เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
WHAT NAMFA WATCHEDwhatnamfathinks
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน #น้ามฟ้าดู : รีวิว The Godfather (1972)
  • *  DISCLAIMERS 
     -  รีวิวนี้เป็นรีวิวเวอร์ชันของคนที่อ่านนิยายมาแล้วนิดหน่อย และยังไม่จบแม้แต่ภาคหนึ่งในหนังสือ (ดองไว้เพราะมีเล่มอื่นมาแทรกก่อน 5555555) ดังนั้นถ้าเกิดวิเคราะห์อะไรไปแบบงง ๆ ไม่ได้เป๊ะ ๆ เหมือนกับในนิยายก็ขอโทษด้วยนะคะ (แต่รีวิวนิยายจะตามมาแน่นอน เพราะยังไงก็จะอ่าน ! ) 
    -  หลาย ๆ บรรทัดด้านล่างบทความนี้นี้จะเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์นะคะ เดี๋ยวจะมีเตือนไว้ให้อีกที ใครใครอ่านอ่านได้เลย ส่วนใครไม่ชอบ อย่าลืมเลื่อนผ่าน !  แต่คิดว่าคงไม่ทำให้เซ็งขนาดนั้นหรอกเนอะ ((มั้ง)) 

    หมดแล้ว ๆๆ มาเริ่มรีวิวกันดีกว่า !!!


    ภาพยนตร์ The Godfather เรื่องนี้มาจากนวนิยายชื่อดังเรื่องหนึ่งของนักเขียน Mario Puzo ซึ่งตัว    ภาพยนตร์เนี่ย จะมีออกมาเป็น trilogy ก็คือมีสามภาคนั่นเอง (อีกสองภาคคือ The Godfather Part II กับ III) โดยบทความรีวิวอันนี้จะรีวิวแค่เฉพาะภาคแรกเท่านั้นนะคะ เป็น The Godfather ของปี 1972 นะ ยังไม่มีภาคสองและภาคสามน้า 

    The Godfather (ในความคิดเห็นของเรา) เป็นภาพยนตร์แนว drama, romantic แล้วก็ปน action หน่อย ๆ ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าออฟฟิเชียลเขาเรียกกันแบบนี้ไหม แต่สำหรับเราคือมันค่อนข้างจะดราม่าเลยแหละ ต้องบอกว่าเป็นดราม่าในครอบครัว แล้วก็หนังชิงไหวชิงพริบ ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เป็นหนังฟีล ๆ เดียวกับพวกเจ้าพ่อ แก๊งมาเฟีย อะไรแบบนี้ละกัน ถ้าจะให้นิยามแบบพูดเข้าใจง่าย ๆ ก็คงต้องเลือกใช้คำว่า "หนังมาเฟีย" น่าจะเป็นคำที่อธิบายเรื่องนี้ได้ง่ายที่สุดละ 

    พูดกันตรง ๆ เราไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้มันถูกหรือผิดศีลธรรมมากแค่ไหน แต่คือก็นะ มันมาจากนิยายอะ ละนิยายก็คือ fiction เป็นสิ่งที่ถูกแต่งขึ้นมา ดังนั้นผู้เขียนก็มีสิทธิ์ที่จะเขียนอะไรสีเทา ๆ ออกมาได้ตามใจชอบอะเนอะ ตราบใดที่มันไม่เลวร้ายเกินนนนนนไปจริง ๆ ดังนั้นใครที่รับไม่ได้กับความฆ่าคนเป็นผักปลาตั่งต่าง หรือรู้สึกว่ามันขัดกับจารีต ขัดกับกฎหมายบ้านเมืองมาก ๆ เราแนะนำให้ปิดไปเลยดีกว่า เพราะดูแล้วอาจจะมีหงุดหงิด แต่เราว่าทุกตัวละครก็มีเหตุผลของตัวเองนั่นล่ะ
  • เรื่องย่อคร่าว ๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวมาเฟียครอบครัวหนึ่ง ชื่อตระกูลว่า "คอร์เลโอเน" (Corleone) เป็นชาวอิตาเลียนที่อพยพมาตั้งรกรากที่ประเทศอเมริกา และก็แผ่อำนาจ ขยายอิทธิพลออกไป เป็นหนึ่งในแก๊งมาเฟียที่มีอำนาจค่อนข้างมากพอตัว

