เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
01000010.zipTinglee
Finding Missing Pieces (lee juyeon x kevin moon)


  • OS— finding missing pieces

    lee juyeon x kevin moon

    bgm ขอ – LOMOSONIC https://youtu.be/tUuqWFExZgY

    note: ความจริงน้องเป็น os แชทสั้นๆ มาก่อนค่ะ เพราะความคิดในตอนนั้นมันน้อยนิดและมาไวไปไวมาก เราเลยแต่งเป็นแชทไว้แบบเร็วๆ พอได้สติก็เลยอยากมาเพิ่มรายละเอียดให้ชัดมากขึ้น สามารถอ่านที่มาและความสำคัญได้ที่นี่เลยค่ะ กดจึ้ก ☞︎︎︎ https://www.readawrite.com/c/51103069a334c7c640d25c400afe21ab

    อีกเรื่องคือโลเคชั่นเป็นประเทศไทยแต่ลืมคิดชื่อไทยให้ทั้งสองคนค่ะ /ทึ้งหัวตัวเอง อาจจะทำให้ความรู้สึกตอนอ่านแปลกๆ ไป ขอโทษด้วยนะคะ




    เรา,

    เลิกกันเพราะอะไรนะ





    (พี่ อยู่ไหนเนี่ย)

    ฮะ-

    พี่มาออกกองที่สัตหีบอะ

    (ไม่เห็นบอก)

    บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?

    (มั่วแล้วพี่ ล่าสุดที่บอกคือฟิตติ้งชุดนะ)

    อ้าวเหรอ-

    ขอโทษนะ พี่คงลืมไป

    (อือ)

    (กลับกี่โมงอะ)

    คิวถ่ายถึงห้าทุ่มอะ– กว่าจะเก็บของเดินทางนู่นนี่

    ถึงห้องตีสามมั้ง... แต่ก็อาจจะเลทไปอีก

    เอาเป็นว่า แกนอนเลยเถอะ ไม่ต้องรอพี่

    (อืม, ครับ)

    (ถึงแล้วบอกด้วย)

    โอเคคคคค-

    แค่นี้ก่อนนะ เพื่อนพี่เรียกแล้ว

    (ครับ)



    ไม่รู้สิ งานที่รัดตัว, เวลาที่ไม่ตรงกัน, การเรียนที่หนักหน่วง หรือว่าจะเป็นที่เราสองคนกันนะ



    อาจจะเป็นเพราะจูยอนที่อดทนไม่พอ

    อาจจะเป็นเควินที่พยายามน้อยเกินไป



    ก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ อาจจะเป็นเพราะทั้งหมดที่กล่าวมาก็ได้มั้ง ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราต้องสิ้นสุดลง





    มันเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่เราสองคนมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันจริงๆ จังๆ สักที หลังจากที่มีเหตุผลบางอย่าง คั่นกลางพื้นที่ระหว่างเรามาสักพักใหญ่ๆ อาจจะเป็นหนึ่งสัปดาห์? สองสัปดาห์? หนึ่งเดือน? หรืออาจจะหลายเดือนมาแล้วนะ



    'พี่'

    'ว่าไง'

    'เราเลิกกันเถอะ'



    คนอายุมากกว่าละสายตาจากคอมพิวเตอร์เพื่อหันมามองหน้า แฟน ของตัวเองให้ชัดๆ เขาคิดว่า บางทีเขาอาจจะฟังไม่ชัด หรือมีบางอย่างผิดพลาดไประหว่างการสื่อสารนั้น



    'เดี๋ยว— ทำไม'



    'ไม่รู้สิ— มันเหมือนผมพยายามอยู่คนเดียวเลย'

    'พี่เหนื่อยไหมที่ผ่านมาน่ะ'

    'กับเรื่องของเราพี่เหนื่อยบ้างหรือเปล่า'



    '—ผมเหนื่อยมากเลย'

    'ผมเหมือนเป็นคนเดียวที่เหนื่อยเลยครับ' ปลายประโยคน้ำเสียงของอีกคนฟังดูตัดพ้อและโศกเศร้ากว่าที่เคย เควินย้อนคิดกลับไป จูยอนที่เขารู้จักนั้นเป็นเด็กที่สดใสมากกว่าใคร เพราะเขาหรือเปล่านะ ที่ทำให้อีกคนเปลี่ยนไปเช่นนี้



    'พี่มีอะไรจะพูดไหม'



    'พี่ขอโทษ'

    เสียงที่เอ่ยขอโทษสั่นเครือจนเขาไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเสียงของตัวเองจริงหรือเปล่า



    'พี่คิดว่าพี่ผิดเอง'

    เขาทันเห็นสายตาผิดหวังของจูยอนหลังจากที่เอ่ยประโยคขอโทษออกไป ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหน้าหนีไปอีกทาง



    จิตใจของเขาสับสนและวนเวียนไปด้วยความรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย



    เป็นเขาเองที่ทำพลาดไป

    เป็นเขาเองที่ทำให้จูยอนเสียใจ

    เป็นเขาเองที่ทำให้จูยอนผิดหวัง

    เป็นเควินเองที่เป็นคนผิดในความสัมพันธ์ครั้งนี้



    'ขอโทษที่ทำให้แกเหนื่อยอยู่คนเดียว'

    'ขอโทษที่ไม่พยายาม'

    'พี่ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ '



    'พี่ร้องไห้ทำไมเนี่ย'

    เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่ตอนไหน และเป็นจูยอน— เด็กคนนั้นที่ช่วยเช็ดน้ำตาให้กันแม้เขาจะทำความผิดต่ออีกฝ่ายตั้งขนาดนั้นแท้ๆ




    'ถ้าพี่ขออีกครั้งล่ะ'

    'พี่ขออีกครั้งจากแกได้ไหม'

    เขาเอ่ยขอโอกาสจากคนเด็กกว่าไปแล้ว แม้ความหวังที่จะได้โอกาสนั้นมาช่างริบหรี่เหลือเกิน




    'พี่เคยขออีกครั้งมาแล้วนะ พี่จำได้หรือเปล่า'



