เกอร์วิก

    หนังไม่ได้มีตัวอักษรกำกับช่วงเวลาว่าฉากไหนมาจากช่วงเวลาไหนให้คนดูรู้แน่ชัด แต่เราสามารถสังเกตได้จากการบอกใบ้ในโทนสีของภาพ 'ช่วงวัยเด็ก' ของสี่พี่น้องมาร์ชเจิดจรัสด้วยสีสันอบอุ่นสดใส พวกเธอร่าเริงสมวัยเหมือนดอกไม้แรกแย้มกำลังผลิบาน แม้แต่แสงตะวันที่สาดไล้หิมะในยามกลางวันหรือแสงจากเปลวเทียนในยามค่ำคืนก็ให้ความรู้สึกสุกสว่าง บรรยากาศในบ้านไม่เคยขาดเสียงหัวเราะหรือรอยยิ้ม แม้พวกเธอจะไม่ได้ร่ำรวย อีกทั้งพ่อก็ออกรบและมีแม่เหนื่อยทำงานเลี้ยงดูอยู่คนเดียวก็ตาม ส่วน 'ช่วงวัยผู้ใหญ่' นั้น โทนสีของภาพกลับอึมครึมครึ้มหม่น เยือกเย็นกว่า และหิมะสีขาวก็พลันดูเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ บ้านหลังเดิมดูเงียบเหงาเมื่อต่างคนต่างแยกย้ายไปอยู่ต่างที่ เม็กแต่งงานมีครอบครัว เบธป่วยหนัก โจดิ้นรนขายเรื่องสั้นอยู่นิวยอร์กเพียงลำพังเพื่อหาเงินรักษาน้อง เอมี่ได้ติดตามป้ามาร์ชไปยุโรป

    พอนึกเทียบกันแบบนี้แล้ว จะเข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่าทำไมเกรตาจึงเลือกเรียงลำดับเรื่องราวเสียใหม่ ถ่ายทอดชีวิตของพวกเธอในสองช่วงวัยสลับกัน แต่ละฉากเหมือนเป็นบทสั้น ๆ ในนิยายที่ถูกจับแยกส่วน ก่อนนำมาถักทอเข้าด้วยกันอย่างพิถีพิถันเป็นผ้าสวยผืนใหม่ เธอค่อย ๆ บรรจงเรียงร้อยมันเพื่อเกลี่ยความสนุกสนานและเหงาเศร้าให้ผลัดกันเข้ามาระเริงเล่นกับเรา ทำให้ทุกฉากเพลินตาไม่น่าเบื่อ (ซึ่งถ้าเรียงตามเส้นเวลาปกติเหมือนหนังสือ ช่วงหลังของเรื่องจะต้องเฉาแน่ ๆ) วิธีนี้สร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูอินไปกับตัวละครโดยไม่รู้ตัว เล่นเอาเราเริ่มน้ำตาไหลตั้งแต่กลางเรื่อง แล้วก็บีบหัวใจจนมันรินไหลเรื่อยลงมาเป็นพัก ๆ ไปจนจบเลยทีเดียว


    LITTLE WOMEN : FOR ALL WOMEN IN THE WORLD

    Little Women เป็นเรื่องราวที่ดำเนินด้วยตัวละครหลักผู้หญิงเต็มไปหมด และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ฮอลลีวูดคุ้นเคยหรือนิยมชมชอบที่จะผลิตกันเท่าไร เพราะคิดว่าคงขายไม่ได้ ไม่ทำเงิน อันที่จริงก่อนหนังสือ Little Women จะตีพิมพ์ สำนักพิมพ์ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะขายดีและขายหมดด้วยซ้ำไป แต่อัลคอตต์ (ผู้หญิงที่มาก่อนกาลโดยแท้จริง) เลือกเก็บลิขสิทธิ์งานเขียนของตนไว้ ไม่ขายขาดให้กับสำนักพิมพ์ ทำให้เธอได้ส่วนแบ่งกำไรจากการขายหนังสือในการตีพิมพ์ซ้ำต่อมา จนสามารถเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการเขียนหนังสือเล่มต่อ ๆ มาได้

    (อย่างไรก็ตาม การที่ Little Women ถูกนำกลับมาทำเป็นหนังซ้ำในทุกยุค มาจนถึงหนที่ 7 ในยุคของเรา ก็ไม่ได้แปลว่าการนำเสนอผู้หญิงในสื่อบันเทิงจะมากเพียงพอแล้ว ตรงกันข้าม ไหนล่ะความหลากหลาย? ทำไมฮอลลีวูดสร้างหนังออริจินัลใหม่ ๆ ที่ตัวเอกเป็นผู้หญิงมากกว่านี้ไม่ได้? ที่จริงวงการภาพยนตร์ในสหรัฐฯ เพิ่งจะตื่นตัวกับเรื่องความเท่าเทียมระหว่างชายและหญิงกันอย่างกว้างขวางเมื่อไม่กี่ปีมานี้ด้วยซ้ำ เช่น Pacific Rim (2013) ทำให้เกิด "Moki Mori Test" เป็นมาตรฐานวัด หนังเรื่องหนึ่งจะผ่านเกณฑ์นี้ได้ต่อเมื่อมีตัวละครหลักหญิงอย่างน้อย 1 ตัว และตัวละครหญิงนั้นมีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เส้นเรื่องที่มีขึ้นเพียงเพื่อเสริมเส้นเรื่องของตัวละครชาย ---โอ๊ย นอกเรื่อง กลับมา ๆ)

    ในเรื่อง Little Women สี่ศรีพี่น้องมาร์ชมีความชอบความสนใจในศิลปะต่างแขนงต่างกันไป แต่ทั้งสี่สาวก็รักกันดี แม้จะมีกระทบกระทั่งตามประสาพี่น้องบ้าง, ในฉบับของเกรตานี้ เอมี่เองก็ได้รับการปรับบทให้มีมิติมากขึ้น ไม่ใช่เพียงไม้เบื่อไม้เมาของโจอย่างเดียว, เรารักในความหลากหลายและมีจุดเด่นของแต่ละตัวละคร รวมถึงคุณแม่ (หรือที่เด็ก ๆ เรียกกัน "มาร์มี") และป้ามาร์ชด้วย (ไอดอลค่ะ ความโสดเพราะรวยนี้) ชอบที่หนังนำเสนอภาพผู้หญิงแต่ละคนมีนิสัย เป้าหมาย แรงผลักดัน และความฝันที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งโลกจริงผู้หญิงก็เป็นแบบนั้น และตัวหนังละเมียดละไมในการสื่อสารเรื่องนี้   

    ส่วนตัวเราว่าหนังฉบับเกรตาเลือกนักแสดงมาได้เข้าขากันดีมาก เหมือนนั่งดูชีวิตของครอบครัวหนึ่งจริง ๆ มีความอลเวงแต่ก็อบอุ่นอย่างน่าประหลาด ยิ่งเวลาสี่พี่น้องพูดแทรกกันไปมา มันสมจริงมาก ขำ ทั้งน่าปวดหัวแต่ก็น่าเอ็นดู (น่ารัก ดูแล้วอยากมีพี่น้องผู้หญิงบ้างเลยอะ) แล้วไอ้ฉากที่พูดพร้อมกัน พูดสอด พูดต่อกันรัว ๆ คนหนึ่งยังพูดไม่จบ อีกคนต้องเริ่มพูดแล้วนี่ต้องอาศัยความสามารถและการประสานกันระหว่างนักแสดงหนักมาก เกรตาเขียนบทด้วยเทคนิคเหมือนเวลาเขียนบทละครเวที และต้องซ้อมกันหลายรอบ เริ่มจากช้า ๆ แล้วค่อยเร็วขึ้น แถมบางทียังต้องเดินเปลี่ยนห้อง กล้องก็ต้องเคลื่อนตามอีก จังหวะต้องดีมาก งานกำกับต้องใจเย็นและละเอียดอ่อนสุด ๆ ไปเลยด้วย

