เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีวิวล้วน ๆ เลยยยdaisyyyyyy
[ดูจบแล้วเหงา] The intern (2015)
  • หนังนานแล้วค่ะ แต่เราพึ่งดู 5555 TT 6 ปีผ่านไป แน่ะ
    แต่ดูตอนนั้น ในวัยม.6 อาจไม่ค่อยอินเท่าไหร่
    พอปัจจุบันเป็นวัยทำงานแล้ว ที่ก็มีปัญหากับที่ทำงานพอดูแล้วก็

    ร้องไห้เลยค่ะ TT แง้

    หนังประมาณ 2 ชม. นิด ๆ แต่เราว่าคุ้มมาก มันเข้มข้นทุกตอนเลย
    อันนี้มีให้ดูใน Netflix แล้วนะคะ สนับสนุนลิขสิทธิ์กันน้า
    แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็เสิชกูเกิ้ลได้ค่ะ มีเหมือนกัน 55555
    จริง ๆ เชียร์ให้ดูนะคะ ในวัยก่อนเข้าทำงาน และวัยทำงาน
    ดูให้เหมือนเป็น Check point กับตัวเองก็ได้ค่ะ

    ว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไงอยู่ ดีหรือไม่ดีกับงานมั้ย
    กับเพื่อนร่วมงาน กับเนื้องาน กับคณะที่เราเรียนจบมา กับงานที่เราได้ทำ
    พอดูหนังเรื่องนี้จบก็ หันกลับมามองอะไรหลาย ๆ อย่างได้ชัดเจนขึ้นอยู่ค่ะ

    หลังจากนี้จะเป็นการวิเคราะห์ แอบสปอยล์หนังนิด ๆ
    ถ้าใครไม่ชอบสปอยล์ก็แนะนำให้หลบค่ะ ไปดูหนังก่อนนน
    จริง ๆ คืออยากขายหนังแหละ 55555

    1. เจ้านายที่ดี ?

    จากเรื่องจูลล์ (นางเอกของเรื่อง) รับบท โดย แอนน์ ฮัททาเวย์ เป็นเจ้าของบริษัท e-commerce ที่ขายเสื้อผ้าชื่อดังแห่งหนึ่ง จูลล์เริ่มก่อตั้งบริษัทจากการมีพนักงาน 20 คน จนมาสู่ 220 คน ในปัจจุบัน และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

    บริษัท e-commerce ของจูลล์ ถือเป็น start up บริษัทนึงเลยก็ว่าได้ จูลล์สามารถทำให้เติบโตได้ในระยะเวลา 18 เดือน ก็คือ 1 ปีครึ่ง ซึ่งถ้าถามว่าสุดยอดมั้ย ก็ขอตอบเลยว่าสุดยอด สุดยอดมากเลย !

    ปกติ การเปิดธุรกิจหรือเริ่มต้นบริษัทอะไรสักอย่าง จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ในการคืนทุน โดยประมาณ อาจช้า หรือเร็วกว่านั้น ขึ้นกับการบริหารจัดการองค์กรต่าง ๆ 

    ถ้าถามว่านิยาม เจ้านายที่ดี ของแต่ละคนคืออะไร


    อะไรคือคุณสมบัติของการเป็นหัวหน้าคนที่ดี ?

    ลองจินตนาการถึงคนที่ทำงานด้วยแล้วมีความสุขดูนะคะ เค้าเป็นคนแบบไหนนะ
    สำหรับเรา คือคนที่ทำอะไรแล้วบอกเราค่ะ แจกงาน เอาใจใส่ มีแพลนว่ายังไง อัพเดทกันในทีม
    สามารถให้คำแนะนำเราได้ ใจกว้าง และเห็นคุณค่าในตัวเราค่ะ 