    สำหรับตอนนี้ คนที่เป็นหัวหน้าใหญ่สุด มีอำนาจสั่งการและคนเกรงขามมากที่สุด ก็คือ Don Vito Corleone (Marlon Brando) เป็นเสมือนที่พึ่งของคนมากหน้าหลายตา เรียกได้ว่ามี power สุด ๆ คอนเนคชั่นก็เยอะแยะ คนมาพึ่งพาอาศัยเยอะจนมีอีกชื่อ (หรือถูกยกย่อง) ว่าเป็น The Godfather นั่นเอง ดอนเนี่ย มีภรรยา แล้วก็มีลูกทั้งหมด 4 คน - ซานติโน (ซอนนี่ / ซันนี่), เฟรโด, คอนนี่ แล้วก็ไมเคิล     คอร์เลโอเนจะมีทนายประจำตระกูล ซึ่งก็เหมือนเป็นตัวแทนของดอน คอยสะสางธุระให้ ชื่อว่า Tom Hagen (Robert Duvall) หรือตำแหน่งหน้าที่ที่คนในวงการเรียกกันจะมีชื่อว่า คอนซีลโยรี ก็คงเหมือนคำว่า counselor ในภาษาอังกฤษอะนะ และดอนก็จะมีลูกน้องต่อไปเป็นทอด ๆ อีกหลายคนมาก เวลามีเรื่องแล้วจะสาวถึงตัวดอน ก็เลยอาจจะยากหน่อย แบบลองนึกภาพแก๊งมาเฟียใหญ่ ๆ มีลูกหลายคน แถมลูกน้องอีกเป็นเบือ นั่นแหละ ดอนคือ big boss ณ ตอนนี้เลย


    ถ้าถามว่าเรื่องราวต่าง ๆ ในภาคนี้มีประมาณกี่เรื่อง เราตอบได้เลยว่ามีประมาณล้านแปดเรื่อง เอาดี ๆ คือมันมีประเด็นเยอะแยะมากมายก่ายกองสุด ๆ ตั้งแต่เรื่องที่งานแต่งงานของคอนนี่ ลูกสาวของดอน ไปจนถึงเรื่องยาเสพติดของซอลลอสโซที่ร่วมมือกับตาตาเลีย, คาร์โล สามีของคอนนี่,  การเริ่มก้าวเข้าสู่หน้าที่ที่ไมเคิลจำเป็นต้องทำ, เทสซิโอ, บาร์ซินี่ เนี่ยยยยย นี่คือเราจิ้มมาให้แบบคร่าว ๆ แล้วนะ ยังไม่หมดเลย เอาเป็นว่าตรงนี้จะไม่สปอยล์ ไม่งั้นมันจะละเอียดเกินไป ต้องไปดูเอง เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์มีความเชื่อมโยงกัน ทุก ๆ บทพูดมีนัยยะในตัวมันเอง และตัวละครทุกตัวที่โผล่หน้ามาก็มีความสำคัญ จริง ๆ รับประกัน ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
  • มาพูดถึงบทวิเคราะห์กันดีกว่า จากที่เราได้บอกไปข้างต้นแล้วว่า ภาพยนตร์ (ที่สร้างมาจากนิยายในชื่อเดียวกัน) เรื่องนี้เนี่ย มันเป็นสีเทาใช่ไหม ซึ่งมันก็เป็นสีเทาจริง ๆ 555555555 ด้วยความเป็นหนังมาเฟีย หนังที่ต้องมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับธุรกิจ การพนัน ยาเสพติด การซ้อม การฆ่ากัน อะไรแบบเนี้ย คือมันหนีไม่พ้นความเป็นสีเทา ๆ อยู่แล้ว เอาจริง ๆ สำหรับเรามันไม่ได้รุนแรงอะไรขนาดนั้น แต่บางคนที่ไม่ชอบก็คือไม่ชอบจริง ๆ เลยอยากย้ำไว้เฉย ๆ 

