เฮ้อ พูดถึงแล้วเศร้า จะไม่ได้กินอีกแล้วใช่ไหม

แต่ก่อนออกจากโรงพยาบาล (13/09/2019) นักโภชนาการมาคุยด้วยว่าเรากินอะไรได้บ้างโดยสอบถามนิสัยการกินของเราก่อน จากที่ร้องไห้แทบตาย พอคุยกันจริงๆ ถึงรู้ว่าแค่ปรับจากอาหารที่เราเคยกิน บางอย่างงด แต่บางอย่างลด และถ้าเลือกกินบางอย่าง ก็ต้องงดอีกอย่าง

เช่น มื้อเช้า จากที่เคยกินหมูปิ้งสี่ไม้ ข้าวเหนียวสอง ขอปรับลดข้าวเหนียวเหลือหนึ่ง และถ้าเป็นไปได้ กินข้าวกล้องดีกว่า เพราะน้ำตาลที่ได้จากข้าวเหนียวนั้นร่างกายดูดซึมเร็วที่สุดในบรรดาข้าวทั้งหมด จะทำให้น้ำตาลขึ้นเร็ว

มื้อกลางวันกินข้าวกล่องที่บริษัทจัดให้ได้ เลือกกล่องที่มีผัก และถ้าไม่อิ่ม ให้กินผลไม้แทนขนมหรือลูกชิ้นแบบที่เคยกิน โดยให้เว้นช่วงไปสักสองชั่วโมง กินสักบ่ายสาม ไม่กินทันที ป้องกันไม่ให้น้ำตาลเร็ว

มื้อเย็น ปกติเรากินข้าวสามถ้วย ตกลงกันว่าให้ลดเหลือสองถ้วยก่อน ค่อยเป็นค่อยไป กับข้าวไม่ต้องจืดก็ได้ กินเผ็ดหรือเปรี้ยวได้ พวกยำหรือต้มยำที่ใส่สมุนไพร แต่ต้องลดเค็มหวาน (เค็มจัดทำให้ความดันสูง) เน้นผักเยอะๆ

อาจารย์หมอแนะนำเพิ่มเติมว่าให้แบ่งกินทีละสองชั่วโมง ข้าวเช้ากินแปดโมง แบ่งกินอีกทีสิบโมง ข้าวเที่ยงกินแต่น้อย บ่ายสามกินผลไม้ครึ่งลูก มื้อเย็นกินข้าวน้อยๆ ผักเยอะๆ ค่ำหน่อยถ้าหิวดื่มนมถั่วเหลืองหวานน้อยหรือไม่หวานเลย แบ่งกินทีละนิดน้ำตาลจะได้ไม่ขึ้นทีเดียว และต้องไม่งดข้าวเพราะเรากินยาลดน้ำตาลด้วย ถ้างดข้าวน้ำตาลจะตก

ฟังแล้วเลยเก็ตว่า อ้าว ไม่ต้องอดของชอบนี่หว่า อาจจะกินเยอะๆ จนสะใจเท่าแต่ก่อนไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังได้กิน จะไก่ทอด หมูกรอบ หรือแซลมอนก็ได้หมด แต่ให้หมั่นนึกถึงน้ำตาล เกลือ และไขมันเข้าไว้

ก่อนคุยจบเราถามนักโภชนาการเรื่องยาคูลท์ เป็นสาวถ่ายยาก บางทีก็ต้องพึ่งยาคูลท์ นักโภชนาการหัวเราะเลย ไอ้เราก็นึกว่ากินได้ สบ๊าย ที่ไหนได้ กลับได้คำตอบว่า กินก็ได้นะ แต่ต้องลดข้าวลงอีกครึ่ง เพราะนมเปรี้ยวมีน้ำตาลสูง ก็เลือกเอาว่าจะกินข้าวหรือยาคูลท์

แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม

สาวอ้วนอย่างเราก็ต้องเลือกข้าวน่ะสิ

อดยาคูลท์ยังพอได้ แต่อดข้าวมีขาดใจแน่นอน