    'คราวก่อนพี่สัญญากับผมว่าไงพี่จำได้ไหม–

    พี่บอกว่า พี่ไม่ค่อยมีเวลา พี่งานเยอะ แล้วก็ต้องเดินทางบ่อยๆ พี่แก้ไม่ได้ และมันเป็นการเรียน การทำงานของเอกพี่'


    'ผมก็เข้าใจ'


    'แต่พี่บอกว่าไม่ว่าพี่จะไปไหน ทำอะไร พี่ก็จะบอกผมก่อนเสมอ'


    'แต่พี่ไม่ได้บอกผมเลย'


    'บางครั้งที่พี่หายไป–

    ผมต้องเป็นคนโทรถามถึงจะรู้ว่าพี่อยู่ไหน พี่มีงานอะไรอยู่'


    'บางครั้งผมมาหาพี่ ผมอยู่หน้าห้องพี่แล้วด้วยซ้ำ

    แต่พี่ก็ไม่อยู่ โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าพี่ไปไหนอีกแล้ว'



    'ผมเหนื่อย,

    ผมอยากพอแล้ว'



    เขาได้แต่ฟังที่จูยอนพูดทั้งน้ำตา ทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดนั้นถูกต้องแล้ว เรื่องราวที่ทำให้จูยอนเสียใจ ทั้งหมดนั้นน่ะ เขาเป็นคนทำด้วยตัวของตัวเอง

    เขาไม่จำเป็นต้องคิดถึงคำแก้ตัว ในเมื่อรู้ดีอยู่แก่ใจถึงความผิดที่ตนก่อ สิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดเขาตอนนี้คือต้องปล่อยจูยอนไป ให้เด็กตรงหน้าได้เจอกับใครสักคนที่รักจูยอน และพยายามกับความสัมพันธ์ระหว่างกันมากกว่าเขา



    'แกคงคิดมาดีแล้วเรื่องความสัมพันธ์ของเรา'



    '...อือ'

    'ผมคิดมาแล้ว'



    'พี่ขอโทษ'

    'ขอโทษที่ทำให้แกเหนื่อย ทำให้แกต้องพยายามอยู่เดียว'

    'พี่ผิดเอง— ทั้งหมดเลย'

    'ถ้าพี่ขอแกแล้วทำพลาดอีก'

    'แกคงจะเจ็บ แล้วเสียใจมากกว่านี้อีกแน่ๆ '



    'งั้น– แกไปเถอะ'

    'ทำตามใจแกเลย'

    'พี่จะไม่ขอโอกาสอีกแล้ว'



    เขาเอ่ยประโยคที่ให้อีกคนไปจากเขาด้วยความยากลำบาก เพราะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น— เขาไม่อยากจะให้เราต้องจากกันเลย



    '...ครับ'

    'ผมดีใจนะที่ได้รักพี่'



    'ผมไปก่อนนะครับ'






    จูยอนกลับไปแล้ว






    พี่ก็ดีใจที่ได้รักแกเหมือนกัน— ประโยคที่เขาไม่กล้าพูด

    เควินไม่กล้าบอกคำว่ารักต่อหน้าจูยอนด้วยซ้ำ



    เพราะเขาทำผิดมามากเกินไป



    เมื่อประตูปิดลง เขาได้แต่ฟุบตัวลงกับโต๊ะและร้องไห้อยู่อย่างนั้น



    เขาเสียใจ,

    เสียใจกับทุกการกระทำที่ผ่านมา

    เสียใจที่ไม่พยายาม

    เสียใจที่ทำให้จูยอนต้องเหนื่อยอยู่คนเดียว

    เสียใจที่เห็นใบหน้าคนที่เขารักเจ็บปวดแบบนั้น

    เสียใจที่ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ของเราไว้ได้



    เควินเสียใจเหลือเกิน












    01:35



    แสงสว่างจากหน้าจอโทรทัพศ์ทำให้เขาละสายตาออกจากงานในโปรแกรมตัดต่อ เป็นเด็กดื้อขี้เมาคนนั้นนั่นเองที่ส่งข้อความมาบอกว่าได้มาถึงคอนโดของเขาแล้ว


    เขาตอบกลับไปว่าให้ค่อยๆ เดินมานั่งรอที่โซฟาแถวนั้นก่อน เดี๋ยวเขาจะลงไปรับ ไม่รู้จะเดินมาสำเร็จหรือเปล่าหรอกนะ ก็ตอนที่คุยผ่านตัวอักษรน่ะ จูยอนดูจะไม่ค่อยรู้เรื่องมากๆ แล้ว


    เขาปิดคอมลงเพราะคิดว่ากว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จคงได้เวลานอนพอดี เดินปิดไฟในห้องบางส่วน แล้วจึงคว้าคีย์การ์ด สวมรองเท้าแตะเยินๆ ก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป เขากดลิฟต์เพื่อลงไปที่ชั้นหนึ่ง ระหว่างนั้นในหัวก็คิดไปพลางๆ ว่าจะพูดอะไรดีทันทีที่เห็นหน้าของอีกฝ่าย


    ก็ตั้งแต่จูยอนเดินออกจากประตูห้องไปวันนั้น เราสองคนก็ไม่ได้เจอหน้ากันใกล้ๆ อีกเลย และยิ่งเขาเรียนจบจากคณะ ออกมาทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มตัว ก็ยิ่งห่างจากอีกคนไปกันใหญ่





    แต่ดูท่าแล้วคงไม่ต้องคิดอะไรอีก ก็จูยอนน่ะเมาหลับคอพับไปแล้วน่ะสิ


    เขาเดินมาหยุดตรงโซฟาที่อีกคนนั่งพิงหลับอยู่ จากที่หนักใจว่าไม่รู้จะคุยอะไร กลายเป็นหนักใจว่าจะพาจูยอนขึ้นห้องไปได้อย่างไรมากกว่า



    "จูยอน"


    "จูยอนตื่นก่อน ได้ยินพี่ไหม"


    "จูยอนนา"


    เขาย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับอีกฝ่าย หลังจากส่งเสียงเรียกไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จูยอนยังคงหลับตาอยู่แบบนั้น


    เขาถอนหายใจแผ่วเบาพลางนึกไปว่าเขาไม่ได้เห็นใบหน้าของจูยอนใกล้ขนาดนี้มานานเท่าไรแล้วนะ และถ้าเขาเลือกที่จะไม่โกหกตัวเอง— เขาพบว่าในจุดที่ลึกที่สุดในใจนั้น เขาเองก็คิดถึงคนตรงหน้าเช่นเดียวกัน


    เขาเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มคนหลับอย่างแผ่วเบา จูยอนในตอนนี้ดูโทรมกว่าภาพที่เขาเห็นในความทรงจำเล็กน้อย อีกคนน่าจะอยู่ในช่วงปีสุดท้ายก่อนเรียนจบ คงกำลังเหนื่อยมากเลยใช่ไหม


    พลันดวงตาของคนตรงหน้าได้ลืมขึ้น เขาชะงักไปชั่วขณะ มือของตนก็ยังคงค้างอยู่ที่ผิวแก้มของอีกฝ่าย กว่าจะคิดขึ้นได้ว่าควรละมือออกก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อจูยอนยกมือขึ้นมาทาบทับและจับมือของเขาเอาไว้



    "พี่มาแล้วเหรอครับ" เสียงทุ้มของจูยอนยืดยานกว่าเสียงในยามปกติจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์


    "อือ" เขาตอบรับเบาๆ "แกลุกขึ้นยืนไหวไหม" จบประโยคเขาจึงค่อยๆ ดึงมือออกจากการจับกุมนั้น เปลี่ยนมาช่วยประคองน้องชายที่ตัวโตกว่าเขาเกือบเท่าตัวให้ยืนขึ้น


    "น่าจะไหวนะครับ" คนเมาให้ความร่วมมือกับเขาดีกว่าที่คิด ทำให้การพาอีกคนเดินมาขึ้นลิฟต์ไม่ลำบากมากนัก และสามารถพากันเดินเข้าห้องได้โดยไม่ล้มกันไปเสียก่อน


    เขาจัดการให้อีกฝ่ายถอดรองเท้า ก่อนจะพาอีกคนไปส่งที่เตียงจนสำเร็จ ส่วนตัวเขาเองก็ยืนหอบอยู่ข้างๆ ไม่ได้ลำบากมากนัก ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เหนื่อย และถึงจะรู้สึกว่าเหนื่อยยังไงเขาก็คงปล่อยให้จูยอนนอนหลับทั้งคืนด้วยสภาพแบบนี้ไม่ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงหันหลังเดินออกไปเตรียมของในห้องน้ำ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าและกะละมังใส่น้ำใบเล็กๆ


    เควินจับอีกคนให้พลิกตัวมานอนหงายดีๆ ก่อนจะคลายปมเนคไท และปลดกระดุมบางส่วนออกเพื่อไม่ให้คนนอนอึดอัดจนเกินไปนัก หลังจากนั้นจึงใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าและลำคอให้อีกฝ่าย เขาลังเลว่าควรจะเปลี่ยนชุดให้จูยอนด้วยดีไหม แต่เมื่อคิดไปว่าจะต้องพลิกหงายพลิกคว่ำคนบนเตียงอีกหลายท่ากว่าจะเสร็จกระบวนการเปลี่ยนชุดได้ เขาก็เลยล้มเลิกความตั้งใจ ก่อนเดินออกจากห้องนอนเพื่อเอาของกลับไปเก็บในห้องน้ำ


    เขาเดินกลับเข้าห้องนอนมาอีกครั้งเพื่อดูความเรียบร้อยของอีกคน หยิบรีโมทมาเพื่อปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไม่ให้หนาวเกินไปนัก จัดแจงห่มผ้าให้จูยอนจนเรียบร้อย เควินคิดว่าคืนนี้น่าจะผ่านไปด้วยดีเพราะอีกคนหลับไปแล้ว เดี๋ยวตอนเช้าเจอที่หน้ากันคงจะอึดอัดมากกว่านี้ แต่เขาก็จะปล่อยให้มันเป็นเรื่องของวันถัดไปแล้วกัน วันนี้เขาคงต้องยกเตียงนอนให้อีกฝ่ายไป ส่วนเขาจะไปนอนข้างนอก เควินตั้งใจไว้แบบนั้น



    แต่ก็ผิดคาด เมื่อคนที่เควินคิดว่าหลับไปแล้วคว้าแขนเขาไว้ในจังหวะที่เขากำลังจะเดินออกจากห้อง


    "พี่จะไปไหนครับ"


    เขาหันกลับมาเห็นอีกฝ่ายกำลังนอนมองอยู่ ก่อนจะตอบคำถามออกไป "เดี๋ยวพี่จะไปนอนข้างนอก แกนอนเถอะ"


    "ไม่เอาครับ ทำไมพี่ต้องไปนอนข้างนอกด้วย"


    "แกจะได้นอนสบายๆ–"


    เขายังไม่ทันพูดให้จบ อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน "ตอนนี้ผมก็นอนสบายอยู่แล้วครับ พี่ก็มานอนบนเตียงดีๆ เถอะ ผมมารบกวนตั้งขนาดนี้แล้ว ผมไม่ยอมให้พี่ต้องไปนอนข้างนอกอีกหรอก"


    "ไม่เป็นไรหรอก พี่นอนได้"


    "เป็นครับ เป็นแน่ๆ"

    "–พี่ครับ มานอนด้วยกันเถอะ อย่าออกไปนอนข้างนอกเลยนะครับ"


    "...นะครับ"


    เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อไม่สามารถหาเหตุผลโต้แย้งคำพูดของอีกฝ่ายได้อีกต่อไป ในใจก็ได้แต่นึกไปว่าคืนนี้เขาแพ้ให้กับคำพูดของคนตรงหน้านี่มากี่ครั้งแล้วนะ


    "ก็ได้ แกปล่อยมือก่อนสิ พี่จะได้ไปนอนสักที" สิ้นสุดประโยคนั้น มือใหญ่ของจูยอนจึงได้ปล่อยออกจากแขนของเขา เมื่อเป็นเช่นนั้น เควินจึงเดินอ้อมมาอีกฝั่งของเตียงเพื่อล้มตัวนอนลงข้างๆ โดยมีเด็กตัวโตที่นอนอยู่ก่อนแล้วพลิกตัวหันหน้ามามองกันอยู่แบบนั้น ไม่ละสายตาออกไป


    "มองอะไร นอนได้แล้ว"


    "คิดถึงพี่นะครับ"


