ปัจจุบันสื่อเป็นสิ่งที่ผู้คนแม้กระทั่งเด็กและเยาวชนในสังคมสามารถเข้าถึงได้โดยง่ายสื่อได้กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนในสังคมจากเหตุการณ์ข่าวที่เกิดขึ้น เช่นข่าวที่เยาวชนเลียนแบบโดยการกระโดดเตะตัดขาเพื่อนตามคลิปวิดีโอหนึ่งจนส่งผลให้เกิดการทำร้ายและการบาดเจ็บจากการเลียนแบบดังกล่าว หรืออย่างกรณีที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์บนสื่อสังคมออนไลน์ในทวิต-เตอร์ (Twitter) เป็นคลิปวิดีโอจากแอปพลิเคชันติกตอก (Tiktok) เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เยาวชนเลียนแบบคำพูดจากคลิปวิดีโอจากแอปพลิเคชันเดียวกันโดยไม่รู้ความหมายจากเหตุการณ์และกรณีตัวอย่างข้างต้นจึงได้นำมาสู่ข้อสังเกตและข้อสงสัยถึงอิทธิพลของสื่อว่าสื่อมีอิทธิพลอย่างไรต่อพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนแล้วอิทธิพลเหล่านั้นจะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนจนสืบเนื่องมาเป็นปัญหาสังคมในอนาคตหรือไม่
โดยในส่วนแรกผู้เขียนจะอธิบายถึงนิยามและความหมายของคำว่าสื่อ เด็กและเยาวชน รวมถึงนิยามและประเภทของพฤติกรรมเบี่ยงเบน ในส่วนที่สองผู้เขียนจะยกนำเอาทฤษฎีการทดลองตุ๊กตาล้มลุก (Bobo doll experiment) ซึ่งเป็นการทดลองเพื่อศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิทธิพลของสื่อต่อพฤติกรรมความรุนแรงของเด็กและเยาวชนโดยนักจิตวิทยาสังคม Albert Bandura ในส่วนที่สามผู้เขียนจะอธิบายถึงกระบวนการการเลียนแบบพฤติกรรมของผู้อื่นโดยจะยกนำเอาทฤษฎีการเลียนแบบ (Imitation theory) ของJean Gabriel Tarde ทฤษฎีระบบเซลล์สมองกระจกเงา (Mirror-neuron system) และทฤษฎีการปลูกฝัง (CultivationTheory) ของ George Gerbner และ LarryGross มาใช้อธิบายสาเหตุการเกิดพฤติกรรมเลียนแบบดังกล่าว และในส่วนที่สี่มาผู้เขียนจะเขียนแสดงให้เห็นถึงอีกด้านของอิทธิพลสื่อว่าแท้จริงแล้วหากใช้อย่างถูกต้องอิทธิพลของสื่ออาจไม่ได้มีผลกระทบด้านลบเพียงเท่านั้น ถัดมาในส่วนที่ห้าผู้เขียนจะยกนำเอาวิธีการป้องกันและแก้ปัญหาจากอิทธิพลของสื่อที่ส่งผลต่อพฤติกรรมเพื่อป้องกันไม่ให้พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลสืบเนื่องจนก่อให้เกิดปัญหาสังคมในอนาคตและในส่วนสุดท้ายจะเป็นส่วนสรุปทั้งหมดของบทความที่ผู้เขียนได้เขียนไป

ที่มาภาพ: https://www.freepik.com/free-vector/marketing-concept-illustration_10802152.htm#page=3&query=media%20illustration&position=0&from_view=keyword
“สื่อ”ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นนามหมายถึง ผู้หรือสิ่งที่ติดต่อให้ถึงกัน หรือชักนำให้รู้จักกัน ซึ่งในบทความนี้สื่อจะหมายถึงสื่อใหม่ (New media) และ สื่อสังคมออนไลน์(Social media) โดยนักวิชาการหลายท่านได้ให้นิยามสื่อใหม่ไว้หลากหลายอย่าง ดร.โรเบิร์ต โลแกน (Robert K. Logan) นักนิเวศวิทยาสื่อ(Media ecologist) ได้ให้นิยามไว้ว่า “สื่อใหม่” คือ สื่อที่มีลักษณะปฏิสัมพันธ์เป็นการสื่อสารสองทางที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ในส่วนของคำว่า สื่อสังคมออนไลน์ หมายถึงสื่อที่แบ่งปันสารไปยังผู้รับสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) คำว่าสื่อใหม่และสื่อสังคมออนไลน์ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) ที่มีฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนสังคมและการติดต่อระหว่างกันได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ในส่วนของคำว่า เด็กและเยาวชน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบคัวมาตรา ๔ ได้กำหนดขอบเขตอายุไว้ เด็ก หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุเกินกว่าที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหทายอาญา มาตรา ๗๓แต่ยังไม่เกิน 15 ปีบริบูรณ์ และเยาวชน หมายถึงบุคคลที่มีอายุเกิน 15 ปีบริบูรณ์แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์
