 ขั้นแรกให้ทุกคนนึกย้อนกลับไปก่อนว่าโครงการของแต่ละคนทำอะไรบ้าง  โดยเล่าออกมาเป็นภาพสี่ภาพ  เป็นการฝึกให้ลองสื่อสารโดยไม่ต้องใช้คำพูดหรือคำอธิบายตรง ๆ แต่ลองใช้จินตนาการ  สื่อสารออกมากเป็นรูปธรรม
ขั้นแรกให้ทุกคนนึกย้อนกลับไปก่อนว่าโครงการของแต่ละคนทำอะไรบ้าง  โดยเล่าออกมาเป็นภาพสี่ภาพ  เป็นการฝึกให้ลองสื่อสารโดยไม่ต้องใช้คำพูดหรือคำอธิบายตรง ๆ แต่ลองใช้จินตนาการ  สื่อสารออกมากเป็นรูปธรรม เสร็จแล้วเราจึงค่อย ๆ มาถอดบทเรียนสิ่งที่เราได้จากการทำโครงการของแต่ละคน  จากโครงการที่ได้ทำนี้กราฟความสุขเป็นอย่างไร  ช่วงเริ่มต้นโครงการ  ช่วงระหว่างการทำโครงการ  และหลังจากทำโครงการเสร็จแล้ว  ซึ่งกราฟที่เราพบก็จะเจออยู่สองรูปแบบคือ 1)กราฟช่วงต้นต่ำสุด  ช่วงระหว่างโครงการค่อย ๆ สูงขึ้นและตอนจบโครงการสูงที่สุด  2)กราฟช่วงต้นอยู่ระดับกลาง ๆ ช่วงระหว่างโครงการต่ำ และตอนจบโครงการกลับมาสูงที่สุด  เมื่อทุกคนเขียนกราฟเสร็จเราจะให้จับกลุ่มสองถึงสามคนแชร์กราฟของตนเองให้เพื่อนในกลุ่มฟังว่าเป็นอย่างไร  เพราะอะไร  คนที่รูปแบบกราฟเป็นประเภทที่หนึ่งจะเหมือนกันคือตอนแรกยังคิดอะไรไม่ค่อยออก  ยังไม่เห็นภาพแต่พอได้ทำไปเรื่อย ๆ ก็เข้าใจมากขึ้น  และมีความสุขกับสิ่งที่ทำมากขึ้น  ส่วนคนที่เป็นรูปแบบกราฟประเภทที่สองจะมีน้อยกว่า  ในตอนแรกที่กราฟอยู่กระดับกลางเพราะว่าตอนเริ่มต้นโครงการมีไฟมาก  อยากจะทำโครงการที่ตนเองวาดฝันไว้ให้สำเร็จ  แต่พอเริ่มทำไปได้สักระยะปัญหาต่าง ๆ ก็เริ่มเข้ามา  เป็นปัญหาที่คาดไม่ถึง  จึงทำให้เกิดความทุกข์  แต่ในตอนสุดท้ายก็สามารถฝ่าฟันปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้  และทำได้สำเร็จในที่สุด  แต่ละคนเมื่อได้แชร์ประสบการณ์ของตนเอง  ได้แลกเปลี่ยนกับคนอื่น ๆ ทำให้เขามองเห็นการเรียนรู้  มีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น
เสร็จแล้วเราจึงค่อย ๆ มาถอดบทเรียนสิ่งที่เราได้จากการทำโครงการของแต่ละคน  จากโครงการที่ได้ทำนี้กราฟความสุขเป็นอย่างไร  ช่วงเริ่มต้นโครงการ  ช่วงระหว่างการทำโครงการ  และหลังจากทำโครงการเสร็จแล้ว  ซึ่งกราฟที่เราพบก็จะเจออยู่สองรูปแบบคือ 1)กราฟช่วงต้นต่ำสุด  ช่วงระหว่างโครงการค่อย ๆ สูงขึ้นและตอนจบโครงการสูงที่สุด  2)กราฟช่วงต้นอยู่ระดับกลาง ๆ ช่วงระหว่างโครงการต่ำ และตอนจบโครงการกลับมาสูงที่สุด  เมื่อทุกคนเขียนกราฟเสร็จเราจะให้จับกลุ่มสองถึงสามคนแชร์กราฟของตนเองให้เพื่อนในกลุ่มฟังว่าเป็นอย่างไร  เพราะอะไร  