    จูยอนเอ่ยประโยคนั้นออกมาในขณะที่เราได้สบสายตากัน ใจเขากระตุกรุนแรงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น–และมันเกิดขึ้นในระยะที่เราอยู่ใกล้กันมากที่สุดหลังจากที่เลิกรากันไป คำพูดที่เขาได้ยินเสียง และได้เห็นหน้าคนพูดไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่เป็นแค่ตัวอักษรเหมือนที่ถูกส่งมา


    จูยอนส่งยิ้มให้เขา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าสู้ห้วงนิทราไปในที่สุด




    และในความมืดนั้น เขาตอบกลับไปเบาๆ



    "รู้แล้ว"

    "พี่ก็คิดถึงแกเหมือนกัน"












    10:28



    จูยอนตื่นขึ้นมาในห้องที่ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง เขารู้สึกว่าไม่ควรใช้คำประเภท แปลกสถานที่ กับห้องที่เขานอนอยู่ เพราะลึกๆ แล้วเขาเองก็คุ้นเคยกับห้องนี้อยู่เช่นเดียวกัน เขาเพียงแค่ประหลาดใจว่ามันจะเป็นไปได้จริงๆ หรือทั้งหมดเป็นเพียงแค่เขาละเมอฝันไป


    อาการปวดหัวเกิดขึ้นทันทีที่จูยอนยันตัวลุกขึ้นจากเตียง เขาพบว่าเขายังอยู่ในชุดเดิมกับเมื่อวานเพียงแต่ไม่ได้เรียบร้อยอย่างเก่า เขาพยายามหันมองหาสิ่งที่จะบ่งบอกว่าเจ้าของห้องเป็นใคร จะใช่คนที่อยู่ในฝันเขาเมื่อคืนหรือไม่


    แต่เขาก็ไม่พบอะไรไปมากกว่าห้องเรียบๆ สะอาดตาห้องหนึ่ง ในความทรงจำเขาคิดว่าห้องของคนในฝันนั้นน่าจะ 'รก' กว่านี้ น่าจะมีพวกกองกระดาษบทหนังตั้งใหญ่ที่ใส่ไว้ในกล่องตามมุมห้อง มีกองไม้แขวนเสื้อของฝ่ายคอสตูมใส่ถุงวางอยู่ข้างๆ กัน และมีโพสอิทที่มีลายมือหวัดๆ อย่างเร่งรีบแปะตามผนังหรือประตู


    ที่นี่ไม่มีของพวกนั้น



    หรือว่าจะไม่ใช่?




    เขาก้าวเดินออกจากห้องนอน เผื่อจะได้พบกับเจ้าของห้องสักที


    เขาทั้งรู้สึกคุ้นเคยและแปลกตาในเวลาเดียวกัน เขาคุ้นเคยรูปร่างและลักษณะของตัวห้อง แต่แปลกตากับเฟอร์นิเจอร์และของในห้องที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงจำนวนของที่ดูน้อยชิ้นกว่าที่คิด อย่างกับห้องนี้เป็นห้องตัวอย่างตามที่เขาเห็นในพินเทอเรสงั้นแหละ


    กลิ่นหอมลอยโชยมาจากในครัว ที่นั่นเขาน่าจะได้พบกับเจ้าของห้องจริงๆ สักที



    ร่างบางของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในกรอบสายตา คนๆ นั้นกำลังวุ่นวายกับการทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน แผ่นหลังนั้นให้ความรู้สึกคุ้นชินอย่างน่าประหลาด ถึงแม้จะไม่มั่นใจอยู่บ้างแต่เขาก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายออกไป



    "พี่เควิน?"

    ร่างบางหน้าเตาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ วางมือจากอาหารตรงหน้า แล้วหันมาหาเขา




    เขาไม่ได้ละเมอหรือฝันไป

    พี่เควินอยู่ตรงหน้าจูยอนจริงๆ




    "แกตื่นแล้วเหรอ รอแป๊บนึงได้ป้ะ ข้าวต้มยังไม่เสร็จเลย" พี่เควินท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย เขายิ้มขำให้กับท่าทีเหล่านั้นของอีกฝ่าย พ่อครัวมือใหม่หรือเปล่าน่ะ ทำไมถึงดูวุ่นวายกับการทำครัวขนาดนี้

    เช้านี้เขาแปลกใจไปกี่เรื่องแล้วนะ ล่าสุดก็เรื่องที่เกิดตรงหน้านี่แหละ ก็ปกติพี่เควินไม่ทำอาหารนี่นา เขานึกแปลกใจได้ไม่นาน พี่เควินก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรออกสักอย่าง


    "อ้อ รู้แล้ว แกไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนไป เดี๋ยวค่อยมากินข้าว เสื้อผ้าถอดใส่ตระกร้าไว้เลยเดี๋ยวพี่เอาไปซัก –เอ่อ ถ้าจะขอซักรวมกับชุดพี่ด้วยแกจะโอเคไหม? " พี่เควินเอ่ยคำพูดรัวใส่เขาโดยแทบจะไม่พักหายใจ


    "ผมโอเคครับ ซักรวมได้เลย" เขาตอบกลับไป


    "งั้นไปอาบน้ำได้แล้ว ผ้าเช็ดตัวใหม่อยู่ในลิ้นชักหน้าห้องน้ำ ส่วนชุดใหม่พี่แขวนไว้ให้แล้ว แกน่าจะใส่ได้แหละมั้ง" อีกฝ่ายพูดถึงรายละเอียดเร็วๆ เกี่ยวกับของใช้หลายๆ อย่าง เขาพยักหน้าเพื่อบอกว่าเข้าใจแล้ว ก่อนที่พี่เควินจะหันกลับไปวุ่นวายหน้าเตาอีกครั้ง และตัวเขาเดินออกจากครัวเพื่อไปอาบน้ำสักที





    เมื่อเขาเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดใหม่ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่อาหารทั้งหมดถูกจัดลงบนโต๊ะแล้ว เขาเดินเข้ามาในห้องครัวก่อนจะพบว่าอาหารบนโต๊ะมีรูปลักษณ์ดีจนเหมือนไม่ได้มาจากพ่อครัวมือใหม่