    ตัวอย่างบทพูดที่เกรตาเขียนให้ตัวละครพูดพร้อมกัน (โดยใช้ / แสดงการพูดแทรก) :

    (ข้างบนคือฉากเช้าวันคริสต์มาสในวัยเด็กของพี่น้องมาร์ชนั่นเอง / เป็นฉากแรกในหนังสือด้วย)

    Download บทภาพยนตร์ Little Women (2019) ฉบับเต็มได้ที่นี่



    ต่อไปเข้าสู่ช่วงสปอยล์เนื้อหาของภาพยนตร์

    (ใครยังไม่ดูอาจไม่ควรอ่าน)




    "Just because my dreams are not the same as yours
    doesn’t mean they’re unimportant"

    - Meg March -


    มาที่พี่คนโตกันก่อน "เม็ก" สาวสวยของบ้าน แม้เอ็มม่า วัตสัน (Emma Watson) จะแสดงได้เรียบนิ่งและจืดจางในเส้นเรื่องของตัวเองไปหน่อย แต่เวลาเข้าบทกับพี่น้องก็ยังใช้ได้ ที่สำคัญบทของเม็กแม้จะเป็นหญิงสาวผู้ใฝ่ฝันจะแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัว และยินดีจะยอมกัดก้อนเกลือกิน—เอ้อ ลำบากดิ้นรนไปกับผู้ชายที่เธอรัก —ซึ่งเป็นไปตามค่านิยมของสังคมตั้งแต่โบราณที่กำหนดบทบาทผู้หญิงไว้— แต่คำพูดของเธอก็เตือนใจน้องสาวอย่างโจ, ผู้หวงพี่สาวและอยากให้พี่น้องทุกคนอยู่ด้วยกันตลอดไปเหมือนวัยเด็ก, ว่าความฝันของเธออาจไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนของโจ เป็นแค่ฝันธรรมดาของผู้หญิงทั่วไป แต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันไม่สำคัญ ตราบใดที่เธอเต็มใจเลือกเดินทางนั้น คนอื่นก็ควรเคารพในสิทธิของเธอ เช่นเดียวกับที่โจอยากให้ลอรี่เข้าใจว่าเธอไม่ต้องการแต่งงานเลยตลอดชีวิตนั่นแหละ
     

    "Do what Marmee taught us to do.
    Do it for someone else."
    - Beth March -


    "เบธ" น่าจะเป็นสาวบ้านมาร์ชที่พูดน้อยที่สุดแล้ว แต่อไลซ่า สกันเลน (Eliza Scanlen) กลับเล่นเป็นตัวละครนี้ได้ลึกซึ้งและงดงามยิ่งนัก แม้ในความเงียบงัน ไร้บทพูด มีเพียงเสียงเปียโนจากปลายนิ้วของเธอล่องลอยไปในบรรยากาศ นักแสดงสาวน้อยมากพรสวรรค์คนนี้ก็ทำให้เราสัมผัสถึงความหลงใหลทางดนตรีของตัวละครและรับรู้ถึงตัวตนข้างในของเบธได้แล้ว คือพรรณนาเป็นคำพูดยากยิ่ง น้องเล่นน้อยแต่ได้มาก ทำให้รู้สึกว่าตัวเบธเป็นเด็กที่ใจสวยมากจริง ๆ (ใครชอบน้องจากบทนี้ แนะนำให้หาดูซีรีส์ Sharp Objects ที่น้องเล่นกับเอมี่ อดัมส์เลย พลิกบทบาท 180 องศาสุด น้องเก่งมาก)

    คือเบธไม่ค่อยพูด แต่พูดทีหนึ่งก็มักจะเป็นการทำเพื่อคนอื่นเสมอเลยน่ะ เช่นตอนที่เอมี่บอกว่าจมูกตัวเองไม่สวย เบธก็บอกน้องว่าเธอชอบจมูกเอมี่นะ ซึ่งมันน่ารักมาก หรือตอนที่แม่ไม่อยู่ เธอก็ชวนทุกคนให้ไปดูแลบ้านฮัมเมล(ซึ่งยากจนกว่ามากและมีเด็ก ๆ ถึงห้าคน)ตามที่แม่บอก พอไม่มีใครสนใจไปด้วย เธอก็เอาอาหารไปให้บ้านฮัมเมลคนเดียว อ่อนโยนที่สุด ; - ; เธอเล่นเปียโนเก่งที่สุด แต่ไม่ได้ฝันจะเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงอะไร เธอแค่อยากเล่นให้ครอบครัวของเธอ รวมถึงคุณปู่เพื่อนบ้านอย่างคุณลอเรนซ์ฟังเท่านั้น เบธเกิดมาเพื่อมอบความสุขให้ผู้อื่นโดยแท้จริง

    และเธอมักชื่นชมงานเขียนของโจเสมอ ช่วงไปพักฟื้นที่ชายหาด เบธบอกให้โจเขียนอะไรสักอย่างให้เธอ (ซึ่งขณะนั้นโจโดนเฟรดดิกวิจารณ์ตรงไปตรงมาจนหมดกำลังใจจะเขียนอะไรแล้ว) โดยบอกโจว่า "ทำเพื่อคนอื่นเหมือนที่แม่สอนสิ" แม้เป็นการอ้างแกมบังคับ ตามด้วยเหตุผลว่าเธอป่วย ต้องตามใจเธอนะ แต่แท้จริงแล้วเราว่าประโยคนี้คือตัวตนและหัวใจสำคัญของตัวละครเบธเลย เธอสัมผัสได้ว่าพี่สาวหมดไฟ แม้ไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็ตาม เธอพูดไปอย่างนั้นก็เพื่อโจ...เพื่อให้โจกลับมาเขียนงานได้อีกครั้งนั่นเอง ลึก ๆ แล้วเธอเป็นเด็กสาวจิตใจดีผู้ไม่เคยลังเลที่จะคิดหรือทำเพื่อคนอื่นเลย 

    สิ่งที่เธอปรารถนาในวันคริสต์มาสก็แค่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพี่น้องและพ่อกับแม่

    แต่แล้วครอบครัวกลับต้องสูญเสียเธอไป

    สวรรค์เลือกเด็ดดอกไม้ที่งดงามที่สุดเสมอ


    "I want to be great, or nothing."

