ภาพยนตร์เรื่อง มิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัด 1 (Despicable Me 1) , มิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัด 2 (Despicable Me 2) , มิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัด 3 (Despicable me 3) และภาพยนตร์เรื่องมินเนียน (Minions) เป็นภาพยนตร์สไตล์อเมริกันในตระกูลเดียวกัน หรือเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ภาคต่อที่สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ชม เพราะความน่ารักและความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากตัวละครหลากหลายตัวที่เรียกความนิยมทั้งในประเทศไทยรวมถึงอีกหลายๆ ประเทศ
ภาพยนตร์ที่มีตัวละครชูโรงหลักคือเหล่ามินเนียนจอมแสบนี้ เป็นผลงานคุณภาพจากค่าย อิลลูมิเนชัน เอนเทอร์เทนเมนท์ (Illumination Entertainment) ด้วยฝีมือการเขียนบทของไบรอัน ลินซ์ และการกำกับโดยปิแอร์ คอฟฟิน และไคล์ บัลดา ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง มินเนียน (Minions) กลายเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่สร้างรายได้สูงที่สุดอันดับสามของโลก และภาพยนตร์ในตระกูลมินเนียนอย่าง มิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัดทั้งสองภาคก็ติดหนึ่งในสิบอันดับภาพยนตร์แอนิเมชันที่สร้างรายได้สูงที่สุดของโลกอย่างไม่น่าแปลกใจ
จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มินเนียน ว่ามินเนียนมีต้นกำเนิดมาจากอะไร แพร่สายพันธุ์ได้อย่างไรให้มีจำนวนมากมายขนาดนี้ กลายเป็นหมอกจางๆ ที่ยากจะมองให้เห็นอย่างแจ่มชัด แม้กระทั่งนักเขียนบทและผู้กำกับเองก็ยังบอกเพียงว่า มินเนียนคือสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวตัวสีเหลือง วิวัฒนาการมาจากเซลล์เล็กๆ ที่ไม่ได้แพร่พันธุ์ด้วยการสืบพันธุ์ด้วยวิธีเดียวกับสัตว์อื่นๆ ไม่ระบุเพศอย่างชัดเจน ดำรงชีวิตด้วยวิถีที่แตกต่างจากสัตว์ในยุคก่อน และความต้องการเดียวที่ยึดเหนี่ยวการดำรงชีวิตเอาไว้ก็คือ การได้รับใช้วายร้ายในทุกยุคสมัย พวกมันพร้อมจะภักดีและยินยอมเป็นลูกสมุนตัวจ้อยให้แก่เหล่าวายร้าย ไม่ว่าจะเป็นไดโนเสาร์ เหล่าฟาโรห์ และแม้พวกมันจะได้รับใช้สการ์เล็ต วายร้ายอันดับ 1 ของยุค ก็ยังไม่มีความสุข ท้ายที่สุด ชีวิตของมินเนียนก็ได้มาพบเจอวายร้ายตัวจริงอย่าง “กรู” และรับใช้กรูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หากพิจารณาดูแล้ว เนื้อเรื่องในภาพยนตร์ไม่ได้บอกให้เราทราบอย่างถ่องแท้ว่า มินเนียนตัวแรกถือกำเนิดขึ้นได้อย่างไร และอยู่ในยุคสมัยใด อีกทั้งข้อสังเกตหนึ่งที่ควรค่าแก่การสืบเสาะความจริงดูก็คือ มินเนียนเป็นตัวอะไรกันแน่ เป็นคนหรือสัตว์ หากเป็นสัตว์แล้วจะเป็นสัตว์ประเภทไหน อยู่ในไฟลัมใด หรือแท้ที่จริงแล้วมินเนียนเป็นเพียงสัญลักษณ์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น