    สำหรับเราแล้ว ตัวละครดอน คอร์ลีโอเน เป็นทั้งที่พึ่งและ vigilante หรือก็ที่เรียกว่า "ศาลเตี้ย" นั่นแหละ เนื่องจากดอนมีบุคลิกสุขุมดูน่าเกรงขาม และผ่านอะไรมามากมายนัก ดอนก็ยิ่งสะสมอะไรไว้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นทั้งประสบการณ์ ลูกน้อง หรืออำนาจ คนต่างก็ให้ความเคารพยำเกรงเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ เวลาคนไหนเจอความไม่ยุติธรรมในชีวิต คนคนนั้นก็จะมาขอให้ดอนช่วยจัดการให้ได้ แต่ต้องแลกมาด้วยมิตรไมตรีที่จะมีให้กันเสมอ ซึ่งคนบางคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากดอน ก็จะมาในฐานะก๊อดซัน (godson) อย่างเช่นจอห์นนี่ ฟอนเทนเป็นต้น (เป็นตัวละครที่เป็นดาราคนหนึ่งในภาพยนตร์)


    ประโยคประจำตัวที่ดอนมักจะพูดเสมอเมื่อมีคนมาขอความช่วยเหลือ คือ I'll make him an offer  he can't refuse. (ฉันจะให้ข้อเสนอที่เขาปฏิเสธไม่ได้) แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีอำนาจอยู่ในมืออย่างเหลือล้นจริง ๆ และถ้าจะมีใครทำไม่ดีต่อเขา หรือทำไม่ดีต่อคนที่เป็นมิตรไมตรีของเขา ดอนก็จะตอบกลับคนเหล่านั้นไปด้วยความเลวร้ายเช่นกัน คือดีมาดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับ ประมาณนี้แหละ แล้วที่บอกว่าทำไมดอนถึงเป็นศาลเตี้ยด้วย อันนี้ก็ต้องลองไปดูกันเองอะนะ ว่าในเมื่อกระบวนการยุติธรรมมันให้ความยุติธรรมกับเราไม่ได้ เราก็ต้องหันหน้าไปพึ่งก๊อดฟาเธอร์เนี่ยล่ะ

    ดอนเป็นคนที่มีสมองมาก ๆ คนหนึ่งในเรื่องตามความคิดเห็นของเรา ไม่แน่ใจว่าระหว่างดอนกับไมเคิล (ลูกชายคนเล็ก) ใครที่เป็นจอมวางแผนมากกว่ากัน แต่ก็สูสี นักแสดงมาร์ลอน แบรนโด คือสมบทบาทมากจริง ๆ ให้ความรู้สึกว่าเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟีย เป็น Godfather ที่ดูน่าเคารพและน่าเกรงขามมาก ๆๆ พูดน้อย แต่ทำจริงเสมอ เอาจริงเอาจัง รักครอบครัว ไม่ใจร้อน เนี่ยล่ะคือข้อดีของดอน คอร์เลโอเน