    - Amy March -


    หากพูดถึงนักแสดงรุ่นใหม่ไฟแรงในขณะนี้ย่อมหนีไม่พ้น ฟลอเรนซ์ พิว (Florence Pugh) ซึ่งในปี 2019 ที่ผ่านมาเธอก็ได้โชว์ของทั้งใน Fighting With My Family กับบทแชมป์มวยปล้ำหญิง และในหนังสยองขวัญสีสันสว่างสดใสอย่าง Midsommar สำหรับเรื่อง Little Women เธอก็โดดเด่นเป็นดาวฉายแสงมากล้นด้วยเสน่ห์ไม่แพ้กัน กับบทน้องเล็กบ้านมาร์ชอย่าง "เอมี่" ในหนังสือน่าจะเป็นตัวละครซึ่งคนอ่านเกลียดมากที่สุด แต่บทเอมี่ที่เกรตาเขียนและการแสดงของฟลอเรนซ์กลับทำให้ผู้คนหลงรักเธอได้อย่างจัง (แม้ว่าเธอจะเผางานเขียนของโจก็ตาม กรี๊ด เป็นโจฉันก็ไม่ทนนะน้องน่าตีแบบนี้)

    ฟลอเรนซ์แสดงได้ดีทั้งในโหมดสดใสร่าเริง น่าหมั่นเขี้ยวในวัยเด็ก และโหมดสาวฉลาด มั่นใจในตัวเองของเอมี่ตอนโต พัฒนาการตัวละครของเธอระหว่างสองช่วงวัยค่อนข้างเด่นชัด ความมุ่งมั่นจริงจังของเอมี่อาจมองได้ว่าเป็นจุดแข็งของการเป็นสาวยุคใหม่เลยทีเดียว ทว่าความฝันในการเป็นจิตรกรของเธอเริ่มมอดดับเมื่อได้เห็นผลงานศิลปะคนอื่นในยุโรป และค้นพบว่าตัวเองไม่ได้เก่งขั้นอัจฉริยะอย่างที่คิด  แต่เอมี่ไม่ปล่อยให้ตัวเองใจสลายหรือดันทุรัง "ฉันอยากเก่ง ไม่รุ่งก็เลิก"  นี่มันฟังแล้วฮึกเหิมในใจดีพิลึก อารมณ์แบบ 'ถ้าต้องไล่ตามสิ่งที่รักไปเรื่อย ๆ ทั้งรู้ว่าไม่มีวันเป็นที่หนึ่ง ฉันมูฟออนไปทำอย่างอื่นที่หากินได้ดีกว่า' ประทับใจความแน่วแน่นี้ เราว่าน้อยคนจะเด็ดเดี่ยวได้แบบนั้น ไม่ว่าหญิงหรือชาย คนทั่วไปแม้รู้ตัวว่าทำอะไร(ที่ต่อให้ชอบ)ได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ยังดิ้นรนก้มหน้าทำกันไป แต่เอมี่นางยอมรับความเป็นจริงได้ไวมาก 

    มันเลยทั้งน่าชื่นชมแต่ก็น่าเศร้าใจในเวลาเดียวกัน ตอนที่เธอพูดออกมาตรง ๆ ว่าสุดท้ายเธอก็ต้องแต่งงานกับผู้ชายฐานะดี ๆ เพราะผู้หญิงยุคนั้น(—หรือแม้แต่ในหลายสังคมของยุคปัจจุบัน !) ไม่มีวันหาเงินได้มากพอจะเลี้ยงตัวเองหรือครอบครัว แถมพอแต่งงานเงินก็กลายเป็นของสามีไปอีก ถ้ามีลูก ลูกก็เป็นสมบัติของสามี อันที่จริงแนวความคิดว่าผู้หญิงควรมีสิทธิในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับผู้ชาย ไม่ใช่แค่ทรัพย์สินของสามีมันก็ยังไม่ได้แข็งแรง มั่นคงอะไรเลย หันมาดูทุกวันนี้ผู้หญิงก็ยังต้องประท้วง  ผลักดัน เรียกร้องค่าจ้างที่เท่ากันในตำแหน่งงานเดียวกับผู้ชายอยู่... เอาแค่วงการบันเทิงเนี่ย ค่าตัวนักแสดงนำหญิง กับนักแสดงนำชาย ทั้งที่เป็นบทตัวเอกเท่า ๆ กัน อะไรงี้ก็ไม่เท่ากันละ

    "เพราะงั้นอย่ามาบอกฉันว่าการแต่งงานไม่ใช่การวางแผนทางการเงินย่ะ" — เอมี่ มาร์ช



    "I intend to make my own way in the world"
    - Jo March - 

     
    มาถึงตัวเอกของเรื่อง ซึ่งนักแสดงขวัญใจเราอย่าง เซอร์ช่า โรแนน (Saoirse Ronan) ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย ถ่ายทอดความเป็น "โจ" ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ มีมิติ กลมกล่อม จับต้องได้ เธอเข้าถึงจิตวิญญาณของผู้หญิงที่กล้าหาญแต่อ่อนโยน ทะเยอทะยานทว่าพร้อมประนีประนอม อ่อนไหวหากก็ทรงพลังในขณะเดียวกัน โจมีกิริยาไม่ค่อยเรียบร้อย พูดจาโผงผาง ชอบแต่งตัวเหมือนผู้ชาย ไม่รักสวยรักงามเหมือนพี่น้องคนอื่น ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่แตกต่างและค่อนข้างแหกขนบในยุคสมัยนั้นเอามาก ๆ แต่ภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอกอันแกร่งกล้าเหมือนพ่อ เธอกลับมีจิตใจที่เสียสละและโอบอ้อมอารีเหมือนแม่อยู่ด้วย เมื่อพ่อไม่สบายและแม่ต้องหาเงินเดินทางไปดูแลพ่อนั้น เธอตัดสินใจขาย "ผม" ยาวสลวยเป็นลอนของเธอ และปั้นหน้ายิ้มอย่างเด็กสาวผู้เข้มแข็ง ทำเหมือนว่ามันไม่เป็นไร เพื่อให้แม่และทุกคนสบายใจ ก่อนจะแอบมานั่งร้องไห้กับน้องสาวเพราะยังอดเสียดายผมไม่ได้อยู่ด่ี


    เราชอบเคมีของเซอร์ช่ากับทิมมี่ - ทิโมธี ชาลาเมต์ (Timothee Chalamet) ทั้งใน Lady Bird และชีวิตจริง สองคนนี้ดูเป็นเพื่อนต่างเพศที่สนิทกันดี เอเนอร์จี้การกลั่นแกล้ง ยีหัว ต่อยแขนอะไรแบบในเรื่องนี่ก็ติดมาจากความสนิทสนมในชีวิตจริงทั้งนั้น (ฮาาา) แน่นอนว่าเกรตาก็ชอบเห็นทั้งคู่แสดงด้วยกันนั่นแหละ ถึงได้จับมาประกบคู่ใน Little Women อีก ซึ่งทิมมี่ก็เหมาะกับบท "ลอรี่" ด้วยภาพลักษณ์คุณชายนุ่มนวล ที่มีความคอนทราสต์กับโจผู้หญิงห่าม ๆ ได้ดีนัก (และคราวนี้เซอร์ช่าได้เป็นฝ่ายหักอกทิมมี่แทนบ้าง กลับกันกับใน Lady Bird) ความสัมพันธ์ของโจกับลอรี่ เป็นอะไรที่น่าดูชม และจุดติดไวมาก เราอินกับทั้งคู่ตั้งแต่ฉากแรกที่เจอกัน และในทุก ๆ ฉากที่อยู่ด้วยกันเลย