    "มาแล้วเหรอ แกกินก่อนเลย เดี๋ยวพี่ไปซักผ้าก่อน" จบประโยคนั้นอีกฝ่ายก็เดินเร็วๆ ออกจากห้องครัวไป เขานั่งลงพิจารณาข้าวต้มกุ้งในถ้วยช้าๆ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เปลี่ยนไปเยอะอยู่เหมือนกันนะ



    เขาได้แต่คิดไปว่าเรื่องราวของเรามันผ่านไปนานขนาดที่อีกคนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลย


    หรือว่า


    เขากับอีกฝ่ายหายห่างกันไปไกลเกินจนไม่ทันได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของกันและกัน





    "แกชิมยัง อร่อยป้ะ" เสียงพี่เควินดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามเขา "เอ้า ทำไมยังไม่กินล่ะ" อีกฝ่ายถามเขาหลังจากเห็นว่าเขานั่งนิ่งและยังไม่ได้แตะต้องอาหารเลย


    "ผมรอกินพร้อมพี่ครับ" เขาตอบกลับไป และอีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย


    "...เหรอ งั้นตอนนี้ก็กินได้แล้ว"


    พี่เควินบอกแบบนั้น ก่อนที่เราทั้งคู่จะลงมือรับประทานอาหารเช้ากันสักที ข้าวต้มร้อนๆ ช่วยทำให้จูยอนรู้สึกดีขึ้นจากอาการปวดหัว ข้าวต้มถ้วยนี้รสชาติดีเหมือนหน้าตา


    จูยอนเงยหน้าขึ้นมาหลังจากรู้สึกว่าคนตรงหน้าเหลือบมองมาที่เขาบ่อยครั้ง แต่พอเขารู้ตัวและมองไป อีกฝ่ายก็ก้มหน้าลงเหมือนเดิม เขานึกไปถึงใจของคนโตกว่าว่าในครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันที่ห้องนี้นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเพียงใด และรวมไปถึงความความสัมพันธ์ของเราที่ได้สิ้นสุดลงที่นี่ด้วย คนตรงหน้าคงจะอึดอัดมาตั้งแต่เมื่อคืนที่เขาทักไปหา และในตอนนี้ก็คงไม่รู้จะเริ่มพูดคุยกับเขาอย่างไร บางทีเขาน่าจะเป็นคนเริ่มบทสนทนาระหว่างเราในเช้านี้


    "ข้าวต้มพี่อร่อยดี" นั่นมันเป็นประโยคเริ่มบทสนทนาที่แย่หรือเปล่านะ จูยอนได้แต่คิดในใจ


    "เหรอ ขอบใจนะ" อีกฝ่ายตอบกลับมา และเขารู้สึกว่าความกังวลที่ฉายอยู่บนใบหน้าของพี่เควินลดลงไปหลังจากที่ได้ยินคำชมจากปากเขา


    "พี่เริ่มทำอาหารตั้งแต่เมื่อไร"


    "อืม ก็ช่วงไม่กี่เดือนที่เพิ่งผ่านมานี่เอง พี่เปลี่ยนมาทำงานที่ห้องแทน มีเวลาว่างขึ้นนิดหน่อย ก็เลยฝึกทำดู แต่พูดกันตามตรงก็คือทำกับข้าวกินเองประหยัดกว่าสั่งจากแอพเยอะเลย"


    จูยอนคิดว่าตัวเองเริ่มต้นได้ถูกทาง พี่เควินดูผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้ตอบคำถามออกมา น้ำเสียงของคนตรงหน้าน่าฟังเช่นเคย และเขาก็ชอบเวลาที่อีกฝ่ายเล่าเรื่องบางอย่างที่ได้เจอหรือรู้สึกให้เขาฟัง –เหมือน ตอนนั้น เลย


    "แล้วห้องพินเทอเรสนี่ล่ะ" พี่เควินขำหลังจากได้ยินคำถามล่าสุดของเขา คำถามนี้เขาสงสัยยิ่งกว่าเรื่องที่อีกคนทำอาหารได้อีก


    "พอมาทำงานที่ห้อง มันก็ต้องสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีๆ ก็เลยเริ่มจัดห้องน่ะ ของที่รกๆ ก็ย้ายออกหมดเลย อันไหนจะเก็บก็ซื้อตู้ใหม่แล้วเอาทุกอย่างใส่เข้าไป ห้องจะได้โล่งๆ"

    ระหว่างที่เล่า พี่เควินก็ไล่สายตาไปตามส่วนต่างๆ เหมือนกำลังนึกไปถึงความหลังช่วงที่กำลังเริ่มจัดห้องใหม่ๆ สายตาของอีกคนเป็นประกายจนเขาที่เป็นคนมองรู้สึกได้ถึงความสุขที่อีกคนมี และนั่นทำให้เขามีความสุขตามอีกคนได้ไม่ยากเลย


    หลังจากที่มองไปรอบๆ ห้องแล้ว สายตาของพี่เควินก็มาหยุดอยู่ที่เขา ดวงตาเรียวของอีกคนโตขึ้นเล็กน้อยเหมือนเด็กที่กำลังอวดของเล่นชิ้นใหม่ที่มีให้เขาฟัง "อ่อ อันนี้พี่ดูมาจากยูทูปเบอร์คนนึงที่เขาแต่งห้องเก่งๆ น่ะ ดูแล้วก็เกิดกิเลสด้วยแหละ ตอนแรกก็ว่าจะจัดให้ดูโล่งเฉยๆ แต่พอเห็นห้องคุณเขาสวย ดูมีอะไร ก็เลยเริ่มซื้อของมาแต่งบ้าง"


    "เนี่ย ขนาดถ้วยข้าวต้ม" คนตรงหน้าก้มลงมองถ้วยข้าวต้มที่หมดแล้วของตัวเองก่อนจะพูดต่อ "นี่ยังไปแย่งเอฟมาในไอจีเลยนะ พออยู่ด้วยกันเป็นเซตแล้วก็เข้ากันดีนะ ว่าไหม"

    ปลายประโยคอีกฝ่ายหันมาถามเขา แต่ดูเหมือนพี่เควินจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าคนตรงหน้าคือจูยอนคนนี้–แฟนเก่าที่จบกันไม่สวยเอาเสียเลย ความตื่นเต้นบนใบหน้าของอีกฝ่ายจึงลดลงไปเล็กน้อย