  • คนต่อไปที่เราอยากจะพูดถึง ก็คือ Michael Corleone (Al Pacino) ลูกชายคนเล็กของตระกูลนี้ ไมเคิลเป็นคนที่ไม่เคยฝักใฝ่อยากจะทำหน้าที่สืบทอดตำแหน่งก๊อดฟาเธอร์และธุรกิจของพ่อตนเลย เขาเลยไปเรียนนาวิกโยธิน และไม่อยากจะยุ่งกับธุรกิจรวมถึงเครือข่ายของที่บ้านเท่าไหร่นัก แต่พอเมื่อถึงงานแต่งงานของคอนนี่ พี่สาวของเจ้าตัว เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เริ่มขึ้น วุ่นวายและอีรุงตุงนังมากขึ้น ทำให้วันหนึ่งไมเคิลนี่ล่ะ ก็จะต้องก้าวมาเป็น The Godfather คนต่อไป 


    ไมเคิลเป็นคนที่สุขุม นุ่มลึก และใจเย็น ผิดกับพี่ชายคนโตอย่างซานติโนที่ใจร้อน โผงผาง อยากจะลุกไปซ้อมใครก็จะไปมันเดี๋ยวนั้น และข้อเสียข้อนี้นี่ล่ะที่จะทำให้ซานติโนพลาดพลั้ง เมื่อเทียบกันแล้ว ไมเคิลเป็นคนที่ใจเย็น และช่างวางแผนมาก มาก มาก มากกกกก ๆๆๆๆๆๆๆ ในบางครั้งอาจดูโหดกว่าพ่อของตัวเองอย่างดอนด้วยซ้ำไป (แต่ถ้าใครดูก็จะรู้เองว่าไมเคิลต้องโหดขนาดนี้เพราะอะไร) เราชอบที่เค้าเป็นคนไม่โผงผางอะ คือมันอาจจะดูน่ากลัวในแง่เชิงว่าแบบ เราไม่รู้เลยว่าคนคนนี้คือคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงทำแบบนี้ เก็บคนนี้ไว้ข้างตัวทำไม แต่ไอ้การเป็นคนนิ่งเฉย ไม่ขี้โวยวาย ช่างวางแผนแบบนี้เนี่ย มันก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของคนที่จะเป็นหัวหน้าของคนจำนวนมากนะ บางคนอาจจะบอกว่าไมเคิลเลือดเย็นไปหน่อยในบางเรื่อง แต่ถ้าเป็นเราละโดนแบบที่ไมเคิลโดน ผลลัพธ์ก็คงออกมาคล้าย ๆ กันนะ 5555555 แถมอาจจะไม่เนี้ยบเท่านางอีก มีคนบอกว่าในนิยายนางจะดูมีความเป็นมนุษย์มากกว่าในหนัง แต่เอาจริงเราว่าไมเคิลก็ไม่ได้โหดบ้าโหดบออะไรขนาดนั้นหรอก แต่คนที่ฉลาดมักจะดูน่ากลัวอย่างนี้เป็นปกติแหละ ไมเคิลเป็นตัวละครที่เราชอบที่สุดในเรื่องแล้ว (และชอบหน้าอัลปาชิโนมากด้วย หล่อ 555555) เค้ามีสมองจริง ๆ แถมสุขุมสุด ๆ ด้วย ไม่ชมไม่ได้จริง ๆ ค่ะคุณพี่
  • เวิ่นเรื่องตัวละครเด่น ๆ (ที่จริง ๆ อยากเวิ่นอีกให้ครบทุกคน) ก็กลัวมันจะยาวเกินไป เพราะแค่นี้ก็ยาวจะตายละ 555555 ขอมาพูดเรื่องพล็อตบ้างละกัน ตรงนี้ยังไม่สปอยล์เนอะ งั้นขอแค่วิจารณ์เฉย ๆ กรุบกริบพอเป็นพิธี 