    ตอนที่โจปฏิเสธจะแต่งงานกับลอรี่ มันเจ็บปวด แต่ให้บทเรียนสำคัญกับทั้งหญิงและชาย ซึ่งตอนหนึ่งในบทความ Little Women Is A Big, Important American Masterpiece. Let's Treat It Like One ของ ELLE พูดถึงเรื่องนี้ไว้ดีมาก "แนวคิด Toxic Masculinity และวัฒนธรรมการข่มขืนในอเมริกาอาจได้รับการเยียวยาด้วยการสอนวรรณกรรม Little Women ในชั้นเรียนก็ได้ เมื่อโจปฏิเสธการแต่งงานกับลอรี่ เธอได้สอนบทเรียนสำคัญให้กับเด็ก ๆ คือ เด็กสาวเอ่ยปฏิเสธผู้ชายได้ และเด็กหนุ่มสามารถแสดงความเสียใจออกมาได้ ก่อนจะก้าวผ่านการถูกปฏิเสธไป" เราเห็นด้วยมาก ๆ และรู้สึกว่าด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง Little Women จึงเป็นหนังที่ไม่ได้มีไว้เพื่อผู้ชมหญิงเท่านั้น เด็กผู้ชายก็ควรดู ควรได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิต ความต้องการ และความฝันของผู้หญิงบ้าง การเรียนรู้มันต้องเกิดจากฝั่งเด็กผู้ชายด้วย เราจึงจะสร้างสังคมในอุดมคติที่ทุกเพศได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกันได้ 

    ถึงแม้ฉากปฏิเสธการขอแต่งงานจะขยี้หัวใจเรา แต่เราว่าเราเข้าใจความรู้สึกโจ (ขอโทษนะลอรี่...) อาจเพราะในบรรดาพี่น้องมาร์ชทั้งสี่ เรารู้สึกเชื่อมโยงกับตัวละคร "โจ" มากที่สุด นอกจากความห้าวห่ามประหนึ่งเด็กผู้ชายและความรักในการเขียนแล้ว ความใฝ่ฝันมุ่งมั่นว่าจะดำเนินชีวิตบนเส้นทางที่เธอเลือกเองนั้น ช่างตรงกับตัวเราจนเหมือนกำลังนั่งมองเงาสะท้อนในกระจก (ยกเว้นเรื่องหน้าตา—) สำหรับโจแล้ว, รักหรือไม่รัก, ไม่สำคัญเท่าเธอไม่ได้อยากแต่งงาน ไม่ได้อยากแชร์ชีวิตร่วมกับใคร เธอรักอิสระ และชีวิตก็มีสิ่งอื่นที่เธอใฝ่ฝันจะไขว่คว้ามากกว่าความรัก 

    การแต่งงานไม่ใช่ปลายทางหนึ่งเดียวของชีวิตผู้หญิง
    มันไม่จำเป็น และไม่ควรจะเป็นด้วย เพราะ...



    "หนูแค่รู้สึกว่า...ผู้หญิงก็มีความคิด มีจิตวิญญาณ พอ ๆ กับที่มีหัวใจ
    และผู้หญิงก็มีความใฝ่ฝัน มีพรสวรรค์ พอ ๆ กับความสวย
    หนูเบื่อกับคำพูดของใคร ๆ ที่ว่าผู้หญิงมีไว้เพื่อรักเท่านั้น หนูเบื่อเต็มทน ! ..."

    คำพูดของโจ มาร์ชข้างบนนั้นไม่ได้มาจากหนังสือ Little Women แต่มาจากหนังสืออีกเล่มของอัลคอตต์อย่าง Rose in Bloom ซึ่งเกรตาหยิบยืมมาใส่ไว้ในหนัง โดยเธอเติม "...แต่หนูก็เหงาเหลือเกิน" เข้าไปในตอนท้าย ประโยคหลังนั้นมาจากตัวเกรตาเอง เธอเขียนบทหนัง Little Women ก่อนสร้าง Lady Bird เมื่อเธอถ่ายทำ ตัดต่อ และ Lady Bird ได้ออกฉายแล้ว เกรตาเอางานค้นคว้าของเธอเกี่ยวกับ Little Women ทั้งหมดใส่ท้ายรถและขับไปยังกระท่อมกลางป่า การเป็นทั้งผู้เขียนบทและผู้กำกับทำให้เธอรู้สึกว่าเธอต้องรู้ทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ภาพหนังต้องสมจริงในหัวของเธอที่สุด ก่อนคนอื่นจะมโนภาพฝันเรื่องเดียวกันนั้นได้ เกรตาต้องอยู่คนเดียวเพื่อโฟกัสกับมัน และเธอก็รู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมา... เธอเหมือนได้ยินเสียงเซอร์ช่าพูดว่า "But I'm so alone" พร้อมกับสะอื้นไห้ เกรตาจำความรู้สึกตอนถ่ายทำฉากนี้ได้ดี เธอร้องไห้ตามเลยด้วย เพราะเซอร์ช่าแสดงความรู้สึกของโจในตอนนั้นออกมาได้เป๊ะมาก

    โจรู้ตัวเองแต่แรกว่าโลกทั้งใบของเธอมันอัดแน่นด้วยความทะเยอทะยานและความใฝ่ฝัน จนไม่อาจเหลือที่ว่างให้ใครก้าวเข้ามา การแต่งงานกับใครสักคนจะผูกมัดเธอไว้ไม่ให้โบยบินไปไหนได้ สมัยนี้ผู้ชายบางคนยัง "คาดหวัง" ให้ภรรยาอยู่บ้าน ทำงานบ้าน เลี้ยงลูกให้อยู่เลย (โดยที่ฝ่ายหญิงอาจไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตแบบนั้น —ต่างจากเม็ก มาร์ชเพราะเธอเลือกเอง) บางคนฝ่ายหญิงทำงานเก่งกว่า เงินเดือนสูงกว่ายังรับไม่ได้ด้วยซ้ำเอ้า จะนับประสาอะไรกับสมัยก่อน ดังนั้นโจจึงไม่มีทางเลือกมากนักหรอกนอกจากตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพื่อไม่ให้เปลวไฟนั้นเผาทำลายลอรี่ไปมากกว่านี้ เพราะเธอรู้ว่าสักวันมันจะต้องเป็นอย่างนั้น 

    ภายหลังโจบอกแม่ว่าเธออาจเปลี่ยนใจตอบรับลอรี่ เพราะเธอชอบเป็นที่รัก การแต่งงานกับคนที่รักเราก็ฟังดูเป็นตัวเลือกที่ดี พอแม่แย้งว่ามันไม่เหมือนการได้ 'รัก' โจก็จุกไปเหมือนกัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว สำหรับเรา โจรักลอรี่นั่นแหละ แค่อาจไม่ใช่ในแบบที่เขาต้องการ และบางครั้งการรักหรือใส่ใจใครสักคนหนึ่งมาก ๆ ไม่ได้แปลว่าเราจะอยากลงเอยอยู่กับเขาไปตลอด โจจึงติดอยู่ระหว่างการเดินทางไล่ตามความฝันในยุคที่ผู้หญิงคนอื่น ๆ ยังไม่กล้าฝัน และการต่อสู้กับความโดดเดี่ยวอ้างว้างในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่อยากมีคนคอยอยู่เคียงข้างปลอบประโลมบ้าง ช่วงเวลานั้นจึงเป็นสภาวะกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึงสำหรับเธอจริง ๆ

    และการแต่งงานระหว่างลอรี่กับเอมี่ก็ปลดปล่อยโจจากความทรมานนั้นโดยไม่ทันให้เธอตั้งตัว สีหน้าไม่รู้จะอิจฉาหรือว่าสุขใจน้ำตาที่ไหลนั้นไหลมาจากจุดไหนของโจ ตอนกอดน้องสาวและบอกว่าเธอไม่ได้โกรธนั้นเป็นอะไรที่ทั้งเจ็บปวดรวดร้าวแต่ก็อดยิ้มให้ไม่ได้ น้ำตาเราไหลตามไม่ใช่เพราะเสียใจหรือเสียดาย แต่เพราะภูมิใจในตัวโจมากกว่า เธอเติบโตขึ้นมากจริง ๆ ส่วนหนึ่งคงต้องขอบคุณเบธที่เพิ่งจากไป และทำให้โจคิดได้ว่าไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว ไม่, โดยเฉพาะพี่น้องเท่าที่ยังเหลือ

    WOMEN, ART AND MONEY

    สำหรับเกรตาแล้ว เธอมองว่าหนังสือ Little Women เป็นเรื่องราวของผู้หญิง ศิลปะ และเงินตรา ประโยคแรกของนิยาย คือ "คริสต์มาสจะเป็นคริสต์มาสได้ไงถ้าไม่มีของขวัญ เป็นคนจนนี่มันเลวร้ายที่สุด ไม่ยุติธรรมเลยที่เด็กผู้หญิงบางคนมีของสวยงามมากมาย แต่บางคนไม่มีอะไรเลย" เกรตารู้สึกทันทีว่า
    หนังสือมันเกี่ยวกับเรื่องเงินนี่นา ! และเมื่อเธอค้นคว้าลงลึกไปถึงชีวประวัติของลุยซา เมย์ อัลคอตต์ ผู้เขียน เธอก็พบว่ามันมาจากชีวิตจริงของอัลคอตต์เช่นกัน ประโยคในหนังของเกรตาที่โจพูดว่า "ฉันกินคำชมแทนข้าวไม่ได้หรอกนะ" (
    I can’t afford to starve on praise.) นั้นเป็นคำพูดของอัลคอตต์ เกรตาดึงมาจากจดหมายหรือไดอารี่ของเธอจริง ๆ เธอตัดสินใจทุกอย่างโดยคำนึงถึงปากท้องเป็นหลัก นั่นเป็นสาเหตุที่อัลคอตต์ยอมเปลี่ยนตอนจบของนิยายตามใจบรรณาธิการ เพื่อให้มันขายได้นั่นเอง เกรตายังมองว่าอาชีพที่สาว ๆ แต่ละคนใฝ่ฝันในเชิงศิลปะนั้นไม่ได้หยุมหยิมน่ารักน่าเอ็นดู มันยิ่งใหญ่และจริงจังมาก เรื่องราวการไปยุโรปของเอมี่และค้นพบว่าเธอไม่ใช่ศิลปินที่เก่งกาจกว่าใครเขามันน่าสนใจมาก 

    เกรตารวบรวมความคิดเหล่านั้น และคิดว่าเรื่องราวที่เรียงร้อยประเด็นเกี่ยวกับผู้หญิง ศิลปะ และเงินตราเอาไว้ได้ดีที่สุด คือ A Room of One's Own ของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ  (งานเขียนที่ท้าทายความเชื่อในยุคที่ผู้หญิงถูกตีกรอบไว้ในค่านิยมแบบวิกตอเรียน) ซึ่งวูล์ฟตั้งใจบอกว่า 'จะเขียนงานได้ ผู้หญิงต้องมีห้องส่วนตัวและมีเงินเป็นของตัวเอง' เพราะมีคนถามวูล์ฟว่า ทำไมนักเขียนหญิงดี ๆ จึงมีน้อยนัก? เธอย้อนว่า 'คำถามไม่ใช่ทำไมไม่มีนักเขียนหญิงดี ๆ เลย คำถามคือ ทำไมผู้หญิงถึงยากจนมาตลอดต่างหาก?'  ผู้หญิงไม่ได้เพิ่งเริ่มจนเมื่อ 200 ปีที่ผ่านมานะ แต่จนมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของกาลเวลาเลย วูล์ฟกล่าวไว้ว่า 'งานประพันธ์จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีเสรีภาพทางปัญญา และเสรีภาพทางปัญญาจะเกิดได้เมื่อมีพร้อมสรรพสิ่ง ดังนั้น ผู้หญิงจึงแทบไม่มีโอกาสเขียนงานได้เลย'  เกรตาสำทับเพิ่มเติม "จะทำได้ยังไงล่ะ? ถ้าเราจน เราจะเขียนบทประพันธ์เหรอ?"

    นอกจากนี้ ความแตกต่างระหว่างในนิยายกับชีวิตจริงของลุยซา เมย์ อัลคอตต์ยังน่าสะเทือนใจมากด้วย ครอบครัวมาร์ชแค่จนประมาณหนึ่ง แต่บ้านอัลคอตต์นั้นแทบไม่มีอันจะกินเลย พวกเขาต้องย้ายบ้านประมาณ 30 รอบได้ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าที่ซุกหัวนอน ลุยซากับพี่น้องและแม่ต้องทำงานหลังขดหลังแข็ง และในนิยายของเธอไม่ได้แตะเรื่องนั้น เพราะมันขายไม่ได้หรอก หนังสือจึงมีแต่ช่วงเวลาดี ๆ ในครอบครัว ผสานรวมเข้ากับสิ่งที่เธอหวังว่าตนจะมี

    (นึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของเอมี่อีกครั้ง สมัยนั้นผู้หญิงไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก ถ้าจะแต่งกับผู้ชายที่ตัวเองรักอย่างเม็ก แต่เขาจน ก็ต้องกัดก้อนเกลือกินกันไป อย่างน้อยแต่งกับผู้ชายรวย ก็สุขสบาย และอยู่บ้านสวย ๆ สร้างสรรค์งานศิลปะเป็นงานอดิเรกก็ได้เปล่าวะ (ฮา) ซึ่งสุดท้ายเอมี่ยังโชคดี ได้แต่งกับลอรี่คนที่เธอรัก และเขาดันรวยที่สุดแล้วเราอยากเป็นอย่างป้ามาร์ชมากกว่า รวยแล้ว ไม่ต้องแต่งงานก็ได้)

    ในบทสัมภาษณ์กับ Film Comment ผู้สัมภาษณ์กล่าวถึงข้อสังเกตว่า ภาพยนตร์ที่เกรตา เกอร์วิกเขียนบท ทั้ง Frances Ha, Lady Bird จนมาถึง Little Women ต่างเป็นเรื่องราวของความปรารถนาอย่างแรงกล้า เพียงแต่ตัวละครยังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเธอปรารถนาสิ่งใด ซึ่งเกรตาก็พูดถึงประเด็นนี้ได้อย่างน่าสนใจว่า

    "ความปรารถนาที่เพิ่งลุกไหม้ หรือความปรารถนาที่ยังไม่ทันเป็นรูปเป็นร่าง เป็นคอนเซปต์ที่ฉันสนใจค่ะ สำหรับฉันมันคือมิติของการเป็นผู้หญิงทะเยอทะยาน เพราะในแง่ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติแล้ว ความทะเยอทะยาน[ของผู้หญิง]นั้นมักจะลงเอยอย่างสูญเปล่า และเราเพิ่งเริ่มมีโอกาสจะพามันไปสู่จุดหมายปลายทางอื่นที่ไม่ใช่การแต่งงานเอง..." 