คนที่รูปแบบกราฟเป็นประเภทที่หนึ่งจะเหมือนกันคือตอนแรกยังคิดอะไรไม่ค่อยออก  ยังไม่เห็นภาพแต่พอได้ทำไปเรื่อย ๆ ก็เข้าใจมากขึ้น  และมีความสุขกับสิ่งที่ทำมากขึ้น  ส่วนคนที่เป็นรูปแบบกราฟประเภทที่สองจะมีน้อยกว่า  ในตอนแรกที่กราฟอยู่กระดับกลางเพราะว่าตอนเริ่มต้นโครงการมีไฟมาก  อยากจะทำโครงการที่ตนเองวาดฝันไว้ให้สำเร็จ  แต่พอเริ่มทำไปได้สักระยะปัญหาต่าง ๆ ก็เริ่มเข้ามา  เป็นปัญหาที่คาดไม่ถึง  จึงทำให้เกิดความทุกข์  แต่ในตอนสุดท้ายก็สามารถฝ่าฟันปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้  และทำได้สำเร็จในที่สุด  แต่ละคนเมื่อได้แชร์ประสบการณ์ของตนเอง  ได้แลกเปลี่ยนกับคนอื่น ๆ ทำให้เขามองเห็นการเรียนรู้  มีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น กิจกรรมถอดบทเรียนอีกกิจกรรมหนึ่งก็คือ  ถาดพิซซ่า  ในพิซซ่าหนึ่งถาดเราเปรียบเป็นหนึ่งกลุ่ม  แต่ละกลุ่มก็จะมีจำนวนชิ้นพิซซ่าตามจำนวนโครงการย่อยที่ได้ทำ  จากนั้นให้แต่ละคนหาสัญลักษณ์ของตนเองหนึ่งรูปวาดลงไปบนพิซซ่าแต่ละชิ้น  ถ้าเราคิดว่าในโครงการนี้เรามีส่วนร่วมเยอะมาก  เป็นแกนหลักในการทำโครงการ  ก็ให้วาดสัญลักษณ์ของตนเองไว้ใกล้กับจุดศูนย์กลางของถาด  แต่ถ้าคิดว่าตัวเองมีส่วนร่วมน้อย  ไม่ค่อยได้ช่วยก็ให้วาดสัญลักษณ์ของตนเองห่างออกมาจากแกนกลาง  พร้อมเขียนเหตุผลว่าทำไม่ถึงได้ทำเยอะ  ทำไมถึงได้ทำน้อย  กิจกรรมนี้เพื่อให้เด็กทบทวนตนเองว่ามีส่วนร่วมในการเข้าร่วมโครงการมากแค่ไหน  แล้วสาเหตุอะไรที่ทำให้เราไม่ได้มีส่วนร่วมมากซึ่งจะเชื่อมโยงกับกราฟความสุขของกิจกรรมก่อนหน้านี้  เด็กบางคนเป็นเด็กในชุมชน  พึ่งได้เข้ามาทำโครงการตอนช่วงกลาง ๆ ของโครงการแล้ว  หรือ  เด็กบางคนก็ติดเรียน  ติดเล่นจึงไม่ได้มาทำมาก  แต่ละคนมีเหตุผลแตกต่างกันไป (ทางเราจะต้องประเมินว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่  และควรมีต่อไปมั้ย)
กิจกรรมถอดบทเรียนอีกกิจกรรมหนึ่งก็คือ  ถาดพิซซ่า  ในพิซซ่าหนึ่งถาดเราเปรียบเป็นหนึ่งกลุ่ม  แต่ละกลุ่มก็จะมีจำนวนชิ้นพิซซ่าตามจำนวนโครงการย่อยที่ได้ทำ  จากนั้นให้แต่ละคนหาสัญลักษณ์ของตนเองหนึ่งรูปวาดลงไปบนพิซซ่าแต่ละชิ้น  ถ้าเราคิดว่าในโครงการนี้เรามีส่วนร่วมเยอะมาก  เป็นแกนหลักในการทำโครงการ  ก็ให้วาดสัญลักษณ์ของตนเองไว้ใกล้กับจุดศูนย์กลางของถาด  แต่ถ้าคิดว่าตัวเองมีส่วนร่วมน้อย  ไม่ค่อยได้ช่วยก็ให้วาดสัญลักษณ์ของตนเองห่างออกมาจากแกนกลาง  พร้อมเขียนเหตุผลว่าทำไม่ถึงได้ทำเยอะ  ทำไมถึงได้ทำน้อย  