    สืบเนื่องจากบรรทัดด้านบนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังมาเฟีย (ที่มีดราม่า โรแมนติก และแอคชั่น) ก็คือเป็นตามนั้นจริง ๆ เราว่ามันมีดราม่าของเรื่องภายในครอบครัว แล้วก็การอยากได้อำนาจกันและกันจนนำไปสู่การเข่นฆ่า ซึ่งเกือบทั้งเรื่องเลยเนี่ย จะถูกดำเนินเรื่องโดยผู้ชายไปแล้วประมาณ 99.9% คือด้วยความที่มันเป็นหนังมาเฟีย ซึ่งมาเฟียเนี่ยก็จะเห็นชัด ๆ ว่ามัน patriarchy (ชายเป็นใหญ่) อยู่แล้ว ดังนั้นผู้หญิงก็จะไม่ค่อยมีบทบาทในเรื่องนี้มากนัก เป็นแค่ตัวละครที่ใส่มาให้บางคนในเรื่องมีจุดเปลี่ยนเฉย ๆ ด้วยความที่มันเก่าจริง ๆ (นิยายเรื่องนี้เขียนในปี 1969 เราว่าผู้เขียนอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไร ส่วนตัวหนังก็ปี 1972 ใช่ไหมล่ะ เก่าแล้วง่ะ) และ condition ของเนื้อเรื่องก็ไม่เอื้อให้ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญ ๆ เลยด้วย ดังนั้นได้โปรดปลงและมองข้ามเรื่องนี้ไปแล้วกันนะคะ 


  • ตัวเนื้อเรื่อง เราว่าเรื่องนี้วางพล็อตมาได้ดีมาก นักเขียน คนเขียนบท รวมถึงผู้กำกับภาพยนตร์คือทำเรื่องออกมาได้สนุกอะ สำหรับการเดินเรื่องแล้ว ตามประสาหนังเก่า ๆ มันอาจจะไม่เร้าใจ หรือตัดเรื่องฉับ ๆๆๆ แบบหนังสมัยใหม่ แถมดนตรีประกอบฉากแอคชั่นหรือฉากที่ต้องลุ้น ต้องตื่นเต้นก็ไม่ค่อยจะมี แต่มันกลับออกมาวิเศษอะ หนึ่งคือมันไม่มีจุดให้ยืดยาด แม้จะดูไม่แบบฟึ่บฟั่บ ๆๆๆ แบบหนังสมัยนี้ สองคือเนื้อเรื่องเชื่อมต่อกันดี อย่างที่เราบอกไปว่าทุกเหตุการณ์มีความสำคัญ ตัวละครทุกตัวก็มีเหตุผลของเขา บทพูดที่ถ้าตั้งใจฟังก็จะอินไปกับมันมาก ๆๆๆ รวม ๆ คือเราชอบมากกกกจริง ๆ 


    นอกจากนี้บรรยากาศของหนังก็ยังทำให้เราอินได้ง่ายด้วยอะ เหมือนเรากำลังศึกษาชีวิตมาเฟียแก๊งนึงที่มีตัวตนจริง ๆ พูดไว้ตรงนี้เลยว่ามันดีมาก ใครแพ้ทางหนังเงียบ ๆ (เพราะดูแล้วง่วง) เรายังอยากแนะนำเลยอะ ลองตั้งใจดูสักครั้ง มันจะมีอะไรมากกว่ามาเฟียเขม่นแล้วฆ่ากัน คนนั้นแค้นคนนี้เลยอยากฆ่าทิิ้ง ตู้ม ๆๆๆ อะไรแบบนี้จริง ๆ 

  • *

     เนื้อหาต่อไปนี้ที่ทุกท่านกำลังจะได้อ่าน มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ ใครไม่อยากอ่านสปอยล์ ขอความกรุณาปัดข้ามไปจนกว่าจะสิ้นสุดเขตสปอยล์ค่ะ *

    ต่อจากนี้เป็นแค่ฉากที่เราชอบเฉย ๆ แค่อยากมาเล่าสู่กันฟัง อันไหนไม่มีรูปประกอบก็ให้อภัยกันเนอะ netflix มันแคปหน้าจอไม่ได้อะค่า ฮือ (ไม่จัดอันดับละกันนะ นึกอันไหนออกเราก็จะใส่ไว้) 