    ถามต่อว่า จูลล์ นับเป็นเจ้านายที่ดีมั้ย

    เอาจริง ๆ เราว่าเกือบดีนะคะ ในแง่ของความเอาใจใส่ต่องาน เพราะจูลล์เป็นคนสร้างบริษัทนี้ขึ้นมา จูลล์รู้ทุกอย่าง ใส่ใจรายละเอียด อย่างตอนที่ไปโกดังเช็คของด้วยตัวเอง สอนพนักงานตรงนั้นว่า แพ็คยังไง เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ สอนในเชิงสอน ที่ไม่ได้ดุด่า หรือพูดจาไม่ดีใส่ ไม่รับบทนางร้าย หรือเจ้านายมหาโหด จูลล์ใส่ใจคนรอบตัวมาก และ treat ทุกคนได้ดีจริง ๆ ค่ะ

    แต่ในขณะเดียวกัน ในฐานะลูกน้อง ก็อยากให้จูลล์มองเห็นค่าของคนรอบ ๆ ตัวบ้าง เห็นได้ชัดที่สุดคือ น้อง receptionist น่าจะเป็นเลขาของจูลล์ น้องจบด้าน Business มา แต่งานที่น้องได้ทำคือ so เสมียนมาก แอบเสียดายความรู้ของน้องเหมือนกัน จะเห็นได้ว่าช่วงนึงปู่เบน แอบขาย ๆ น้องอยู่เหมือนกัน ตอนเอางานไปส่งจูลล์ ปู่เบนจะ refer ถึงน้องเสมอว่า น้องช่วย น้องทำ ตรงนี้เลยทำให้จูลล์เริ่มให้ความสนใจกับคนรอบตัวมากขึ้น ซึ่งตรงนั้นเป็นจุดที่ดีนะ !

    2. สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ?

    อันนี้พูดในเชิงกายภาพเนอะ ในเรื่องของสภาพออฟฟิศ
    เราว่าสภาพแวดล้อมในที่ทำงานของบริษัทนี้ค่อนข้างดีพอสมควรเลย
    อย่างแรกที่น่าสนใจมากคือ ระฆังสีแดง ที่เหล่าพนักงานในองค์กรมักจะไปลั่นระฆังกันเมื่อมีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้น เราว่ามันน่ารักมากเลย นับเป็น positive reinforcement ให้กับพนักงานมาก ๆ

    มันเหมือนสร้างทัศนคติที่ดี การมองโลกในแง่ดี การให้กำลังใจกัน ว่าวันนี้มีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้น มันอาจฟังดูสวยหรู แต่ท่ามกลางกองงาน และความเครียด แรงกดดัน แม้เป็นเรื่องราวน่ายินดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็น่ามาลั่นระฆัง เพื่อส่งต่อความรู้สึกดี ๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่กันนะ

    อีกอย่างที่ชอบคือบริษัทมีหน้าต่างเยอะมาก แอบปลอดโปร่ง อันนี้ชอบเป็นการส่วนตัว 55555

    ส่วนที่ว่าดีอันต่อไปคือ จูลล์ไม่มีห้องทำงานเป็นของตัวเอง (ใช่มั้ยนะ ใช่แหละ)
    จูลล์นั่งรวมกับพนักงานคนอื่น จริง ๆ มันก็สะท้อนถึงเรื่องการไม่ถือเรื่อง hierachy/ seniority นะ
    มันทำให้รู้สึกเข้าถึงหัวหน้า หรือเจ้านายได้ง่ายขึ้นด้วย

    3. เพื่อนร่วมงานที่ดี ?

    ดีมากแหละ ดีมากเลย TT เห็นได้ชัดที่สุดคือคนรอบ ๆ ตัวปู่เบนเนี่ยแหละ
    ตอนแรกที่ปู่เบนเข้ามาทำงาน ปู่กะเปิดคอมไม่เป็นงี้ใช่ม้ะ ล้ะทีนี้คุณพี่ผู้ชายคนข้าง ๆ ก็มาช่วยสอน
    อะ กด space bar นะ น่ารักมุบมิบ