คำว่า “Minion” ที่ปรากฏเป็นชื่อเรียกเจ้าตัวเล็กสีเหลืองที่มีตาเดียวบ้าง สองตาบ้างนั้น มีความหมายว่า ลูกสมุน คนรับใช้ ลูกมือ บ่าว พจนานุกรมออกซ์ฟอร์ดได้ให้ความหมายไว้ว่า “A follower or underling of a powerful person, especially a servile or unimportant one.” กล่าวคือ “มินเนียน หมายถึง ผู้ติดตามหรือลูกสมุนของผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเป็นทาสหรือบุคคลที่ไม่สำคัญ” เมื่อเทียบเคียงกับบริบทในภาพยนตร์แล้วจะเห็นว่าชื่อของมินเนียนสอดคล้องกับบทบาทในภาพยนตร์ มินเนียนจึงเป็นภาพแทนของบรรดาผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ได้แต่ติดสอยห้อยตามผู้มีอำนาจ ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านชื่อเรียกของมินเนียนเป็นอันดับแรก
นอกจากชื่อเรียกที่มีความหมายถึงกลุ่มคนระดับรองที่ไม่ได้อยู่ในสภาวะของความเป็นผู้นำแล้ว กายภาพของมินเนียนก็สะท้อนให้เห็นถึงความผิดแผกบางประการอีกด้วย กล่าวคือมินเนียนมีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับคน เช่น การยืนด้วยขาสองข้าง มีมือสองมือที่สามารถหยิบจับสิ่งของและทำงานได้อย่างเป็นระบบ มีสมองในส่วนที่สามารถรับรู้ภาษาของมนุษย์ นำไปแปลข้อมูลและทำความเข้าใจประโยคโครงสร้างอันซับซ้อนได้ ดังจะเห็นได้ผ่านการพูดคุยและรับคำสั่งจากกรู มินเนียนสามารถส่งสารกลับมายังผู้ฟังด้วยภาษาเฉพาะตัวได้
กล่าวได้ว่า “ภาษา” (Logos) ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งของมนุษย์ได้ปรากฏให้เห็นในชาว มินเนียน และกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เห็นว่ามินเนียนมีความเป็นมนุษย์ นอกจากจะมีสมองส่วนที่สามารถรับรู้ภาษาของมนุษย์และแปลงเป็นข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจได้แล้วนั้น มินเนียนยังมีสมองในส่วนรับรู้อารมณ์ความรู้สึกด้วย จึงสามารถเศร้าใจ กังวล ดีใจ ตื่นเต้น หัวเราะ และสามารถแสดงออกอารมณ์เหล่านั้นออกมาได้อย่างชัดเจนไม่ต่างจากมนุษย์ เช่น ในฉากที่มิสเตอร์กรูประกาศกับเหล่ามินเนียนว่าเขาจะไปขโมยดวงจันทร์ เหล่ามินเนียนก็เข้าใจและแสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจด้วยการทำท่าทางตบไม้ ตบมือ กระโดดไปมา เป็นต้น
เมื่อย้อนมองภาษาที่มินเนียนใช้ เราจะพบว่าเหล่ามินเนียนสามารถรับรู้และเข้าใจภาษาของมนุษย์ได้ตามปกติ ซึ่งในบริบทภาพยนตร์คือภาษาอังกฤษ หากแต่มินเนียนไม่สามารถส่งผ่านการสื่อสารกลับมายังผู้ส่งสารด้วยภาษาอังกฤษ พวกเขาก็มีภาษาของตนเองที่นอกจากเหล่ามินเนียนแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเข้าใจภาษานั้นได้ เช่น คำว่า “ปาปอย” (PaPoy) ซึ่งเป็นภาษาเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีใครเข้าใจนั้น ก็ทำให้เราสามารถตีความได้ว่า นัยหนึ่ง ตัวละครมินเนียนอาจเป็นตัวแทนของชนกลุ่มน้อยที่ไม่มีการพัฒนาภาษาของตนเองให้กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารในวงกว้างระหว่างชุมชนของตนเองและคนอื่น