    1. ฉากที่ดอน คอร์เลโอเน คุยกับไมเคิลและเล่นกับหลานชาย (ลูกของไมเคิล) ที่บริเวณสวนหลังบ้าน เรารู้สึกเหมือนดอนได้พักผ่อนอะ แบบ ใช้เวลาคุยกับลูกชาย (ถึงจะไม่พ้นเรื่องงาน) ใช้เวลาเล่นกับหลาน ไอ้ที่เล่นกับหลานนี่น่ารักมาก มากจริง ๆ แบบทัชใจมาก ใครเฉย ๆ แต่เราน้ำตาไหลของจริง 5555555 ไหลเพราะอะไรก็ต้องไปดูแระ เค้าบอกว่า ไม่พูดดีก่า

  • 2. ฉากที่ไมเคิลคุยกับคาร์โลตอนท้าย ๆ เรื่อง เราชอบความใจเย็นและสุขุมของไมเคิลมาก กับการค่อย ๆ ตะล่อมให้อีกฝ่ายสารภาพความจริงออกมา แบบต้อนจนจนมุม ละก็แบบใจเย็น ๆ นะ ชั้นไม่ฆ่าแกหรอก ชั้นจะให้คอนนี่กลายเป็นหม้ายได้ไง ต่าง ๆ นานาจนคาร์โลก็สารภาพมาจนได้ว่านางทำงานให้ใคร ไมเคิลก็สัญญาดิบดีว่าจะให้บินไปลาสเวกัส ไปอยู่ที่อื่นซะ อย่ามาวุ่นวายอีก คาร์โลนางก็เดินหงอย ๆ ไปขึ้นรถ ในใจคงแบบ เห้ย อย่างน้อยเราก็ไม่ตายวะ สรุปพอขึ้นรถไปก็ นั่นแหละ รูัเรื่องค้าบ เนี่ย ชอบความโหดของไมเคิลมากที่ทำให้ศัตรูตายใจ ปล่อยให้ทำงานด้วยมาเป็นปี ๆ ให้ไว้ใจจนวินาทีสุดท้าย แต่ก็ยังไม่รอดอยู่ดีอะ โอ๊ยยยยย ผู้ชายคนนี้ จะให้ไม่ชอบได้ยังไงกันล่ะคะ ฉลาดจนใจสั่น ?

    3. ฉากที่ไมเคิลไปพิธี Baptism ของลูกคอนนี่ และตัวเองก็รับเป็นก๊อดฟาเธอร์ของหลาน ในระหว่างที่กำลังทำพิธีอยู่ในโบสถ์ ฉากก็จะตัดระหว่างตัวพิธีกับบรรดาลูกน้องของไมเคิลที่กำลังเตรียมไปเก็บคนที่ไมเคิลสั่งให้ไปฆ่าทิ้ง เสียงสวดก็ดำเนินต่อไป สลับกับเด็กทารก และสลับไปใบหน้าของไมเคิล ขณะที่บาทหลวงถามไมเคิลว่าคุณเชื่อในพระเจ้าไหม ไมเคิลก็ตอบว่า I do. (ผมเชื่อ) และคนที่โดนไมเคิลสั่งฆ่าต่างก็ล้มตายไปทีละคน ๆ - เราชอบการสลับฉากไปมาแบบนี้ เหมือนเป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้เบื้องหน้าจะดูเป็นคนที่นิ่ง สุขุม แต่ในใจกลับมีอะไรเต็มไปหมดอะ เป็นเบื้องหลังความตายของใครหลาย ๆ คน และล้อกับศาสนาด้วย เป็นเชิงแบบ นับถือพระเจ้า ไม่ศรัทธาซาตาน ภาพลักษณ์ดูดี น่าเคารพ แต่ตัวเองก็สั่งฆ่าคนอื่นอะ ตรงนี้คือหนังสื่อออกมาได้ดีมาก ๆๆๆๆๆ พิมพ์ไปตัวบิดไป เราชอบตรงนี้มาก ๆๆๆ จริง ๆ ให้อวยอีกสิบบรรทัดก็ได้ ฮือ 