    "เอ่อ คือ ขอโทษที พี่พูดมากไป–"


    "สวยดีครับ เข้ากันดีเลย" จูยอนตอบคำถามก่อนหน้าที่อีกฝ่ายถามเขา ก่อนจะยิ้มให้เพื่อสื่อให้พี่เควินรู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกรำคาญเลย กลับกันจูยอนชอบด้วยซ้ำที่ได้เห็นและได้ฟังเรื่องราวของพี่แบบนี้


    "อืม ...แกปวดหัวหรือเปล่า เมื่อคืนกินไปเท่าไรน่ะ"


    "ไม่ปวดเท่าไรแล้วครับ กินไม่เยอะหรอก เมื่อคืนผมก็บอกพี่ไม่ใช่เหรอว่าผมยังรู้เรื่อง" เขาพูดพร้อมกับสบสายตาอีกฝ่ายไปด้วย เพื่อเน้นย้ำว่า ทุกประโยคที่บอกอีกคนไปเมื่อคืนเขามีสติดีและส่งมันไปด้วยความตั้งใจ–ข้อความที่บอกว่าคิดถึงอีกฝ่ายขนาดไหน


    "ไม่ปวดก็ดีแล้ว แกอิ่มแล้วใช่ไหม เอาถ้วยมาล้างมา" เหมือนอีกฝ่ายจะเมินประโยคท้ายๆ ที่เขาพูดไป ก่อนที่จะพยักพเยิดมาทางถ้วยข้าวต้มที่กินหมดแล้วของเขา


    "เดี๋ยวผมล้างเองครับ พี่ไปพักเถอะ อีกอย่างพี่ก็เป็นคนทำกับข้าวไปแล้วด้วย" เขาเอ่ยแย้งออกไป เพื่อขอทำหน้าที่เป็นคนล้างจานแทน หลายชั่วโมงที่ผ่านมาเขารบกวนอีกฝ่ายมามากเหลือเกิน


    "อือ โอเค งั้นพี่ไปดูผ้าแล้วกัน เดี๋ยวอบแห้งให้เลยนะ แกจะได้รีบกลับบ้าน" พอพูดถึงคำว่าบ้าน อีกฝ่ายหันมาทำตาโตใส่เขาก่อนจะพูดขึ้นด้วยความตกใจ "แกได้บอกที่บ้านหรือเปล่า พี่ลืมไปเลย ป่านนี้เขาเป็นห่วงกันแย่แล้ว"


    "ไม่เป็นไรหรอกครับ เมื่อวานผมบอกแล้วว่าไปกินเหล้าแล้วจะไปนอนบ้านเพื่อน" ถึงแม้จะบอกไปแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงทำหน้าไม่สบายใจ


    "งั้นเหรอ แต่เดี๋ยวยังไงก็บอกเขาอีกทีแล้วกันนะ ยังไงนี่มันก็อีกวันนึงแล้ว โอเคไหม"


    "โอเคครับ" จูยอนตอบรับกลับไป ก่อนเราทั้งคนจะแยกกันไปทำงานของตัวเอง



    ขณะที่ล้างถ้วยชามอยู่นั้น ในใจจูยอนคิดไปถึงจำนวนระยะเวลาที่ใช้ในการอบผ้า ถ้าเสื้อผ้าของเขาแห้งดีแล้วนั่นคงเป็นเวลาที่เขาต้องกลับบ้านและแยกจากพี่เควินอีกครั้ง




    แล้วถ้าเขาไม่อยากล่ะ?




    เขาจะทำยังไงดีให้การจากกันครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการห่างหายไปจากกันเหมือนครั้งสุดท้ายที่เขาเดินออกจากห้องนี้ไป




    เพราะเขาคิดถึงพี่เควินมากมายเหลือเกิน








    จูยอนเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ในห้อง ถ้าเมื่อคืนเขาไม่ขอให้พี่เควินมานอนด้วยกัน พี่เขาคงมานอนตรงนี้สินะ แต่เมื่อสังเกตให้ดีๆ ปลายอีกด้านหนึ่งของโซฟาก็มีหมอนและผ้าห่มผืนเล็กๆ พับเรียบร้อยวางอยู่ อีกฝ่ายคงมานอนที่นี่บ่อยๆ แต่ถ้านึกถึงดีๆ แล้ว สำหรับพี่เควินคงจะเป็นการนั่งทำงานไม่ก็ดูหนังจนเผลอหลับไปมากกว่า


    ไม่ผิดไปจากที่คิดนักเมื่ออีกฝ่ายกระเตงแมคบุ๊คกับตระกร้าใบเล็กที่ใส่พวกสายชาร์จ หูฟัง และโทรศัพท์ของเจ้าตัวมาด้วย พี่เควินทิ้งตัวนั่งลงฝั่งเดียวกับที่มีหมอนและผ้าห่มวางอยู่ คงกำลังจะเริ่มทำงานแล้วล่ะมั้ง


    "นี่ รอผ้าปั่นอีกสัก40นาทีนะ จะดูทีวีก็เปิดเอา หรือถ้าจะเล่นโทรศัพท์ก็ใช้ไวไฟได้ เดี๋ยวพี่หารหัสให้แป๊บนึง" อีกฝ่ายพูดไปโดยที่สายตาก็จ้องอยู่ที่โทรศัพท์ที่คงกำลังหารูปที่มีรหัสไวไฟเขียนอยู่

    แต่ว่านะ ไม่ใช่ยังใช้ไวไฟอันเดิมอยู่หรือไง



    เพื่อทดสอบว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเปิดใช้ไวไฟ –และจริงอย่าที่เขาคิด ไวไฟในห้องเชื่อมต่อกับโทรศัพท์เขาได้ทันที โดยที่เขาไม่ต้องกรอกรหัสผ่าน จูยอนเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่เริ่มหน้ามุ่ยเพราะน่าจะหาภาพรหัสไวไฟไม่เจอสักที เมื่อรู้ตัวว่าเขามองอยู่ อีกฝ่ายก็ยิ้มแห้งๆ ให้