บางครั้งพฤติกรรมที่ปัจเจกบุคคลแสดงออกมาก็ขัดกับบรรทัดฐานของสังคมนั้น ๆ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านั้นเรียกว่า พฤติกรรมเบี่ยงเบน (Deviant Behaviour) โดย John Biesanz และMavis Biesanz ได้ให้นิยามความหมายไว้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับบรรทัดฐานของสังคมและเป็นพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนบรรทัดฐานเกินกว่าข้อจำกัด จำเป็นต้องได้รับโทษ ซึ่งทั้ง2 คนได้แบ่งประเภทของพฤติกรรมเบี่ยงเบนไว้ทั้งหมด 6 ประเภท ได้แก่ พฤติกรรมที่เป็นเพียงความประพฤติที่ไม่เหมาะสม(Improper) พฤติกรรมที่เป็นปรปักษ์ต่อผู้อื่น (AntisocialBehaviour) พฤติกรรมการทำลายตัวเอง (Self Destructive) พฤติกรรมที่ละเมิดกฎศีลธรรมของสังคม (Immoral)พฤติกรรมที่ทำลายสังคม (Destructive to the society) และพฤติกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย แต่ปัจจุบันนิยามและประเภทของพฤติกรรมเบี่ยงเบนได้มีการเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องตามยุคสมัย เช่น การรักร่วมเพศ จากเดิมที่เป็นหนึ่งในพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ (Sexual Deviance) นักสังคมวิทยาหลายคนได้เปลี่ยนให้การรักร่วมเพศหรือความหลากหลายทางเพศไม่ใช่พฤติกรรมเบี่ยงเบน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีนิยามและความหมายของพฤติกรรมเบี่ยงเบนตายตัว
พฤติกรรมที่เด็กและเยาวชนแสดงออกมาไม่ว่าจะความรุนแรงหรือพฤติกรรมเบี่ยงเบนแท้จริงแล้วอาจไม่ได้มีมาตั้งแต่เมื่อแรกเกิดแต่เกิดจากการเรียนรู้ เลียนแบบหรือถูกหล่อหลอมโดยสังคม โดยผู้เขียนจะยกนำเอาการทดลองและทฤษฎีทั้งหมด 3 ทฤษฎีมาอธิบายและชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของสื่อที่ส่งผลต่อพฤติกรรมนี้
การทดลองตุ๊กตาล้มลุก (Bobo doll experiment) เป็นการทดลองเพื่อศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมความรุนแรงของเด็กและอิทธิพลของสื่อเช่น วิดีโอเกม ภาพยนตร์ สื่อโทรทัศน์ เป็นต้น ซึ่ง Albert Bandura นักจิตวิทยา ได้ทำการทดลอง โดยทำการแบ่งกลุ่มการทดลองเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มสังเกตอารมณ์รุนแรง (Aggressive model) กลุ่มที่ไม่ได้สังเกตอารมณ์รุนแรง (Non-aggressive model) และ กลุ่มปัจจัยควบคุม (Control group no model) ซึ่งจะแบ่งเป็นเด็กชายและเด็กหญิงอย่างละ12 คน รวมผู้ที่เข้าร่วมการทดลองนี้ทั้งหมด 72คน โดยวิธีการทดลองของ Bandura คือ แบ่งให้เด็ก ๆ ได้เข้าไปอยู่ในห้องหนึ่งจากนั้นตัวอย่างที่แสดงพฤติกรรมรุนแรงจะถูกกพามาอยู่ห้องตรงข้ามและแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวใช้กำลังกับตุ๊กตาล้มลุม (Bobo doll) ตะโกนโหวกเหวกด้วยถ้อยคำรุนแรงต่าง ๆ ให้กลุ่มสังเกตอารมณ์รุนแรงดู ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้สังเกตอารมณ์รุนแรงจะถูกพาไปห้องที่ตัวอย่างนั่งทำกิจกรรมเงียบๆ โดยไม่ได้แตะต้องตุ๊กตาล้มลุกหรือแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวใด ๆ หลังจากระยะเวลาผ่านไปสักพัก กลุ่มเด็กทั้งหมดจะถูกพาไปยังอีกห้องที่มีของเล่นมากมายในนั้นจากนั้นก็ให้เด็ก ๆ สามารถเล่นของเล่นเหล่านั้นได้เพียง 2 