    ตอนท้ายของหนังสือสี่ดรุณี โจ มาร์ช แต่งงานกับ ศาลตราจารย์เฟรดดิก เบเออร์ และหยุดเขียนหนังสือ

    ชีวิตจริงของลุยซา เมย์ อัลคอตต์ เธอครองโสดตลอดชีวิต เก็บลิขสิทธิ์ไว้ และเขียนหนังสืออีกหลายเล่ม 

    ซึ่งข้อเท็จจริงจากคำพูดของอัลคอตต์เองปรากฏว่า เธอไม่เคยอยากเขียนให้โจแต่งงาน ตอนจบที่เธอวางไว้สำหรับโจแต่แรก คือโจเป็นโสดไปตลอดชีวิต อยู่กับงานเขียนหนังสือสำหรับเด็ก ๆ ทว่าเนื่องจากมีแฟนหนังสือหลายคนเขียนจดหมายหาเธอ อยากให้สาว ๆ บ้านมาร์ชได้แต่งงาน และแม้เธอจะไม่อยากเขียนแบบนั้น แต่สุดท้ายทางสำนักพิมพ์ก็โน้มน้าวให้เธอยอมเปลี่ยนใจจนได้ แน่นอน ส่วนหนึ่งเพราะเธอไม่อาจขัดใจเด็กสาวผู้อ่านทั้งหลาย แต่...หนังสือต้องขายได้เธอจึงจะมีรายได้ การตัดสินใจของผู้หญิงคนนี้ต้องคำนึงถึงเรื่องปากท้อง--เรื่องเงินอีกแล้ว

    "พวกเด็กสาวเขียนจดหมายมาถามว่าสี่ดรุณีจะได้แต่งงานกับใคร
    ราวกับการแต่งงานเป็นจุดหมายและปลายทางเดียวของชีวิตผู้หญิงอย่างนั้นละ
    ฉันจะไม่เขียนให้โจแต่งกับลอรี่เพื่อเอาใจใครหรอกนะ!"

    นอกจากไม่ให้โจแต่งงานกับลอรี่แล้ว อัลคอตต์ยังเขียนให้โจได้คู่ครองที่ดูไม่เข้ากันอย่างศาสตราจารย์เบเออร์ด้วย คือเป็นตัวละครที่เธอนึกเพี้ยน(อย่างจงใจ)สร้างขึ้นมาเลย และอัลคอตต์เองก็ไม่ใช่คนเดียวที่ไม่พอใจกับตอนจบในนิยายของเธอหรอก ผู้หญิงหลายคนอ่านแล้วก็ไม่ได้ชอบที่โจแต่งงานกับเขาเช่นกัน  เช่นเดียวกับเกรตาซึ่งคิดหนักเรื่องบทสรุปของหนัง Little Women อยู่ตลอดเวลาที่สร้าง แต่เธอรู้ตัวมาตลอดแหละว่ายังไงตัวเองก็คงไม่ยอมจบหนังฉบับของเธอเหมือนในนิยายได้

    "เพราะลุยซาไม่เคยอยากให้เรื่องราวจบแบบนั้นค่ะ เธอคิดว่าชะตาชีวิตของโจคือ 'การครองโสดและเป็นนักเขียนหนังสือสำหรับเด็ก' ฉันเลยคิดว่าฉันไม่อาจทำหนังที่จบแบบในหนังสือได้ เหตุผลหนึ่งเพราะมันไม่ใช่สำหรับฉัน และอีกเหตุผลคือลุยซาไม่ได้ชอบมันเลย และถ้าเราสร้างตอนจบอย่างที่เธอจะชอบไม่ได้ ทั้งที่ผ่านมาแล้ว 150 ปีให้หลัง เราจะทำไปเพื่ออะไร มันเท่ากับเราไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเลย"

     

    THE NEW ENDING JO DESERVES

    ในช่วงท้ายของภาพยนตร์ Little Women ฉบับของเกอร์วิก เราได้เห็นศาสตราจารย์เฟรดดิก เบเออร์ มาหาโจที่บ้าน (มาทำไม lol ในหนังสืออยู่ๆ เขาก็โผล่มาแบบนี้แหละ ทั้งที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ) เราเห็นว่าสีหน้าของโจดูมีความสุขที่ได้พบเขาอีกครั้ง มองเขาด้วยสายตาที่ทำให้เอมี่และคนในครอบครัวตัดสินในทันทีว่า "เธอรักเขา!" แล้วจู่ ๆ เอมี่และทุกคนก็จัดแจงให้เธอขึ้นรถม้า ไล่ตามเขาไปท่ามกลางสายฝน และจบด้วยทั้งคู่จูบกันใต้ร่ม

    "ชอบมากเลย โรแมนติกจัง!"

    /ฉับ/ ภาพตัดมาที่สำนักพิมพ์ บรรณาธิการหนังสือชมเปาะกับตอนจบที่โจยอมเปลี่ยนเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะขายได้ ตอนนั้นประโยคที่เขาพูดใส่เธอในฉากเปิดเรื่องแวบกลับเข้ามาในหัวเราทันที

    "ถ้าตัวเอกเป็นผู้หญิง ตอนจบเธอต้องได้แต่งงานนะ ไม่งั้นก็ตาย เลือกเอา"

    (ฉัน: บ้าเอ๊ย อยากกรี๊ดใส่หน้าตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วตานี่น่ะ)

    แนวความคิดที่ลดทอนคุณค่าผู้หญิงโสดจนถึงขนาดว่า 'ไม่แต่งงานก็ตายตอนจบ' มันควรจะตายไปได้แล้วจริง ๆ นั่นแหละ เราจึงประทับใจกับการตัดสินใจของเกรตามาก หนังของเธอออกแบบการเล่าเรื่องตอนสุดท้ายให้กำกวมอย่างมีชั้นเชิงและชาญฉลาด (เทียบง่าย ๆ ก็คล้ายการปล่อยลูกข่างหมุนแล้วตัดฉับในฉากจบ Inception) คือแพรวพราวซ่อนเหลี่ยมเล็กน้อย ล่อหลอกให้ผู้ชมลังเลว่าฉากไหนเรื่องจริง ฉากไหนเรื่องแต่งกันแน่ แต่สำหรับเรามันชัดเจนนะว่าโจไม่ได้แต่งงาน โจบอกกับบก.แต่แรกแล้วว่าตัวเอกหญิงในหนังสือของเธอ "ไม่ได้แต่งงานกับใครเลย" ฉากนั่งรถม้า(ที่ลอรี่ให้ยืม)ไปไล่ตามผู้ชายของโจไปจนถึงฉาก 'รักใต้ร่ม' คือตอนจบที่โจกลับไปเขียนมาใหม่ล้วน ๆ ยอมรับเถอะว่าบรรยากาศมันผิดที่ผิดทางมาก เหมือนจงใจทำล้อเลียนฉากโรแมนติกในหนังฮอลลีวูดยุคเก่าด้วยซ้ำ แม้แต่ฉากต่อจากนั้นที่ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตาในบริเวณโรงเรียนของโจ แล้วโจเดินผ่านเฟรดดิก เราก็ไม่คิดว่าเป็นเพราะเขาแต่งเข้ามาในครอบครัวเธออยู่ดี อาจจะแค่คงมิตรภาพเป็นเพื่อนเลยมาร่วมงาน หรือฉากนั้นก็อาจเป็นแค่ตอนจบในหนังสือของโจและมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงเลยด้วยซ้ำ