ในภาพยนตร์ ผู้คนในเรื่องสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษทั้งสิ้น จะมีก็แต่เหล่ามินเนียนที่พูดภาษาอื่น นอกจากนี้ คำบางคำในภาษาของมินเนียนนั้นยังยากเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ ความน่าสนใจคือภาษาที่มินเนียนใช้ในบางคำมีที่มาจากภาษาทั่วโลก ตัวอย่างเช่น เราจะเห็นว่ามินเนียนมักจะตอบรับด้วยคำว่า ซี (Si) ซึ่งในภาษาสเปนแปลว่า ใช่ หรือ ตกลง แต่เมื่อนับเลข ก็จะนับว่า Hana Dul Sae ซึ่งเป็นภาษาเกาหลี รวมถึงใช้คำว่า para tú ในภาษาอิตาลีที่แปลว่า สำหรับคุณ อีกด้วย ประเด็นเรื่องภาษาจากทั่วโลกที่ผสมผสานไว้ในภาษาเฉพาะตัวของมินเนียนเองนี้จึงอาจสื่อสารนัยสำคัญที่ว่า มินเนียนซึ่งเป็น ชนกลุ่มน้อยที่คอยตามติดเหล่าผู้มีอำนาจและวายร้ายนั้น เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของผู้คนจากทั่วโลกที่พูดภาษาอื่นๆ ซึ่งกำลังเดินตามมหาอำนาจของโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่นั่นเอง
สิ่งที่น่าชวนคิดต่อคือเรื่องของ “ชุด” ที่เหล่ามินเนียนสวมใส่อยู่ตลอดเวลา เราจะเห็นว่ามินเนียนจะสวมชุดเอี๊ยมยีนส์กันเกือบทุกตัว อาจจะมีบ้างที่ใส่ชุดแม่บ้าน หรือชุดทำความสะอาด ครั้งหนึ่งชุดเอี๊ยมยีนส์เคยเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นแรงงาน เนื่องจากชุดเอี๊ยมยีนส์ มีส่วนประกอบของผ้าเดนิมที่ขาดยากและทนทาน จึงเหมาะใช้ในการทำชุดให้แก่ผู้ใช้แรงงาน แตกต่างจากความนิยมใส่ยีนส์ที่ปรากฏได้ทั่วไปในปัจจุบัน ชุดของมินเนียนจึงสะท้อนความเป็นชนชั้นกรรมาชีพของเหล่าผู้สวมใส่
ลักษณะการทำงานของมินเนียนสะท้อนความเป็นชนชั้นกรรมาชีพได้ดี ไม่ว่าจะภาคใดก็ตาม มินเนียนจะทำงานภายในห้องใต้ดินของกรูที่มีลักษณะใกล้เคียงกับโรงงาน มีเครื่องจักรหลายสิบตัววางอยู่ มีสายพานวางซ้อนกันหลายชั้น เหล่ามินเนียนทำงานอย่างเป็นระบบคล้ายคนงานในโรงงาน พวกเขาจะวิ่งอยู่บนชั้นเหล็ก ถือของยกตามกันมาหรือบางครั้งก็ส่งของต่อกันเป็นทอดๆ จากมินเนียนที่ยืนต้นแถวไปยังท้ายแถว มีมินเนียนอีกกลุ่มที่ทำหน้าที่ขนส่งสิ่งของไปตามรถราง โดยมีมินเนียนบางตัวที่คอยควบคุมสั่งการอยู่ มินเนียนที่เป็นผู้ควบคุมนี้จะสวมหมวกแบบที่วิศวกรสวมใส่กันในการก่อสร้าง ดังจะเห็นได้ในภาคของมิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัด 2 (Despicable Me 2)
ในฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง มิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัด 1 (Despicable me 1) ซึ่งเป็นฉากที่แอ็กเนส เด็กหญิงอายุน้อยที่สุดที่กรูรับมาเลี้ยงจากบ้านเด็กกำพร้าเพื่อเข้าร่วมกระบวนการขโมยดวงจันทร์ อยากได้ตุ๊กตาม้ายูนิคอร์น กรูจึงสั่งให้มินเนียนไปตามหามาให้ได้ มินเนียนจึงออกไปตามหาตุ๊กตาม้ายูนิคอร์นตามคำสั่ง ไม่ว่าจะดึกดื่นเพียงใด เรื่องเล่าตอนนี้ส่องสะท้อนสภาวการณ์ของการถูกกดขี่และลิดรอนสิทธิของชนชั้นกรรมาชีพซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยได้เป็นอย่างดี ชีวิตของมินเนียนที่ผูกติดอยู่กับคำสั่งของกรู ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับชีวิตของชนชั้นแรงงานที่ผูกติดอยู่กับชนชั้นนายทุน
