เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าระหว่างเดินทางThe Girl who never Be
35°41′N 139°46′E EP.04
  • DAY 10: ฟูจิซัง


                   เช้าวันสุดท้ายสำหรับวิทยาเขตอะสึงิด้วยอุณหภูมิประมาณ 12 องศา (หนาวกำลังดี) เช้านี้พวกเราเตรียมตัวกลับโตเกียว แต่ระหว่างทางกลับทางเซนเซจะพาพวกเราไปเที่ยวที่ภูเขาไฟฟูจิก่อน

    แค่จะบอกว่าคนตรงกลางน่ารักดี ฮ่าๆ
    วิวระหว่างทางไปภูเขาฟูจิ
    นี่คือสิ่งที่ฉันคิด
    และนี่คือสิ่งที่ฉันเจอ
    ไม่เห็นอะไรเลยจ้ะ พี่เมฆเล่นบังหมดภูเขาแบบนี้แล้วคนหวังจะดูหิมะตรงปากปล่องก็อดน่ะสิ นี้ไม่ใช่เส้นผมบังภูเขา แต่เป็นก้อนเมฆบังกลบภูเขา แต่โชคดีนิดหน่อยที่พอมีอากาศหนาวๆให้พอได้เดินเล่นชื่นใจ
    นี่หมอกนะ ไม่ใช่PM 2.5
    อาจารย์มาศ :)
    อาจารย์หมอยล :)
    ข้างบนนี้ก็จะมีวัดฟูจิซัง
              สำหรับคนที่เสี่ยงเซียมซีแล้วได้คำทำนายที่ไม่ดี ก็จะนำใบทำนายนั่นมาผูกไว้แบบนี้ จะไม่เอากลับติดตัวไป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีของเราด้วยแหละ ลองทายกันเล่นๆสิว่าใบไหนของเรา ฮ่าๆ
    ทำไมเหมือนป้ากับหลานเลยว่ะ555
               เอาจริงๆอากาศมันไม่ได้หนาวถึงขนาดต้องใส่เสื้อโค้ทหรอก ถ้าลองสังเกตคนอื่นๆดู คุณจะรู้ว่ามีแต่เราใส่โค้ทอยู่คนเดียว ก็นั่นแหละไหนๆก็ซื้อมาล่ะเลยใส่อย่าให้เสียเที่ยวเฉยๆ เดี๋ยวคนเลือกให้เค้าจะเสียใจเอา  ฮั่นแน่แอบยิ้มอยู่ล่ะสิ 555
    แม้จะไม่ได้เห็นยอดเขาฟูจิ แต่เราก็มีแพนเค้กรูปฟูจิซังกินแทน :)
    สามหน่อตะลอนฟูจิ

                     วันที่ 10 ของเราจึงจบลงด้วยการไปซดโซบะร้อนๆแถวหน้ามหาลัย และตบท้ายด้วยการซื้อแอปเปิ้ลฟูจิลูกละ 200 เยนมาล้างปากอีกที หวานฉ่ำอย่าบอกใครเลยล่ะ:)


    DAY 11: There is a rain in my free day.


                     หลังจากเรียนเหน็ดเหนื่อยมา 10 วัน วันนี้ก็ถึงวันพักผ่อนของเราเเล้ว ตามตารางแล้ววันนี้เป็นวันฟรีของเรา เราจะไปเที่ยวไหนก็ได้ตามใจเราได้เลย  แต่พอลองกางเเผนที่ดูแล้ว ลองวางแผนดูแล้ว ค่าความเสี่ยงที่คิดว่าจะหลงทางช่างสูงเหลือเกิน เราเลยตัดใจสินว่าให้เพื่อนญี่ปุ่นพาเที่ยวน่าจะดีกว่าการไปด้วยตนเองไหนๆแน่ ฉะนั้นพวกเราจึงเริ่มต้นที่แรกด้วย
    วัดเซ็นโซจิ อาซากุสะ

                พวกเราถือคติที่ว่าเริ่มต้นด้วยสถานที่ดีๆมีชัยไปแล้วกว่าครึ่ง เพราะหลังจากนี้เราจะไปเสี่ยงทายกันในคาสิโน่ที่ไหนสักแห่ง 555 อันนี้หยอกๆ พูดเล่นเฉยๆ
                  ถึงจะมาเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนที่วัดแต่ก็ใช่ว่าจะโชคดีนะ ดันโชคร้ายมากกว่า เพราะพอมาถึงวัดปุ๊ปฝนตกปั๊ปเลยจ้ะ เปียกปอนกันไปหมดทุกคน แล้วพวกเด็กไทยไม่ดูพยาการณ์อากาศก่อนมาเที่ยวไง เลยลำบากเพื่อนญี่ปุ่นต้องแบ่งร่มกันใช้อีก ความโรแมนติกมันอยู่กันตรงนี้แหละ คนสองคนใต้ร่มหนึ่งคัน ไหล่เบียดกัน ฟินเฟ่อร์ๆๆ มิตรภาพกำลังเบ่งบานสุดๆเลยโมเม้นต์นี้
    ก่อนเข้าวัด
    หลังออกจากวัด
    ที่จริงคือภาพเดียวกันแต่สลับกันถ่าย และปรับเเสงเฉยๆ

                      หลังจากซื้อเครื่องรางกันเสร็จพวกเราก็ไปกินเท็มปุระแถวๆหลังวัดกันต่อ เออลืมบอกไปว่าเครื่องรางที่นี้ก็มีนะแต่ไม่รู้ว่าขลังป่าว เราเลยลองซื้อเครื่องรางด้านความรักมา แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้มีแฟนจริงมั้ยนะ ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปอ่ะ แต่ตอนนี้คือเงียบมากกก สงสัยเครื่องรางไม่ทำงาน5555
    เพื่อนญี่ปุ่นที่จะพาเที่ยวในวันนี้ 