                        (รูปไม่เกี่ยวแต่อยากแปะเพราะชอบไมเคิลมาก)
  • 4. ฉากท้ายสุดเลยที่พอไมเคิลคุยกับเคย์เสร็จ เคย์ก็เดินออกมาจากห้อง แล้วบรรดาลูกน้องก็พากันเดินเข้าไปในห้องทำงานของไมเคิล และเข้าไปจุมพิตที่มือของเขา เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและจงรักภักดีต่อ Godfather คนใหม่ - เราชอบฉากนี้เพราะมันดูอิมแพคมาก แบบไมเคิลดูทรงอำนาจมาก ๆ และได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงอะ บวกกับสีหน้าของเคย์ที่เป็นกังวลก็เข้ากับบริบท ณ ตอนนั้นอย่างไม่มี    ที่ติ ฉากนี้อิมแพคสุด ๆ


    จริง ๆ ยังมีฉากยิบฉากย่อยอีก เช่น ฉากม้าสุดรักของแจ็ค วอลซ์ ฉากที่ไมเคิลจะต้องยิง 2 คนนั้น (ไม่บอกว่าใคร) และต้องรอเสียงรถไฟให้ผ่านมาก่อน จะได้ช่วยกลบเสียงปืน เราชอบความละเอียดและความใส่ใจอะไรแบบนี้มาก ๆ สุดฟิน และก็ฉากอื่น ๆ อีกมากมาย เอาเป็นว่าจบสปอยล์ตรงนี้ละกันนะคะ เดี๋ยวมันจะเลยเถิด แต่คือดีจริง ๆๆๆ แบบ โอย ไปดูเถอะนะ

    สิ้นสุดเขตสปอยล์ค่ะ

    *
  • มาถึงส่วนสุดท้ายของรีวิวกันละ เราเล่า (พิมพ์) เรื่องราวคร่าว ๆ ของหนังไปแล้ว แล้วก็สปอยล์บางฉากไปแล้วด้วยเพราะประทับใจมาก อันนี้ถือเป็นบทสรุปของรีวิวนี้ละกันเนอะ 

    เอาจริง ๆ เราไม่รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีความจรรโลงใจมากแค่ไหน เพราะเราไม่แน่ใจว่านิยามของคำว่าจรรโลงใจคืออะไร ใครหลาย ๆ คนอาจจะมองว่าหนังเรื่องนี้ก็เป็นแค่เรื่องราวของมาเฟียผู้มีอิทธิพล ที่พบเจอเรื่องต่าง ๆ มากมายหลากหลาย นำไปสู่ความทรมาน ความเจ็บปวด ความตาย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับเราแล้วเดอะก๊อดฟาเธอร์มีอะไรมากกว่านั้น ถ้าลองมองให้ลึกลงไป แม้แต่ฉากบางฉากที่ดูไม่สลักสำคัญอะไร ถ้าตั้งใจดูสักหน่อย ก็จะเห็นเรื่องราวที่ร้อยเรียงอยู่ในนั้น เรา appreciate มากกับความละเอียดอ่อนของภาพยนตร์ที่ไม่ดาษดื่นจนน่าเบื่อ, อย่างที่เราบอกไป ทุกอย่างในเรื่องนี้มีความสำคัญจริง ๆ และมันก็ทำให้หนังเรื่องนี้ออกมามีเสน่ห์อย่างคาดไม่ถึง