    สิ่งยืนยันคือบทสัมภาษณ์ของเกรตาที่เราแปลมาข้างต้นนั่นเอง เธอยอมให้มันจบแบบในหนังสือไม่ได้ หลังจากผ่านมา 150 ปี ไม่อย่างนั้นการดัดแปลงครั้งที่ 7 นี้ก็จะสูญเปล่ามาก ๆ โจ มาร์ชสมควรได้ใช้ชีวิตอย่างที่เธอตั้งใจไว้แต่แรก...อย่างที่อัลคอตต์อยากให้โจได้ใช้ และตัวเธอได้ใช้จริง ๆ ไม่ใช่แต่งงาน หยุดเขียนหนังสือ เพราะคิดว่างานเขียนของเธอไม่ดีพอ อย่างที่อัลคอตต์จำใจเขียนให้โจเป็นใน Little Women

    อีกข้อยืนยันหนึ่ง: เกรตาให้สัมภาษณ์กับ LA Times ไว้ชัด ๆ เลยว่า ในการฉายหนังรอบปฐมทัศน์ หลายคนก็สงสัยเรื่องตอนจบของโจนี่แหละ "ข้อโต้แย้งของฉันคือ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากให้มันโรแมนติกนะคะ! ฉันไม่ได้บอกว่า 'พวกคุณเป็นอะไรกันมากไหมที่อยากได้ฉากพลอดรักจังฮึ?' เสียหน่อย ฉันก็อยากได้ค่ะ ฉันก็อยากเห็นพวกเขาจูบกัน และถึงแม้ว่าในหนังมันจะถูกวางไว้ให้เป็นภาพในนิยายเท่านั้น แต่ตอนเขาได้จูบกันฉันก็ดี๊ด๊าอะ"

    สารภาพเลยว่าตอนดูน่ะ ตลอดทางตั้งแต่ศาสตราจารย์โผล่มา โจยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วทุกคนในบ้านบอกว่าเธอรักเขาชัด ๆ เชียร์ให้ไล่ตาม นั่งรถม้าฝ่าฝน โผเข้าหา จูบกันใต้ร่ม ใจเราคือแบบ อิหลักอิเหลื่อไปหมดเลย คือเชื่อไม่ลงจริง ๆ ภาวนาตลอดทางว่าอันนี้ภาพมโนนะ...ภาพมโนแน่ ๆ พอเฉลยว่าเป็นแค่ฉากในนิยายจริง ๆ คือโคตรสบายใจ แต่ลึก ๆ เรารู้ว่าอย่างเกรตาน่ะไม่ทำหรอก ไม่ทรยศตัวละครโจแบบนั้นหรอก ซึ่งท้ายที่สุดก็อยากยืนขึ้นปรบมือให้เลย ร้อยห้าสิบปีผ่านไป โจได้รับความยุติธรรมแล้ว 

    "...มีผู้หญิงยุคใหม่มากมาย(ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากนิยายสี่ดรุณี) ไม่ชอบที่ตอนจบโจแต่งงานกับศาสตราจารย์ เบเออร์ค่ะ ฉันอยากวางโครงสร้างหนังออกมาให้ฉากจบที่โจได้สัมผัสหนังสือของตัวเองและกอดมันไว้ เป็นฉากที่คนดูจะรู้สึกพอใจโดยไม่รู้ตัวมาก่อนว่าพวกเขาอยากเห็นอะไรแบบนี้ แต่พอโจได้หนังสือมา คุณจะคิดเลยว่า 'ฉันอยากเห็นแบบนี้แหละ ฉันแค่คิดไม่ถึงมาก่อน' สำหรับฉันแล้วนั่นละคือความปรารถนาที่กลายเป็นรูปเป็นร่างในที่สุด...ความปรารถนาที่ได้รับการเติมเต็ม"เกรตาอธิบาย
     
    "ลุยซา เมย์ อัลคอตต์ ยังเขียนหนังสือภาคต่อ ๆ มาอย่าง Jo's Boys และ Little Men ซึ่งตัวละครโจเริ่มเข้าใกล้ความเป็นลุยซาจริง ๆ มากขึ้น โรงเรียนที่โจเปิด(กับศาสตราจารย์เบเออร์) รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียน โจเริ่มกลับมาเขียนหนังสืออีกครั้ง และได้เขียนนิยายเรื่อง Little Women ฉันจึงผสานตอนจบเข้าด้วยกันเป็นแบบในหนังค่ะ"

    "Perhaps writing will make them more important."
    - Amy March to Jo March -


    Little Women ของเกรตาเปิดเรื่องด้วยฉากที่โจเข้าไปในสำนักพิมพ์อย่างเคอะเขินและพยายามขายเรื่องสั้นที่เธอเขียนเอง โดยอ้างว่าเป็นงานเขียนของ "เพื่อน" ฝากมา 

    "ฉันเอาประโยคมาจากหนังสือเสีย 90% ค่ะ แต่บางส่วนอย่างสำนวนของโจ ความลังเลของเธอ ความอยากเปลี่ยนงานเพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้นอะไรแบบนั้น ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอเป็นอย่างดี" เกรตากล่าว "นั่นอาจจะเป็นฉันเองตอนที่คุยกับประธานสตูดิโอค่ะ น่าจะเป็นฉันเลยแหละ"

    บทสนทนาเพื่อขออนุมัติงานสร้างหนังที่เกรตาพูดถึง สะท้อนอยู่ในบทสนทนาระหว่างเอมี่และโจตอนท้ายเรื่อง Little Women  มันคือหัวใจสำคัญที่ตอบคำถามว่าทำไมเธออยากสร้างหนังเรื่องนี้ เมื่อเอมี่ถามพี่สาวของเธอว่า ตอนนี้เธอเขียนเรื่องอะไรอยู่ โจบอกว่าเธอกำลังเขียนบางอย่าง แต่คิดว่ามันยังไม่ดีเท่าไร

    "เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของพวกเราเฉย ๆ แหละ"
    "แล้ว?"
    "ใครจะสนใจเรื่องชีวิตในบ้านที่สุขปนเศร้าของพวกเรากันล่ะ มันไม่ได้สำคัญอะไรสักหน่อย"

    "มันอาจดูไม่สำคัญเพราะไม่มีใครเขียนถึงก็ได้...บางทีถ้ามีคนเขียนมันอาจจะสำคัญขึ้นมา"

    อืม...น่าคิดนะ? ไม่มีใครเขียนถึง เพราะมันไม่สำคัญ? หรือมันไม่สำคัญ เพราะไม่มีใครเคยเขียนถึง? ทำไมเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงไม่ว่าในหนังสือ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ถึงได้มีน้อย ถูกตีกรอบและผลิตซ้ำค่านิยมที่กดทับผู้หญิงอยู่ตลอด? สิทธิเสรีภาพของผู้หญิงมันไม่สำคัญจริงหรือ? หรือเพราะใครไม่อยากให้มันสำคัญขึ้นมากันแน่? ผู้หญิงเลือกที่จะเงียบเอง หรือใครปิดปากพวกเธอไม่ให้ส่งเสียง? 

    ทำไมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในโลกอย่างฮอลลีวูดจึงมีแต่เรื่องราวของผู้ชาย มีแต่ตัวละครหลักผู้ชายเต็มแน่น พร้อมเส้นเรื่องความสัมพันธ์ซับซ้อน ถ่ายทอดโดยนักแสดงชายที่เคมีเข้ากันเยี่ยมยอด จนเกิดวัฒนธรรมชิปตัวละครชายสองตัวด้วยกัน และตัวละครหญิงที่บางครั้งเป็นภรรยาหรือคนรักแท้ ๆ กลับถูกปล่อยเบลอไว้ข้างหลัง ผู้หญิงไม่สำคัญเองหรือ? ไม่ใช่เพราะวัฒนธรรมการเขียนบทให้ตัวละครหญิงเป็นแค่ตัวประกอบเลือนรางอยู่ในพื้นหลังของเรื่องหรอกหรือ? แล้วใครเขียนบทเหล่านั้น? ใครรับผิดชอบการนำเสนอภาพตัวละครหญิงที่ตกเข้าสเตอริโอไทป์ แบน ไร้มิติ ทำให้ความสัมพันธ์กับตัวละครหลักชายไม่น่าสนใจเท่า หรือไม่มีแม้แต่เส้นเรื่องเป็นของตัวเอง? ผู้หญิงหรือ? ผู้หญิงมีที่ยืนหรือบทบาทอำนาจในวงการภาพยนตร์มากพอจะกำหนดทิศทางของผู้หญิงด้วยกันเองขนาดนั้น?

    ในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ เวทีรางวัลใหญ่ที่สุดอย่าง Oscar (Academy Awards) ซึ่งกรรมการผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง ได้แก่ เหล่าสมาชิกซึ่งเป็นคนทำงานในวงการภาพยนตร์แต่ละสาขา สิ่งที่น่าสนใจคือ ตั้งแต่ปี 1929 จนถึง 2019 (และกำลังจะประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงสำหรับงานประจำปี 2020 ในวันที่ 13 มกราคม 2020 นี้) มีผู้กำกับหญิงเคยชนะรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับเพียง 1 คน เท่านั้น คือ แคทเธอรีน บิเกอโลว์ ในปี 2010 และภาพยนตร์ที่เธอกำกับจนได้รางวัล คือ Hurt Locker (2008) ภาพยนตร์เกี่ยวกับหน่วยทหารท่ามกลางสงครามอิรัก ที่มีตัวละครหลักเป็นผู้ชายเต็มไปหมด (อีกแล้วนอกจากบิเกอโลว์แล้ว 1 ใน 5 ผู้กำกับหญิงที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาผู้กำกับ ก็คือ เกรตา เกอร์วิก เมื่อปี 2018 จากภาพยนตร์ที่เธอเขียนบทและกำกับเดี่ยวเป็นเรื่องแรกอย่าง Lady Bird (2017) นี่เอง 

    คำถามคือทำไมคนสร้างหนังสรรเสริญเยินยอวีรกรรมของผู้ชายในการออกไปสงครามกันมากมาย? แต่ชีวิตของผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลัง ต้องคอยทำงานบ้าน เลี้ยงดูลูก ๆ ไม่สำคัญพอให้พูดถึง? การต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตในโลกใบเดียวกัน หรือไล่ตามความฝันของผู้หญิงมันมีค่าความเป็นมนุษย์น้อยกว่าจนไม่น่าได้รับการนำเสนอดี ๆ ในสเกลที่ยิ่งใหญ่เหมือนเรื่องของผู้ชายเลยหรือ? มันยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนความคิดเรื่องนั้นกันอีกหรือ? แล้วถ้าเราไม่เริ่มตอนนี้ จะต้องเริ่มเมื่อไร? — ต้องถามย้ำอีกครั้งเลย ว่าเรื่องราวของผู้หญิงมันไม่สำคัญเอง หรือมัน 'ถูกทำให้ดูเหมือน' ไม่สำคัญด้วยความคิดของผู้ชายกันแน่ 


    "เรื่องที่เราเลือกจะเล่าและวิธีการเล่าของเราจะทำให้ผู้ชมเห็นเองค่ะว่าสิ่งใดสำคัญ"

    เกรตาเชื่ออย่างนั้น "ฉันตั้งใจจะสร้าง 'Little Women' ฉบับนี้อย่างยิ่งใหญ่ ฉันอยากใช้ฟิล์มในการถ่ายทำ ฉันอยากได้ทีมนักแสดงและผู้ร่วมงานคุณภาพคับคั่ง ฉันอยากทุ่มเทให้มากที่สุดเพื่อป่าวประกาศว่ามันสำคัญแค่ไหน"

    เพราะผู้หญิงก็มีเรื่องเล่า

    และการเล่าจากมุมมองของผู้หญิงเราเอง ไม่ว่าด้วยงานเขียน งานวาด งานเพลง งานกำกับภาพยนตร์ หรืองานศิลปะแขนงใด ๆ ก็สำคัญ เรื่องราวของผู้หญิงถูกลดทอนคุณค่าในฐานะศิลปะชั้นสูงมาเนิ่นนานพอกันกับประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์นั่นแหละ ถ้าผู้หญิงไม่ลุกขึ้นมาเล่าเรื่องราวของตัวเองเองแล้วใครจะเล่า? ถ้าเราไม่เห็นความสำคัญของเราเองแล้วจะรอให้ใครมาเห็น? ผู้ชายหรือ? เราต่างก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจดีจนไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมา

    ถ้าโจ มาร์ชไม่เขียนนิยายและสู้เพื่อลิขสิทธิ์ในหนังสือของเธอเองแล้วใครจะทำ? 

    ถ้าลุยซา เมย์ อัลคอตต์ ไม่แต่งนิยายเกี่ยวกับเสียงของความฝันในตัวเธอเอง แล้วใครจะเขียน?

    ถ้าเกรตา เกอร์วิก ไม่สู้เพื่อโอกาสในการสร้างภาพยนตร์ Little Women ให้ยิ่งใหญ่อย่างที่เธอต้องการ แล้วเธอจะได้เห็นมันบอกเล่าเรื่องราวของฮีโร่หญิงในใจเธออย่างโจและอัลคอตต์ได้ยังไง?

    เพราะผู้หญิงมีเรื่องมากมายจะเล่า

    และบางทีมันอาจเป็นแค่เรื่องราวสั้น ๆ

    ว่าสิ่งที่พวกเธอใฝ่ฝัน, ก็สำคัญเหมือนกัน.

    ______________________________________________

    Credit: คำพูดต่าง ๆ จากเกรตา/อัลคอตต์ สามารถตามไปอ่านฉบับเต็มภาษาอังกฤษได้จากบทความตามที่ link ไว้ ในแต่ละช่วงเลยค่ะ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะ link ไปที่บทสัมภาษณ์ของ Film Comment ซึ่งยาวมาก(รัวแป้น ก.ไก่สิบบรรทัด) รายละเอียดเยอะกว่าที่เราหยิบมาแปลและเรียบเรียงตามประเด็นที่เราลำดับไว้ในบทความนี้ ถ้าใครสนใจแนวคิดเบื้องหลังการเขียนบทและสร้างภาพยนตร์ Little Women ของเกรตา เกอร์วิก แนะนำให้ไปอ่านฉบับเต็มค่ะ ! : https://www.filmcomment.com/article/lifes-work/ (แต่มันจะเป็นการคุยไปเรื่อย ๆ แบบ Interview นะ)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
พึ่งอ่านหนังสือจบพอดีเลยค่ะ
อยากดูตอนเป็นภาพยนต์มาก
ตอนอ่านก็คิดว่าจะอ่านจบมั้ยนะ
พออ่านจริงๆมันละมุนละไมมากค่ะ
ฟีลกู๊ดเลยอ่ะ
horamiji (@whatfilmbe)
@wiwanwan.chawhe ภาพยนตร์ดัดแปลงได้ละมุนละไมมากจริงๆ ค่ะ ต้องดู???