นาทีซึ่งการทำเช่นนี้ก็เพื่อกระตุกอารมณ์และความรู้สึกรุนแรงของเด็กที่เข้าร่วมและสุดท้าย เด็ก ๆ จะถูกพาไปยังห้องทดลองที่เต็มไปด้วยของเล่นและอุปกรณ์ที่รุนแรง อาทิ ปืนอัดลม แต่ในห้องนั้นก็มีของเล่นที่ไม่รุนแรง เช่น สีเทียน ตุ๊กตาเป็นต้น ซึ่งเด็กที่เข้าร่วมการทดลองจะมีเวลาเล่นอยู่ในห้องทดลองสุดท้ายประมาณ20 นาที โดยในขณะที่เด็ก ๆ กำลังเล่นในห้องจะทำการแอบสังเกตและบันทึกพฤติกรรมที่เด็กเหล่านั้นจะแสดงออกมาจากการทดลอง ผลลัพธ์ที่ปรากฏคือ กลุ่มเด็กที่เป็นผู้สังเกตอารมณ์และพฤติกรรมรุนแรงแสดงพฤติกรรมตามสิ่งที่ตัวอย่างในห้องได้แสดงให้ดูนอกจากนี้การทดลองนี้ยังได้สรุปให้เห็นว่ามีความแตกต่างในเรื่องเพสถึงพฤติกรรมความก้าวร้าวรุนแรงที่แสดงออกมาคือ เด็กผู้ชายจะเลียนแบบพฤติกรรมรุนแรงตามตัวอย่างเพศชายมากกว่าตัวอย่างที่แสดงพฤคิกรรมเพสหญิงโดยจากการทดลองของ Bandura เด็กจะมีการแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและรุนแรงซึ่งเป็นผลมาจากการเลียนแบบและเรียนรู้พฤติกรรมที่ตนได้เห็น

ที่มาภาพ: https://blog.busyrabbit.co/bobo-experiment/
พฤติกรรมบางอย่างอาจมีสาเหตุมากจากการเลียนแบบพฤติกรรมตามที่เห็นโดยผู้เขียนจะอธิบายสาเหตุด้วยการยกนำเอาทฤษฎีการเลียนแบบ (Imitation theory) ของ Jean Gabriel Tarde นักอาชญาวิทยาและนักจิตวิทยาสังคมได้สนอแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ โดยกฎการเลียนแบบ(Law of Imitation) ของ Tarde คือคนที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างกันจะเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมกัน การเลียนแบบมีแนวโน้มที่จะแพร่จากสิ่งที่เหนือกว่า(Superior) ไปยังสิ่งที่ต่ำกว่า (Inferior) เช่นเด็กเลียนแบบพ่อแม่ เป็นต้น และสุดท้ายคือ กฎการแทรก (Law of Insertion) เมื่อมีพฤติกรรมใหม่เข้ามาแทรกพฤติกรรมเดิมจะถูกแทรกแทนด้วยพฤติกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ โดย Tarde ได้อธิบายการเกิดอาชญกรรมต่าง ๆ ด้วยกฎของทฤษฎีการเลียนแบบในบทความนี้นิสิตได้ยกมาเพื่ออธิบายและเสนอแนวคิดว่าพฤติกรรมบางอย่างอาจมีสาเหตุมาจากการลอกเลียนแบบพฤติกรรมที่ตนได้เห็น
โดยในถัดมาผู้เชียนจะยกทฤษฎีระบบเซลล์สมองกระจกเงา (Mirror-neuron system) โดยนักวิทยาศาสตร์ Giacomo Rizzolatti และ Laila Craighero มาอธิบายพฤติกรรมการเลียนแบบโดยไม่รู้ตัวจากการศึกษาพบว่า ในสมองของมนุษย์มีเซลล์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เซลล์สมองกระจกเงา (Mirror-Neuron) เป็นเซลล์ที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของมนุษย์ผ่านประสาทสัมผัสของร่างกายโดยเฉพาะการเรียนรู้ สังเกต และเลียนแบบผ่านการกระทำของผู้อื่นเซลล์กระจกเงานี้สามารถนำเอาใช้ศึกษาในด้านพัฒนาการและพฤติกรรมของเด็กที่เกิดจากการเรียนรู้และเลียนแบบจากสื่อต่าง ๆ ซึ่งในบางกรณีที่เด็กมีพฤติกรรมท่าทางแปลกประหลาดหรือสื่อสารผิดธรรมชาติอาจมีสาเหตุมาจากการที่เซลล์กระจกเงาในสมองถูกกระตุ้นและเกิดการเลียนแบบจากสิ่งที่เด็กได้ดู
ที่มาภาพ:
https://www.researchgate.net/figure/A-schematic-of-the-mirror-neuron-system-consisting-of-a-frontal-MNS-in-the-inferior_fig1_299739867