    แล้วความที่ปู่เบน เป็นปู่เบนนั่นแหละ ความใจดีก็แพร่กระจายไปทั่ว ผลจากการช่วยเหลือคนอื่น
    ไม่ว่าจะเป็น intern ด้วยกัน หรือพนักงานประจำในองค์กร เหมือนส่งต่อความรู้สึกดี ๆ การช่วยเหลือกันให้เป็นทอด ๆ อ่ะ TT มันดีไปหมดเลย

    หลังจากนั้นหลาย ๆ คนในองค์กรก็เริ่มเปิดใจกับปู่เบนมากขึ้น ส่วนนึงอาจเพราะปู่เบนชอบช่วยเหลือ ให้คำแนะนำด้วย อาจฟีลคล้าย ๆ กับ I'm volunteer แต่มันซื้อใจคนได้จริง ๆ นะ ด้วยความใจดี ใจกว้าง เอื้อเฟื้อของเรา มันจะทำให้เราได้รับบางอย่างกลับคืนมา สิ่งนั้นคือความเชื่อใจ

    สิ่งที่ชอบอีกประเด็นคือตอนที่ปู่เบนเอางานเข้าไปส่งจูลล์ แล้ว refer ว่างานนี้ทำพร้อมกับน้อง receptionist หน้าห้องจูลล์เนี่ยแหละ

    ในความสำเร็จ คือมันก็ประกอบด้วยการร่วมมือกัน การซัพพอร์ตกันจากใครต่อใคร ปู่เบนก็ไม่ลืมที่จะให้เครดิตเค้าไว้ ประเด็นนี้น่ารักมากนะ 
    งานชิ้นนี้ ไม่ได้สำเร็จได้ด้วยตัวเค้าคนเดียว ถ้าจะชมก็ชมกันทั้งหมด กับทุกคนที่มีส่วนร่วม

    เรื่องราวเล็ก ๆ หลาย ๆ จุด มันก็ทำให้สังคมการทำงานน่าอยู่ขึ้นทีละนิด ๆ 

    4. ปู่เบน

    A must topic that I should have say!
    นี่มาดูตอนวันหมดไฟแหละ เชื่อแล้วว่าหนัง Motivate จริง

    เราว่าปู่เบนเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจอ่ะ อาจเพราะปู่ค่อนข้างใจกว้าง เฟรนลี่ เข้าถึงคนอื่นได้ง่าย
    ไม่ได้ตั้งกำแพง แล้วก็อ่อนโยนป่ะ ใช้คำนี้ได้มั้ยนะ 555555 เลยทำให้คนอื่นเข้าหาแล้วรู้สึกสบายใจที่อยู่ด้วย ไม่ตั้งมาตรฐานขึ้นมาแล้วแบบ เห้ย ทำไมแต่งตัวงี้อ่ะ เห้ยนี่ไรอ่ะ ชั้นแก่เกินจะเรียนรู้ ชั้นทำไม่ได้

    เรารู้สึกว่าปู่มี can do attitude มาก ๆ 
    แล้วปู่ก็พร้อมที่จะ support คนรอบตัวเสมอ

    อันนี้เห็นได้ตอนที่ปู่ช่วยเข็นรถเข็น มาเก็บโต๊ะ ให้คำแนะนำเรื่องสัญญากับน้อง intern ที่นั่งข้าง ๆ รวมไปถึงให้คำแนะนำด้านความรักกับพี่พนักงานประจำด้วย 555555 

    ในวันที่เรารู้สึกว่า เรากำลังสูญหาย ล่องลอย หรือมีบุคลิกภาพ ความชอบ ความสุข ทัศนคติของเราหล่นหายไป หรือจากเราไปเพราะการทำงาน ก็อยากให้ลองกลับมาคิดดูว่า จริง ๆ แล้วเราเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ รึเปล่า แล้วเราต้องการจะสูญเสียตัวตนของเราไปแบบนั้นมั้ย

    ชอบคำพูดนึงของปู่เบนมาก ที่บอกว่า You're never wrong, doing the right thing

    เอาจริง คำว่า the right thing มันนิยามได้ยากมาก
    แต่สำหรับเรา มันคือการที่เราทำในสิ่งที่ถูกที่ควรตาม ethical ค่ะ