กิจกรรมนี้เพื่อให้เด็กทบทวนตนเองว่ามีส่วนร่วมในการเข้าร่วมโครงการมากแค่ไหน  แล้วสาเหตุอะไรที่ทำให้เราไม่ได้มีส่วนร่วมมากซึ่งจะเชื่อมโยงกับกราฟความสุขของกิจกรรมก่อนหน้านี้  เด็กบางคนเป็นเด็กในชุมชน  พึ่งได้เข้ามาทำโครงการตอนช่วงกลาง ๆ ของโครงการแล้ว  หรือ  เด็กบางคนก็ติดเรียน  ติดเล่นจึงไม่ได้มาทำมาก  แต่ละคนมีเหตุผลแตกต่างกันไป (ทางเราจะต้องประเมินว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่  และควรมีต่อไปมั้ย) อีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งเป็นไฮไลท์ก่อนจบโครงการคือกิจกรรมวงกลม 6 ขั้น  โดยจะให้ผู้เข้าร่วมโครงการช่วยกันคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นส่งผลอย่างไรบ้างเป็นลำดับขั้นต่อเนื่องกันไป
อีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งเป็นไฮไลท์ก่อนจบโครงการคือกิจกรรมวงกลม 6 ขั้น  โดยจะให้ผู้เข้าร่วมโครงการช่วยกันคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นส่งผลอย่างไรบ้างเป็นลำดับขั้นต่อเนื่องกันไป  ขั้นที่ 1 ต่อตนเอง
ขั้นที่ 2 ต่อโรงเรียน
ขั้นที่ 3 ต่อชุมชน
ขั้นที่ 4 ต่อจังหวัด
ขั้นที่ 5 ต่อประเทศ
ขั้นที่ 6 ต่อโลก
กิจกรรมนี้ทำให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำอาจเป็นแค่โครงการเล็ก ๆ ในชุมชน แต่จริง ๆ แล้วกลับส่งผลต่อผู้อื่น ต่อประเทศชาติได้เลยทีเดียว ทุกอย่างเชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่เหมือนกับทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect) ของ Edward N. Lorenz เขาเป็นนักคณิตศาสตร์และนักอุตุนิยมวิทยา เขาค้นพบทฤษฎีนี้จากการคำนวนข้อมูลพยากรณ์อากาศ ซึ่งเขาจะต้องกรอกตัวเลขใหม่ทุกครั้งเมื่อต้องการดูข้อมูลซ้ำ เขาจึงลองใส่ตัวเลขที่บันทึกไว้โดยตัดเศษทศนิยมให้เหลือเพียงตัวเลขสั้น ๆ จาก 0.506127 เป็น 0.506 ผลปรากฏว่าสภาพอากาศที่ออกมาครั้งแรกกับครั้งที่สองมีความเเตกต่างกันสูงมาก ทำให้พบว่าตัวเลขที่ผิดเพี้ยนไปแม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็สามารถส่งผลกระทบใหญ่หลวงได้เหมือกับแรงกระพือปีกของผีเสื้อก็อาจส่งผลให้เกิดพายุธอร์นาโดได้เลยทีเดียว (พี่มิ้นท์ : dek-d)
หลังจากจบค่ายนี้ หลายคนได้บทเรียน หลายคนได้ฝึกประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และที่สำคัญคือความภาคภูมิใจในผลงานของตนเองกลับบ้านไป
แหล่งข้อมูล https://www.dek-d.com/education/34159/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in