และในส่วนของแนวคิดสุดท้ายที่ผู้เขียนจะยกมาอธิบายถึงอิทธิพลของสื่อนี้คือ ทฤษฎีการปลูกฝัง (Cultivation Theory) โดย George Gerbner และ Larry Gross เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงอิทธิพลของสื่อที่มีผลต่อทัศนะและพฤติกรรมของผู้รับสื่อโดยเมื่อผู้รับสื่อได้รับข้อมูลจากสื่อ โดยเฉพาะสื่อกระแสหลัก (Mass Media) เป็นระยะเวลานานจนมีการสั่งสมข้อมูลและแนวความคิดต่าง ๆ มาจากสื่อจะส่งผลให้ผู้รับสื่อรับเอาทัศคติและทัศนะจากการสั่งสมมาใช้จนกระทั่งส่งผลต่ออารมณ์และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านั้นอาจถูกทำให้ชัดเจนขึ้นหรือถูกลดทอนด้วยข้อมูลที่สั่งสมมาจากสื่อ โดยอิทธิพลสื่อจะมี 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) Blurring สื่อจะค่อย ๆ หล่อหลอมไปกับวัฒนธรรมที่แตกต่าง 2) Blending เป็นการผสมผสานความเป็นจริงให้เข้ากับวัฒนธรรมมวลชน (MassCulture) และ 3) Bending คือการที่สื่อจะค่อยๆเปลี่ยนทัศนะของผู้รับสื่อให้โน้มเอียงตามสิ่งที่สื่อต้องการจะนำเสนอเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของสื่อเองสำหรับกลวิธีที่สื่อใช้ในการปลูกฝังนี้ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ แบบวิธีหลัก (Mainstreaming)เป็นรูปแบบที่ผู้รับสื่อจะนำเอาและยึดถือสื่อเหล่านั้นเป็นแหล่งข้อมูลหลักมาใช้ในดำเนินชีวิตและแบบกรอบกำหนด (Resonance)เป็นรูปแบบที่ผู้รับสื่อเลือกที่จะรับสื่อนั้นมาเฉพาะบางส่วนที่สอดรับตรงกับประสบการณ์ชีวิตของตนเองส่งผลให้ผู้รับสื่อในรูปแบบนี้จะมีการถูกปลูกฝังความเป็นจริง 2 ขั้น คือ จากประสบการณ์จริงที่ถูกจำกัดและประสบการณ์ผ่านสื่อที่เลือกจะรับมาบางส่วน

ที่มาภาพ:
https://medium.com/george-gerbner-psu-comm-200/cultivation-theory-george-gerbner-44200225f9eaจากทฤษฎีข้างต้นทั้งหมด เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการศึกษาและอธิบายถึงอิทธิพลต่อผู้รับสื่อนิสิตจึงได้เลือกนำเอาทฤษฎีมาเขียนอธิบายเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงอิทธิพลของสื่อต่อผู้รับสื่อโดยที่ในบทความนี้นิสิตมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเด็กและเยาวชน และถัดมาผู้เขียนจะนำเสนอถึงแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเบี่ยงเบนซึ่งอาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลสื่อเป็นสำคัญ
อิทธิพลและผลกระทบจากสื่อไม่ได้มีเพียงผลกระทบด้านลบเท่านั้นแต่ยังมีข้อดีมากมายจากการใช้สื่อโดยเฉพาะในปัจจุบัน สื่อสังสังคมออนไลน์มีผลต่อการดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่ซึ่งจากการวิจัยเรื่อง “ผลกระทบของสื่อสังคมออนไลน์ต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทยในมุมมองของนักมานุษยวิทยา” โดย รศ.ดร.จุลนี เทียนไทย ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่นี้ คือ พลวัตวิถี (Mobile life) ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตที่มาจากสื่อสังคมออนไลน์โดยข้อจำกัดในด้านเวลาและสถานที่ลดน้อยหายไป ส่งผลให้การใช้งานและการติดต่อสื่อสารระหว่างกันในสังคมนั้นสะดวกและสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาและยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางทัศนะและพฤติกรรมของคนในสังคมเนื่องมาจากพื้นที่ใหม่จากสังคมออนไลน์ได้ก่อให้เกิดพื้นที่อิสระในการนำเสนอตนเองซึ่งส่งผลทำให้คนในสังคมกล้าที่จะแสดงและนำเสนอทัศนะและพฤติกรรมมากขึ้นผ่านสื่อ
ที่มาภาพ:
https://www.freepik.com/free-vector/followers-line-concept-illustration_5453372.htm#page=4&query=media%20illustration&position=17&from_view=keyword