    "ขอโทษที พี่ยังหาไม่เจอเลย" พี่เควินเอ่ยขอโทษออกมา เขาเลยชูหน้าจอโทรศัพท์ที่บอกว่าเชื่อมต่อไวไฟเรียบร้อยแล้วให้อีกฝ่ายดู


    "พี่ไม่ต้องหาแล้วล่ะ มันเชื่อมได้แล้ว" อีกฝ่ายทำหน้าสงสัยอยู่สักพักว่าทำไมเขาถึงเชื่อมไวไฟได้โดยไม่ต้องใส่รหัส ก่อนที่จะนึกออก


    "อ้อ เพราะแกเคยมาห้องพี่สินะ" พี่เควินเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะวางโทรศัพท์ลง และเริ่มลงมือทำงานจริงๆ จังๆ สักที







    เขาได้โอกาสแอบมองใบหน้าของอีกฝ่ายใกล้ๆ –พี่เควินก็ยังคงน่ารักเหมือนเดิม ไม่สิ ออกจะน่ารักมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แก้มใสดูนุ่มนิ่มกว่าครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน ก็ตอนนั้นน่ะอีกฝ่ายยุ่งมากเลย ทั้งเรียนทั้งทำกิจกรรม ไหนจะออกไปช่วยงานรุ่นพี่อีก เวลาจะกินข้าวยังแทบไม่มี และเพราะเหตุผลนี้ด้วยสินะที่ทำให้เราเลิกกัน


    ตอนนั้นเขาทั้งเหนื่อย ทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ ที่ต้องพยายามประคองความสัมพันธ์ของเราให้ไปต่อ แต่หลายๆ ครั้งก็พบว่าไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากอีกฝ่ายเลย จนวันสุดท้ายที่เขาได้ขอยุติความสัมพันธ์ลงในใจของเขาก็เจ็บปวดไปหมด เพราะหากเลือกได้เขาก็ไม่อยากไปจากอีกคนด้วยซ้ำ


    ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาได้ลองเปิดใจคบกับคนอื่นอีกหลายคน รวมไปถึงแฟนคนล่าสุดที่เพิ่งเลิกกันไป แต่ทุกความสัมพันธ์ต่างก็จบลงเพราะเขาไม่สามารถรู้สึกกับคนเหล่านั้นได้เท่ากับความรู้สึกที่เขามีให้คนตรงหน้าเลย



    จูยอนรักคนตรงหน้ามากเกินกว่าใครคนอื่น




    'แล้วถ้าเป็นตอนนี้ล่ะ?' เขานึกสงสัย ถ้าช่วงเวลาที่ผ่านมาเราต่างเติบโตขึ้น เป็นไปได้ไหมที่เราจะเก่งขึ้นในการประคับประคองความสัมพันธ์ และเป็นไปได้ไหมที่เราสองคนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม






    "นี่ ถ้ายังจ้องกันขนาดนี้ พี่จะทำงานไม่ได้นะ" เขาหลุดจากภวังค์ความคิด เมื่ออีกคนพูดขึ้นมาทำลายความเงียบระหว่างเรา 


    "ขอโทษครับ" เขาเอ่ยออกไปเบาๆ และเบนสายตาไปวางไว้ตรงอื่นที่จะไม่ทำให้คนตรงหน้าเสียสมาธิ


    ความคิดสับสนวุ่นวายตีกันอยู่ในหัว จูยอนคิดไปถึงความเป็นไปได้ซ้ำๆ ถ้าหากว่าเขาไม่พูดออกไปตอนนี้ หลังจากผ่านวันนี้ไปเรื่องระหว่างเราก็คงจะจบลงจริงๆ คงไม่มีครั้งที่สองที่เขาจะได้กลับมานั่งตรงข้ามกับพี่เควินในห้องของอีกฝ่ายเช่นนี้




    "พี่" เขาเอ่ยเรียกออกไปเมื่อคิดทบทวนทุกอย่างดีแล้ว


    "หือ ว่า?" อีกฝ่ายตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้ละสายตาออกจากงาน 


    "พี่ว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม" เขาเอ่ยประโยคที่วนเวียนอยู่ในใจมานานต่อหน้าของอีกฝ่าย และทันทีที่เขาเอ่ยจบประโยค พี่เควินก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากันในทันที


    "แกว่าไงนะ" อีกฝ่ายถามกลับมาด้วยใบหน้าที่ไม่เข้าใจและรู้สึกสับสน


    "ถ้าเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม" เขาย้ำคำพูดเดิมของตัวเองอีกครั้ง



    "จูยอน" พี่เควินหยุดทำงานและยกแมคบุ๊คที่วางอยู่บนตักออกไปตั้งที่โต๊ะตัวเล็กข้างโซฟา ก่อนจะเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นครั้งแรกหลังจากที่เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง


    และเขาตอบรับ "ครับ"


    "พี่ทำผิดต่อแกมากขนาดนั้น ทำไมแกถึงไม่เกลียดพี่ไปเลย ทำไมต้องใจดีกับพี่ ทำไมแกถึงมาอยู่ตรงนี้และถามพี่ว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า" แววตาของอีกฝ่ายสั่นไหว และภายในนั้นก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

    "พี่ไม่อยากให้แกเสียใจหรือผิดหวังอีกแล้ว โดยเฉพาะถ้าต้นเหตุของความเจ็บปวดของแกเกิดขึ้นเพราะพี่ แกเข้าใจพี่ไหม" การที่อีกฝ่ายกล่าวถึงความผิดพลาดในอดีตและบอกถึงความรู้สึกเสียใจที่เขาเจ็บปวดมากเพียงใด เขาก็ยิ่งรับรู้ว่าภายในใจของอีกคนนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน



    แล้วเขาจะทำใจให้โกรธให้เกลียดพี่เควินได้ยังไง

    ในเมื่อจูยอนรักพี่เควินที่สุด

    รักจนไม่อยากให้อีกคนต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดอีกแล้ว



    "ผมเองก็จำได้ว่าวันนั้นผมเสียใจและเหนื่อยแค่ไหนกับความสัมพันธ์ของเรา แต่ผมคิดเรื่องนี้มาหลายครั้งมากๆ ผมไม่อยากโกหกตัวเองว่าความจริงผมก็รักพี่มากพอๆ กับความเสียใจ ไม่สิ บางทีผมอาจจะรักพี่มากกว่าความรู้สึกเสียใจที่มีตอนนั้นก็ได้"