หากใครที่ได้ชมภาพยนตร์ในตระกูลมินเนียนครบทุกภาคแล้ว คงจะมองเห็นประเด็นเรื่องชนชั้นกรรมาชีพซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่แทรกซ่อนอยู่ในภาพยนตร์ซึ่งมีฉากข้างหน้าเป็นแอนิเมชันสดใส น่ารัก แนวครอบครัว เหมาะแก่เวลาสำหรับครอบครัว แต่หากลองมองภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ลึกเข้าไปผ่านลีลาและการกระทำที่แสนจะตลกขบขัน ชวนเรียกเสียงหัวเราะของมินเนียนแล้ว เราอาจจะพบ “สาร” ที่ซุกซ่อนอยู่จากการใช้อารมณ์ขันของผู้คนเป็นเครื่องมือหนึ่งในการเหยียดผู้อื่นอยู่โดยไม่รู้ตัวก็ได้
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ได้กล่าวถึงหรือโจมตีประเด็นเรื่องชนชั้นกรรมาชีพซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยอย่างตรงไปตรงมา แต่กลับใช้ภาษา ท่าทาง ลักษณะของตัวละคร รวมไปถึงการกระทำบางอย่างที่เรียกเสียงหัวเราะ ซึ่งเป็นวิธีการนำเสนอในแบบที่ไม่เหมือนใคร เพราะภาพยนตร์ไม่ได้มีเจตนามุ่งนำเสนอภาพกลุ่มคนที่ทุกข์ระทมจากการถูกกดขี่โดยตรง แต่ใช้มินเนียนเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ถูกทำให้กลายเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่รองรับอารมณ์ขันของเรา เมื่อลองย้อนคิดถึงเสียงหัวเราะของตัวเราเองในฐานะผู้ชม เราอาจจะเพิ่งตระหนักรู้ก็ได้ว่า ลึกๆ แล้วเรากำลังหัวเราะให้กับการเหยียดสีผิว เหยียดภาษา หรือกำลังตลกไปกับการกระทำที่ดูจะไม่เข้าท่าของผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยอย่าง มินเนียน
อำนาจอันน่ามหัศจรรย์ของอารมณ์ขันที่กลบไว้ซึ่งการเหยียดนี้จึงเป็นอำนาจที่ซับซ้อนแยบคาย โดยเฉพาะเมื่อมันอยู่ในภาพยนตร์การ์ตูนสำหรับเด็กและครอบครัว ความขบขันที่เกิดขึ้นจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เกิดจากท่าทางที่ไร้เดียงสา เวลาที่มินเนียนแลบลิ้นปลิ้นตาและหัวเราะใส่กัน รวมถึงเวลาที่คุยกันด้วยภาษาที่เราไม่รู้เรื่อง เราหัวเราะกับฉากที่มินเนียนตัวหนึ่งกระแทกหัวมินเนียนอีกตัวหนึ่งด้วยคีย์บอร์ด ฉากที่มินเนียนเขย่าขวดโค้กจนแก๊สพุ่ง เหตุการณ์เหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ขันของผู้ชมได้เป็นอย่างดี เนื่องจากอารมณ์ขันแบบนี้เกิดขึ้นจากการที่เรามองตัวเองในสภาวะที่เหนือกว่า และมองว่าถ้าเราอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น อย่างไรเสียเราจะไม่ทำแบบที่มินเนียนทำ
ความน่ากลัวของอารมณ์ขันลักษณะเช่นนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่เราแอบสะใจกับความผิดพลาดของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ความรุนแรงของมันจะยิ่งทวีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราหัวเราะร่างกายที่ผิดแผก สีผิวที่แตกต่าง เชื้อชาติและวิถีแห่งศาสนา รวมถึงวัยและรสนิยมทางเพศของผู้อื่น อารมณ์ขันได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการล้อเลียน การเหยียด รวมถึงเป็นเครื่องมือในการแสดงความกดขี่ผ่านเสียงหัวเราะ ผ่านความสุขที่ก่อตัวขึ้นจากความทุกข์ของผู้อื่น การเกิดขึ้นของอารมณ์ขันนั้นมีอำนาจแฝงฝังอยู่อย่างมีนัยสำคัญเสมอ กระบวนการสร้างมินเนียนให้เคลือบด้วยความน่ารัก (Cuteness) จึงอาจช่วยบรรเทาการเหยียดนั้นมิให้ดูรุนแรงจนเกินไป นำพาให้เราอาจหลงลืมที่จะมองพวกเขาในฐานะที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนต่างชาติต่างภาษาที่ทำงานหนักโดยไม่มีวันหยุดพัก ใช้ชีวิตราวกับเป็นอมตะด้วยการทำงานให้ผู้มีอำนาจที่เขาได้ฝากฝังชีวิตไว้
จากบริบททางสังคมของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา จึงไม่ผิดเพี้ยนนักหากเราจะสืบหาความเป็นมินเนียนจากสหรัฐอเมริกา หลักฐานชิ้นสำคัญตกอยู่ที่ชาวเม็กซิกันซึ่งเป็นเชื้อชาติที่หลบหนีเข้าสู่สหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก ชาวเม็กซิกันนี้เองที่ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาประจำชาติ และเหล่ามินเนียนเองก็ใช้ภาษาสเปนในการสื่อสารเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการตอบรับ แสดงความขอบคุณ หรือพูดสวัสดี หรือบางทีมินเนียนก็อาจจะเป็นชาว Hispanic ในสหรัฐอเมริกาก็เป็นไปได้
หากมองในประเด็นการสร้างลำดับชั้นผ่านเชื้อชาติ สีผิว ย้อนไปในอดีตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยนาซี โดยเริ่มต้นจากการใช้เชื้อชาติเป็นตัวกำหนดอัตลักษณ์ความเป็นคนในชาติของตนเอง ประกอบกับเมื่อพิจารณารูปลักษณ์ภายนอกของมินเนียนแล้ว จะเห็นว่ามินเนียนใส่ชุดยีนส์ มีตาเดียวบ้าง สองตาบ้าง ลักษณะเช่นนี้ดูคล้ายคลึงกับลักษณะภายนอกของเด็กชาวยิวที่ถูกนาซีนำมาจับขังไว้ที่ค่ายกักกัน ซึ่งเมื่อจับมาขังแล้วก็จะให้ใส่หน้ากากที่มีลักษณะคล้ายหน้าตาของมินเนียน คือมีรูกลมๆ อยู่ตรงกลาง ใส่ชุดยีนส์คล้ายกัน
นอกจากนี้หากมองที่คาแรกเตอร์ของมินเนียนซึ่งมีจำนวนมาก โหวกเหวกโวยวายจนบางครั้งก็อาจจะทำให้ผู้คนรำคาญ เวลาเดินหรือวิ่งก็แสดงท่าทางเหมือนจะชนกันบ้าง พูดภาษาเฉพาะกลุ่ม ทำเลอะเทอะเวลารับประทานอาหาร เมื่อเทียบเคียงกับชนชาติต่างๆ ดูแล้วจะพบว่ามินเนียนดูเหมือนชาวจีน อีกทั้งสีผิวของมินเนียนก็มีสีเหลือง ตรงกับศัพท์แสลงที่คนผิวขาวเรียกคนเอเชียว่า ลิงเหลือง หรือ Yellow Monkey หรือแม้แต่คำ Ching-Chong ซึ่งเป็นคำเรียกภาษาจีนก็มีนัยของล้อเลียนถึงภาษาที่มีการออกเสียงช้งเช้ง ฟังยากและไม่ค่อยมีใครฟังรู้เรื่อง การใช้ภาษาในลักษณะนี้มีความใกล้เคียงอย่างมากกับภาษาที่มินเนียนใช้ ในแง่นี้ มินเนียนอาจสื่อถึงชาวจีนหรือชาวเอเชียที่มีภาษาเฉพาะตัวซึ่งไม่ใช่ภาษาอังกฤษก็ได้
ยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเรามองไปที่ตัวละครกรูและตัวละครอื่นๆ ที่มีลักษณะเป็นคนผิวขาว พูดภาษาในกลุ่มตระกูลเดียวกัน สามารถสื่อสารถึงกันได้เข้าใจ และมีวัฒนธรรมหรือรูปแบบการใช้ชีวิตที่คล้ายคลึงกัน กรูจึงกลายเป็นตัวแทนของคนขาวในชนชั้นนายทุนที่มีแนวคิดเรื่องความมีอารยะในแบบที่ยกคนผิวขาวไว้เหนือกว่าผิวสีอื่นๆ