ในด้านแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากอิทธิพลของสื่อที่ส่งผลต่อพฤติกรรมเบี่ยงเบนของเด็กและเยาวชนการป้องกันสามารถช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยสื่อจำเป็นที่จะมีจริยธรรมของสื่อในการนำเสนอสิ่งต่าง ๆ ซึ่งตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พ.ศ. 2564 หมวด 2 การเคารพสิทธิส่วนบุคคลและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ข้อที่ 15 ได้กล่าวถึง ความสำคัญที่สื่อควรจะต้องคำนึงถึง “ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องให้ความคุ้มอย่างเคร่งครัดต่อเด็กเยาวชน กลุ่มเปราะบาง และผู้มีความหลากหลายด้านอัตลักษณ์ในสังคม” และจากหนังสือ “รู้เท่าทันสื่อ” ซึ่งเป็นหนังสือที่จัดทำขึ้นภายใต้โครงการส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักและรู้เท่าทันสื่อ ได้กล่าวถึงความรับผิดชอบทางจริยธรรมของสื่อในส่วนข้อบังคับด้านจริยธรรมของวิชาชีพ ได้กำหนดทั้งหมด 7 ข้อบังคับ โดยในข้อที่ 4 ระบุถึงจริยธรรมของสื่อต่อเด็กและเยาวชนไว้ถึง “การคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากรายการที่แสดงออกถึงความรุนแรงการกระทำอันผิดกฎหมายหรือศีลธรรม อบายมุขและภาษาหยาบคาย” และไม่ใช่เพียงแค่สื่อที่มีหน้าที่ในการป้องกันแต่ในการจะป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพได้จำเป็นที่จะต้องป้องกันในระดับปัจเจกบุคคลในระยะยาวแม้ว่าจะมีการจำกัดเนื้อหาของสื่อเพื่อให้เหมาะสมกับเด็กและเยาวชนในแต่ละช่วงวัยผู้ปกครองควรมีส่วนสำคัญในการควบคุมดูแลและให้คำปรึกษา สอนหรืออธิบายถึงด้านต่าง ๆ ของการรับสื่อทั้งในด้านดีและด้านเสีย เพราะในปัจจุบันที่สื่อต่าง ๆ ได้เข้ามีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาทั้งในและนอกห้องเรียนการสอนให้ความรู้และความเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้สื่อเหล่านี้ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้น แต่การนำเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์จะส่งผลดีทั้งในด้านการเรียนรู้ การพัฒนา และทักษะต่าง ๆ ของเด็กและเยาวชน
แม้ว่าจะมีการศึกษาและวิจัยมาใช้อธิบายถึงอิทธิพลสื่อต่อพฤติกรรมที่ต่อมานำมาสู่พฤติกรรมเบี่ยงเบนและอาชญกรรมจนก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาแต่พฤติกรรมเบี่ยงเบนนั้นต้องอาศัยหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็น การเลี้ยงดูสภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคมหรือสภาพแวดล้อมรอบตัว และในการจะป้องกันรวมถึงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องร่วมกันแก้ไขไม่ใช่หน้าที่ของปัจเจกบุคคลเพียงเท่านั้น แต่สื่อต่าง ๆ ก็ควรจะต้องมีจรรยาบรรณและคำนึงถึงผู้รับสารอยู่เสมอ สุดท้ายแล้วพฤติกรรมเบี่ยงเบนของเด็กและเยาวชนล้วนแล้วเกิดมาจากปัจจัยอื่น ๆ มากมาย แต่ผู้เขียนต้องการหยิบยกประเด็นในเรื่องอิทธิพลของสื่อมาอธิบายเพื่อต้องการให้ผู้อ่านรวมไปถึงคนในสังคมได้ตระหนักถึง
อิทธิพลที่สำคัญซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการเกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนของเด็กหากปล่อยปะละเลยและเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ เรื่องนี้อาจมีผลสืบเนื่องจนทำให้เกิดปัญหาสังคมในเวลาต่อมาซึ่งการจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไปแล้วเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
อ้างอิง:
Cherry, K. (2020, March 16).verywell mind. Retrieved November 19, 2021,from What the Bobo Doll Experiment Reveals About Kids and Aggression: https://www.verywellmind.com/bobo-doll-experiment-2794993
Wilson, M. S. (1954). Pioneers in Criminology I--Gabriel Tarde(1843-1904). Journalof Criminal Law and Criminology, 1-11.