    จริง ๆ อยากรีเฟอไปที่หนังอีกเรื่องนึงด้วย แต่เรายังดูไม่จบ หนังชื่อว่า The great hack (2019) มีฉายอยู่บน Netflix ค่ะ แต่หนังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ หนังเรื่องนี้ แต่ในตัวหนัง The great hack จะมีพูดเรื่องประเด็น ethical อยู่

    ถ้าวันนึงเราสับสน หรือรู้สึกท้อแท้ อยากให้ลองนึกถึงว่า ก่อนเราจะมาเดินในเส้นทางนี้ ก่อนตัวตนของเราจะสูญหายไป หรือค่อย ๆ เปลี่ยนไประหว่างทางนี้ เราเคยเป็นคนแบบไหน แล้วเราอยากเป็นคนแบบไหนค่ะ เราเองก็เคยรู้สึกว่า เห้ย ทำแบบนี้ได้ยังไง แล้วพี่ที่ทำงานก็ตอบกลับมาว่า ก็นี่ชีวิตวัยทำงาน มันเป็นงี้ มันต้องทำงี้ นี่ก็แบบต่อให้มันแบบเอ่อ งี้อ่ะนะ ในใจก็รับไม่ได้แหละ แล้วก็คาใจมาตลอด แต่ก็ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย ก็ดีใจที่วันนั้นพูดออกไปเหมือนกัน 55555 แล้วก็อิหยังวะ

    แล้วเมื่อไหร่ที่เรารู้สึก dissonance กับเรื่องราวเหล่านั้นเมื่อไหร่ ก็ขออย่าให้เปลี่ยนตัวเองไปเป็นคนแบบนั้นเพื่อให้ fit in กับคัลเจ้อองค์กร แต่ขอให้หางานใหม่ค่ะ don't lose your value while growing up ไม่งั้นสุดท้ายคนที่รู้สึกแย่ที่สุด ก็จะเป็นตัวเราเอง

    ลองหาองค์กรอื่นอยู่ดูค่ะ องค์กรที่หัวหน้า เพื่อนร่วมงานเห็นคุณค่าในตัวเรา มีคติการทำงาน หรือทัศนคติในหลาย ๆ เรื่องที่คล้ายกัน และสามารถทำงานร่วมกันได้ ลองหาองค์กรที่เข้ากับเราได้ดูค่ะ

    อย่าเปลี่ยนตัวเอง เพื่อเอาใจใครเลยนะคะ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่เราอยากเป็น become the best version of ourselves ดีกว่านะ เติบโตขึ้นเป็นคนที่เราอยากเป็นนะ ไม่ใช่คนที่องค์กรอยากให้เราเป็น

    5. Feminist

    จากที่ดู แฟนของจูลล์จะอยู่บ้านเลี้ยงลูก ก็คือเสียสละตัวเอง ลาออกจากงาน ออกมาดูแลลูก ถึงแว้บนึงเค้าจะคิดนอกใจก็เถอะ แต่จูลล์ก็ยังให้อภัย

    คำถามคือ ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงต้องรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า เมื่อเห็นจูลล์ประสบความสำเร็จ ในฐานะเจ้าของบริษัท เราว่าส่วนนึงมาจากสภาพสังคมที่หล่อหลอมให้ผู้ชายมีความคิดแบบนั้น ในแง่ของการเป็นเสาหลักครอบครัว ส่วนผู้หญิงจะต้องเป็นแม่บ้านอยู่ดูแลบ้าน เลี้ยงลูกไป ซึ่งเราเรียกความเฮงซวยของตรรกะตรงนี้ว่า toxic masculinity/ partriachy 

    ตอนแรกเราชอบผู้ชายคนนี้มากนะ เหมือนเค้าเสียสละตัวเอง แล้วก็เลือกครอบครัวก่อน แต่อีกแง่ก็ไม่ควรเอาความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจตรงนั้น ไปเลือกมีเล็กมีน้อย เพราะอยากให้ตัวเองรู้สึกว่าชั้นเป็นผู้ชาย