    "ผมรักพี่ และยังรักอยู่ตลอดจนถึงตอนนี้ ผมไปต่อกับใครไม่ได้เลย เพราะผมเอาแต่คิดถึงพี่ทุกวัน" เขาขยับเข้าไปใกล้ และกอบกุมมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายไว้ เอ่ยบอกความรู้สึกภายในใจที่มี อ้อนวอน ร้องขอ ให้อีกคนเข้าใจ

    "แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง"



    "พี่ไม่รู้" ปลายเสียงของอีกฝ่ายสั่นเครือจนเขารู้สึกได้

    "พี่ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้แกเสียใจอีกแล้ว" น้ำตาของคนตรงหน้าไหลทันทีที่พูดประโยคสุดท้ายจบ ก่อนที่พี่เควินเอามืออีกข้างปิดหน้าและสะอื้นกับฝ่ามือของตัวเอง


    จูยอนขยับเข้าไปใกล้ชิดกว่าเดิม ก่อนจะโอบกอดคนตรงหน้าไว้ เหมือนทุกความรู้สึกที่อีกคนกักเก็บไว้ตลอดมาได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นหยาดน้ำตา ใบหน้าหวานซบลงร้องไห้อยู่กับไหล่ของเขา จูยอนพลันนึกไปถึงครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เขาทำให้พี่เควินต้องร้องไห้ และครั้งนี้อีกคนก็ต้องมาร้องไห้เพราะเขาอีกแล้ว



    เขารู้สึกผิดเหลือเกิน




    "พี่ครับ"


    "ถ้าผมจะขอถามพี่ว่า– พี่ยังรักผมอยู่หรือเปล่า พี่ยังคิดถึงผมเหมือนกันไหม" เขากระชับอ้อมกอดก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่าย



    เขาสัญญาว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันอีกต่อไปแล้ว เขาก็จะยอมรับ และยอมปล่อยอีกคนไป

    แต่ถ้าความรู้สึกของเรายังเหมือนเดิม เขาก็จะสัญญาว่าจะอยู่กับอีกฝ่ายให้นานที่สุด



    "ตอบผมหน่อยได้ไหมครับ"



    "อือ" อีกฝ่ายส่งเสียงตอบรับแผ่วเบาอยู่ที่ไหล่ของเขา

    "พี่ยังรักแกอยู่–

    พี่ก็คิดถึงแกเหมือนกัน"



    คำตอบของพี่เควินทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น ฝ่ามือข้างหนึ่งลูบกลุ่มผมนุ่มของคนในอ้อมแขน หวังว่าจะช่วยบรรเทาความเสียใจและความรู้สึกผิดของอีกคนลงไปได้บ้าง


    "ถ้าความรู้สึกเราตรงกัน เราก็มาเริ่มกันใหม่ก็ได้นี่ครับ"

    "เราเองต่างคนก็ต่างเติบโตขึ้นจากเมื่อก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังรักกันอยู่เหมือนเดิม ความรู้สึกของเราไม่ได้เปลี่ยนไป"

    "เรื่องในอดีตเราก็เก็บมันไว้เป็นบทเรียน เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้มันดีขึ้นกว่าเดิม"



    "เราสองคน–

    มาพยายามด้วยกันอีกครั้งได้ไหมครับ"





    "แล้วถ้าพี่ทำพลาดล่ะ ถ้าพี่ทำแกเสียใจอีก"


    "ไม่พูดแบบนั้นสิครั้บ ถ้ามีใครสักคนผิด เราแค่ต้องคุยกัน และก็ช่วยทำให้มันดีขึ้นเท่านั้นเอง"


    "พี่ครับ"

    "มั่นใจในตัวเองนะครับ เพราะพี่น่ะคือคนที่ผมรักมากที่สุดเลยนี่"








    กำแพงในใจของเควินแตกสลาย ความรู้ผิดที่เคยทำต่ออีกคนเป็นเหมือนเครื่องย้ำเตือนใจที่คอยผูกมัดตัวเองเรื่อยมา ความผิดพลาดในครั้งนั้น ทำให้เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะรักใครได้อีก เควินไม่อยากเห็นคนที่ตัวเองรักต้องเสียใจเพราะเขาอีกครั้ง


    แต่พอคนตรงหน้าที่เขาทำผิดไว้ด้วยมากมาย กลับเข้ามาในชีวิตเพื่อบอกว่ารักเขามากแค่ไหน และอยากให้เขามั่นใจในตัวเองมากเพียงใด ทำให้เขาอยากลองพยายามเป็นคนที่ดีขึ้นในความสัมพันธ์อีกครั้ง เขาอยากเป็นคนใหม่ คนที่พยายาม คนที่จะไม่ทำให้คนตรงหน้าต้องผิดหวังและเสียใจ




    เควินอยากจะเป็นคนรักที่ดีของจูยอน




    "ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ" จูยอนค่อยๆ เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเขาเบาๆ 

    "ผมอยากให้พี่เป็นคนที่มีความสุขที่สุด"


    "พี่ก็อยากให้แกมีความสุขเหมือนกัน" เขาตอบกลับไป




    "เข้าใจแล้ว งั้นเรามาพยายามกันอีกครั้ง และมีความสุขไปด้วยกันนะ"

    "อือ–

    พี่จะพยายามไปด้วยกันไปแกนะ"




    กับเรื่องของเรา เขาอยากพยายามให้มากที่สุด

    ขอบคุณที่ให้โอกาส

    ขอบคุณที่ใจดีต่อกัน

    ขอบคุณที่กลับมา

    ขอบคุณที่ยังคิดถึง

    ขอบคุณที่ยังรักกัน

    ขอบคุณที่ในวันนี้เควินยังมีจูยอน









    Tinglee's talk

    ;-; เห้อ อินหลออีกแล้ว ตอนแรกไม่ได้คิดว่ามันจะเศร้าขนาดนี้ ความจริงน้องเป็นแค่ความคิดสั้นๆ เท่านั้นเอง แต่พอเอามาบรรยายต่อแล้วน้องไปสุดมาก

    —ลงไปในreadawriteได้สักพักแล้วแต่ลืมเอามาลงในนี้ แหะ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in