    เริ่มจากซ้ายสุดของรูปคือ "เหมา" เด็กจีนที่มาเรียนญี่ปุ่น 
                "เคนยะ" เด็กปี2 จากคณะเกษตร วิทยาเขตอาสึงิที่อุสานั่งรถไฟหนึ่งชั่วโมงมาโตเกียวเพื่อเที่ยวกับพวกเรา ซึ้งใจจริงๆ น้ำตาจิแชร์ขอไหล
                 "ทากะ" เด็กปี 2 จากคณะเกษตร วิทยาเขตอาสึงิเช่นกัน เป็นเพื่อนสนิทของเคนยะ สองคนนี้อยู่ห่างกันไม่ได้ ต้องตัวติดกันตลอดเวลา จนบางทีเราก็คิดว่า....เป็นป่าวนะ....
                 "ฟิล์ม" เด็กไทย ข้ามไป
                  คนที่ใส่หมวก "ร็อก" ที่จริงนางก็มีชื่อญี่ปุ่นแหละ แต่พวกเราดันเรียกชื่อนางกันไม่ได้ นางเลยให้พวกเราเรียกร็อกเเทน พี่แกอยู่ปี3 เห็นกระเป๋าที่พี่แกแบกมาป่ะ มันหนักมากเลยนะ เราก็ไม่เข้าใจว่าพี่แกจะแบกมาเที่ยวกับพวกเราด้วยทำไม และยังคงเป็นคำถามค้างคาใจจนถึงทุกวันนี้เช่นกัน
                  ส่วนคนที่ชูสองนิ้วใส่เสื้อสีแดงอยู่ข้างหลัง คือ ........เอ่อ คือ เราจำชื่อเขาไม่ได้อ่ะ 5555 ไม่ค่อยได้คุยกับเขาเลยลืม ฮื่ออ เราขอโทษนะ...
                      ส่วนนี่คือฮาสุกะ กับ โมฮีอา แต่จริงมีคารินอีกคนหนึ่ง อ๋อเเล้วก็มียูด้วย เป็นเพื่อนญี่ปุ่นที่เราสนิทมากสุดล่ะ 
    เด็กไทยสามคนที่จะเดินตามรอยเพื่อนญี่ปุ่นวันนี้ พี่ขวัญ กับน้องจูน และก็เรา ซึ่งมีอาจารย์อีก 2 คน และมีน้องเบ๊นซ์กับแป้งอีกนี้ด้วย รวมๆกันคนไทยคือ 7 คน

                   จากนั้นพวกเราก็ไปต่อด้วยเที่ยวย่านฮาราจูกุ แหล่งรวมช้อปปิ้งเกี่ยวกับการ์ตูนและคาเฟ่หมาชิบะหรือแมวต่างๆ ถัดจากซอยฮาราจูกุก็จะเจอสวนสาธารณะโยโยงิ (Yoyogi park) ซึ่งเป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโตเกียว ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฮาราจูกุและศาลเจ้าเมจิ ในเขตชิบูยะ     พวกเราเลยลองแวะกันไปเดินเล่นที่นั่นกันดู
    ประตูทางเข้าสวนสาธารณะโยโยงิ
    ภายในสวนจะพบกับต้นไม้ร่มรื่นมาก เอาจริงๆคือไม่ควรจะเป็นสวนสาธารณะอ่ะ ควรจะเป็นป่าได้เลย ต้นไม้ใหญ่มากและสูงมากเช่นกัน
                     เดินเข้ามาข้างในประมาณสัก 1 กิโลเมตรก็จะเจอกับวัดที่ตั้งอยู่ภายในสวนสาธารณะ ซึ่งวันนี้เราโชคดีมากได้เห็นพิธีแต่งงานเก่าแก่ของคนญี่ปุ่นภายในวัดพอดี 
    ชอบในความมีกิมมิญี่ปุ่นในขวดโค้ก
    ห้าแยกชิบูย่าที่ใครๆต่างก็พาถ่ายรูปกัน

             วันฟรีเดย์ของเราจึงจบลงด้วยการวิ่งสี่คูณร้อยเข้าหอพัก เพราะมัวแต่เที่ยวเพลินจนลืมเวลาหอปิด และที่สำคัญในระหว่างวิ่งวัดใจกับยามเฝ้าประตูหออยู่นั่น เราก็ได้ทำฝากล้องหายไปเช่นกัน ได้ยินเสียงมันตกน่ะแต่ไม่สามารถหันกลับไปเก็บได้จริงๆในวินาทีนั่น เป็นเศร้าเลยแม่ 

    ปล.ขนาดไปหาซื้อฝากล้องที่ร้าน Big camera ในญี่ปุ่นแล้วนะ ยังไม่มีขายเลย มาซื้อในถิ่นผลิตแท้ๆยังไม่มีขาย เลยต้องได้ซื้อจากเมืองเซินเจิ้นประเทศจีนแทน ปวดตับเลย

    ปล.2 ขอบคุณทุกคนที่ยังคงอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะ แล้วพบกันใหม่ EP.05 :)
    ปล.3 ที่จริงจะเขียน Day 12 ด้วยนั่นแหละ แต่ดันอัพรูปภาพไม่ได้        
    เลยคิดว่าจะยกไปเขียนอีพีหน้าเลยแล้วกัน 
    แล้วเจอกันนะ ^^

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in