    แต่อีกแง่นึงที่เราว่าควรเอามาเป็น solution ให้กับเรื่องนี้ คือไม่ควรมีใครเสียสละอะไรเพื่อใคร อาจส่งน้องไปอยู่ เนอสเซอรี่ หรือให้พี่เลี้ยงมาดู หรือฝากไว้ที่บ้านพ่อแม่ของสักฝ่าย ถ้ามาคิดดูดี ๆ อาจมีทางออกที่ดีกว่านี้ก็ได้ ทางออกที่ไม่ทำให้ใครต้องลาออกจากงาน หรือทิ้งความฝันตัวเอง

    แต่คิดว่าหนังน่าจะ หรืออาจอยากนำเสนอประเด็นเรื่อง partriachy ในสังคมเข้ามาก็ได้ จริง ๆ ก็อยากให้มองในแง่ของความเท่าเทียม gender equality ที่ทุกคนก็คือเป็นคนเหมือนกัน เกิดมาเท่ากัน อาจมีบางเรื่องที่ทำได้ดี ทำได้ไม่ดีต่างกันไป แต่นั่นก็เป็นปัจเจก ไม่ควรเอามา stereotype ด้วยเรื่องเพศ

    ปัจจุบันหลาย ๆ องค์กรก็ให้ความสำคัญกับเรื่องเพศมากขึ้น เริ่มผลักดันให้ผู้หญิงขึ้นมามีบทบาทในฐานะผู้จัดการ หรือหัวหน้าฝ่าย สายงานมากขึ้น ไม่ถูกกีดกันเท่าแต่ก่อน รวมไปถึงมีการประท้วงเรื่องเงินเดือน ที่ถ้าสมมติอยู่ตำแหน่งเดียวกัน แต่ผู้ชายก็จะได้เงินเดือนเยอะกว่า อันนี้รู้สึกน่าจะเป็นข่าวที่เกาหลีนะ ไม่แน่ใจ 5555555

    แต่ !!! ทุกคนเป็นคนเท่ากันค่ะ อย่าน้อยใจเลยว่าทำไมชั้นเป็นเพศนี้ เพศนั้น แล้วมันยังไง สังคมหล่อหลอมให้เราคิดแบบนั้นก็จริง แต่เราเลิกคิดแบบนั้นได้นะ ให้มันเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ไปจุดประกายคนอื่นต่อ แบบนี้น่ารักกว่ากันตั้งเยอะเลยค่ะ

    .
    .
    .

    จบแย้วววว
    จริง ๆ เราก็เป็นมะนุดทำงานคนนึง พึ่งเรียนจบปี 2020 ที่ผ่านมาเองค่ะ 55555
    พึ่งลาออกด้วย รู้สึกเข้ากับ culture องค์กรไม่ค่อยได้
    แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองก็สูญเสียกำลังใจ แพสชั่น ความสดใส หรือนิสัยดี ๆ ของตัวเองไป
    ระหว่างที่ทำงาน และผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาค่ะ

    พอมาดูเรื่องนี้ก็รู้สึก admire ปู่เบนมาก ๆ
    เหมือนเค้าก็ทำเรา move นิดนึง ว่าก็อย่าลืมว่าอยากเป็นคนแบบไหน
    อย่าใส่ใจกับคำพูดคนมาก ซัพพอร์ตเพื่อนร่วมงาน can do attitude อะไรก็ว่าไป

    ถ้าใครที่กำลังสับสน หมดกำลังใจกับอะไรอยู่
    ถ้าเหนื่อยก็พักนะคะ นอนบ้างก็ได้ กินของอร่อย ๆ 
    เรามีคนเดียว เป็น limited edition เป็นสมบัติล้ำค่าของตัวเอง
    รักตัวเองมาก ๆ นะคะ
    :)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in