    ในด้านของเนื้อหา เราว่า The Godfather เป็นภาพยนตร์เน้นหนักไปที่ชีวิตของมาเฟียและตัวละครเด่น ๆ ไม่กี่คน เหตุผลที่เขาต้องกระทำบางสิ่งบางอย่าง และผลที่เขาจะต้องได้รับ การวางแผน การใช้ชีวิตอย่างไรเพื่อให้ตนเป็นใหญ่และอยู่รอด ความเน่าเฟะของกระบวนการยุติธรรมที่ฝังรากลึกมานาน มุมมืดและความสกปรกโสโครกของการใช้อำนาจในทางที่ผิด ความรักที่คละเคล้าปนไปกับความขมขื่น ฉากเข่นฆ่า เลือด และความตาย ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราอยากจะพูดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ มันอาจจะไม่ได้ดูสวยงามและบันเทิงใจนัก แต่เชื่อเถอะว่าหนังให้อะไรเรามากกว่าแก๊งมาเฟียฆ่ากันจริง ๆ quote หลาย ๆ อันก็ยังตราตรึงใจเราอยู่ ทั้งของดอน ไมเคิล หรือใครก็แล้วแต่ มันมีคุณค่าจริง ๆ นะ 


    นอกจากนี้แล้ว เดอะก๊อดฟาเธอร์ยังเป็นภาพยนตร์ที่นิ่ง สง่างาม และมีความคลาสสิคมาก สีของหนังทำให้เราสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเก่า ๆ ช่วงปี 1940-1950 ของประเทศอเมริกาได้อย่างสมบูรณ์แบบ และความ "คลาสสิค" ที่ว่านี่ล่ะ ที่ทำให้เรานับถือมันมาก เราไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกสุดในบรรดา "หนังมาเฟีย" ทั้งหลายเลยหรือเปล่า แต่ความดีงาม (และความปัง) ของเรื่องนี้เนี่ยแหละที่ทำให้เรารู้สึกว่า The Godfather สมควรเป็นต้นแบบให้หนังมาเฟียหลาย ๆ เรื่องอย่างแท้จริง 

    เราไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ จะชอบหนังเรื่องนี้ขนาดเราไหม เพราะหลายคนก็ดูออกจะเฉย ๆ 5555555 แต่ตัวเราคือประทับใจมาก และชอบมากจริง ๆ เข้าขั้นติ่งเลยก็ว่าได้ ยังไงก็จะไปดูให้หมดทั้งสามภาคและอ่านนิยายจนจบแน่นอน - The Godfather มีอะไรมากกว่ามาเฟียฆ่ากันจริง ๆ (คนอ่าน : ย้ำไปประมาณล้านรอบแล้ว) ไม่อยากให้ทุกคนพลาดสิ่งดี ๆ รีบกดเข้า Netflix ไปดูกันเถอะค่ะ โฆษณาสุด ๆ แล้ว ! 




                   Revenge is a dish best served cold.  
             การแก้แค้นเป็นอาหารที่มีรสดีที่สุด เมื่อมันเย็นแล้ว





    คะแนน IMDb : 9.2/10 (สูงปรี๊ด สูงกว่า Batman The Dark Knight อีกนะ เตงอย่าหาว่าเราอวยเบย)
    คะแนนนฟ : 9/10 (ไม่ให้ 9.5 เดี๋ยวจะเวอร์ 55555555)

    ป.ล. Theme song ของเรื่อง เพลง Speak Softly Love (ร้องโดย Andy Williams) คือหนึ่งในข้อดีของภาพยนตร์ที่เราอยากจะอวยอีกข้อเลย เราชอบมากกกกก เนื้อเพลงสวย ดนตรีเพราะ และยิ่งใหญ่สุด ๆๆๆ ทุกวันเนี้ยคือฟังสามเวลาหลังอาหารละ อะแปะ ๆๆ ลองกดฟังสักนิดเผื่อติดใจ


    ป.ล. 2 อวยขนาดนี้แล้วจะรออะไรล่ะค้าบ รีบไปดูกันเร็ว ไปค่ะ !!! 


    #น้ามฟ้าดู
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in