พูดให้กว้างออกไป มินเนียนอาจเป็นตัวแทนของคนกลุ่มใดก็ได้ที่ได้รับการปฏิบัติแตกต่างจากคนทั่วไป ถูกทำให้กลายเป็นพลเมืองชั้นรอง มินเนียนอาจเป็นกลุ่มคนชายขอบที่มาจากส่วนต่างๆ ของโลก อาจเป็นชาวเม็กซิกันในอเมริกา คนผิวสีในอเมริกา ชาวยิวในเยอรมัน ชาวจีนหรือเอเชีย หรือแม้แต่ชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศของตนเอง
การที่มินเนี่ยนจับใจผู้คนทั่วไป อาจมิใช่เพราะความน่ารักหรือพฤติกรรมที่น่าเอ็นดูซึ่งช่วยชุบชูใจให้ผู้ชมรู้สึกอบอุ่นแบบหนังครอบครัว ลึงลงไปแล้ว สิ่งที่ยึดโยงพวกเราไว้กับเหล่ามินเนี่ยนอาจเป็นเพราะเหล่ามินเนียนช่วยเยียวยาและปลอบประโลมใจให้แก่เราผู้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในระบบทุนนิยม อย่างน้อยเหล่ามินเนียนก็ยังมีที่ทางและความสุขตามอัตภาพของตัวเอง ไม่แน่ว่า การเยียวยาเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาพลวงที่ว่า ในโลกนี้ยังมีผู้ที่ต่ำต้อยกว่าชีวิตอันพอยอมรับได้ของเรา ทั้ง ๆ ที่ในท้ายที่สุด เราล้วนต่างมีมิสเตอร์กรูให้ต้องรับใช้ และมีห้องแล็บห้องใหญ่ให้เราต้องทนทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น
บรรณานุกรม
• STIFTUNG DEUTSCHE KINEMATHEK. (2017). The Nazis invented the Minions, and other wild movie conspiracy theories. Retrieved from https://www.telegraph.co.uk/films/0/weird-movie-conspiracy-theories-true-stories-behind/
• Soanes, C., & Stevenson, A. (2005). Oxford dictionary of English (2nd ed.,). Oxford University Press.
• ราชบัณฑิตยสถาน.พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. (2546) กรุงเทพมหานคร: นานมีบุคส์พับลิเคชั่นส์
• อารมณ์กับชีวิตที่ดีในปรัชญาขงจื่อ. (2557). กรุงเทพมหานคร: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการคณะ อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558 เผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น
ข้อเขียนนี้เป็นส่วนหนึ่งในหนังสือ “เขียนเล่นเป็นเรื่อง” รวมผลงานสร้างสรรค์ของนิสิตภาควิชาภาษาไทย ซึ่งเป็นผลงานลำดับที่ 3 ในหนังสือชุด “วิชญมาลา” รวมผลงานด้านภาษาและวรรณคดีไทย จัดทำโดย ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2563
อ่านฉบับ E-book ได้ที่ .....
หมายเหตุเกี่ยวกับงานเขียน: ผลงานปลายภาคในรายวิชาวรรณกรรมวิจารณ์
ต่อมาได้รับการเผยแพร่ในเว็บไซต์สำนักข่าวออนไลน์
The Momentum สามารถเข้าถึงบทความได้ที่
URL : https://themomentum.co/9-years-of-minions/
ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียน: จิรภัทร บุญยะกาญจน
ศิษย์เก่านิสิตระดับปริญญาตรี ภาควิชาภาษาไทย
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลงรักตัวหนังสือในวรรณกรรมพอ ๆ กับรักภาพ และเสียงในภาพยนตร์
ใช้เวลาว่างไปกับการคิด (มาก) และการขีดเขียน
แต่ไม่เคยมีสิ่งไหนควรค่าแก่การให้ความสนใจ
มากไปกว่าการนอนหลับอย่างเพียงพอ
ภาพประกอบ:
บรรณาธิการต้นฉบับ: หัตถกาญจน์ อารีศิลป
กองบรรณาธิการ: ธัญวรัตม์ วงศ์เรือง บุษกร บุษปธำรง วรนุช ขาวเกตุ
ธีรศักดิ์ คงวัฒนานนท์ จุฬารัตน์ กุหลาบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in