กฎหมายน่ารู้ ตอนที่ 288 : การขึ้นศาลเยาวชน. (13 กรกฎาคม 2564). เรียกใช้เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2564 จากกระทรวงวัฒนธรรม: https://www.moj.go.th/view/56573
กฤษริน รักษาแก้ว และนันทิยา ดวงภุมเมศ. (2560).อิทธิพลของรายการในสื่อใหม่ที่มีต่อมุมมองต่อโลกของเด็กและเยาวชน. Veridian E-Journal, Silpakorn Universityฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ, 152-169.
ข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๔. (8 มิถุนายน 2564). เรียกใช้เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2564 จากสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ: https://www.presscouncil.or.th/rule/6126
ข่าวสารจุฬาฯ: อาจารย์จุฬาฯ วิจัย “ผลกระทบของสื่อสังคมออนไลน์ต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทย”. (6 มีนาคม 2563). เรียกใช้เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2564 จาก https://www.chula.ac.th/news/27969/
ชริตา ปรมะธนวัตน์. (2559). อิทธิพลสื่อกับค่านิยมสวยด้วยแพทย์:ความงามแบบธรรมชาติที่บิดเบือนความเป็นจริง. วารสารการสื่อสารและการจัดการนิด้า, 153-168.
ณัฐพงษ์ กระจ่าง. (2545). การเลียนแบบพฤติกรรมทางเพศแบบรักร่วมเพศชายของเยาวชน.กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
เตือนเลียนแบบคลิป 'กระโดดเตะตัดขาเพื่อน' มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี. (16 กุมภาพันธ์ 2563). เรียกใช้เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2564 จากกรุงเทพธุรกิจ: https://www.bangkokbiznews.com/news/866507
พิชิต วิจิตรบุญยรักษ์.(2554). สื่อสังคมออนไลน์: สื่อแห่งอนาคต. Executive Journal, 99-103.
ภัทริกา วงศ์อนันต์นนท์. (2557).พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กและเยาวชน. วารสารพยาบาลทหารบก, 173-178.
ศักดิ์ชัย ภู่เจริญ. (2 เมษายน 2554). ทฤษฎีเซลล์กระจกเงา.เรียกใช้เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2564 จาก KRUINTER.COM: http://www.kruinter.com/show.php?id_quiz=701&p=1
ศิริรัตน์ แอดสกุล. (2559). ความรู้เบื้องต้นทางสังคมวิทยา.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม, มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และคณะ. (2557). รู้เท่าทันสื่อ.กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ.
สุวิช ถิระโคตร และคณะ. (2558). สื่อใหม่: ความหมาย คุณลักษณะ และการวิจัย. วารสารสารสนเทศศาสตร์,112-129.
อารีย์นัยพินิจ และคณะ. (2557). การปรับตัวภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา, 1-12.
เขียนและเรียบเรียงโดย: Luna.p นิสิตชั้นปีที่ 1 คณะรัฐศาสตร์ สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
*บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาตรรกะ เหตุผล และการค้นคว้าทางสังคมศาสตร์ รหัสวิชา 2400118 หลักสูตรปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in