เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I met you in the summerP.E.A.C.E
โปรดครั้งที่ 1
  •        ภายในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ วันนี้คลาคล่ำไปด้วยคณะนักศึกษาที่จะเดินทางไปค่ายฤดูร้อนที่ประเทศจีน เสียงจอแจของนักศึกษาที่ตื่นเต้นกับการไปเข้าค่ายที่เมืองนอก แต่เหมือนจะเว้นไว้อยู่หนึ่งคนที่ดูไม่อินกับบรรยากาศตอนนี้เท่าไรนัก

    "โปรด มึงง่วงอะไรนักหนาคะเพื่อน" เจ้าของเสียงถามเพื่อนตัวดีที่ตอนนี้ไหลตัวลงไปกับพื้นสนามบินแล้วเอาหน้าเกยไว้ที่กระเป๋าลากใบโต ฝ่ายคนที่โดนเรียกผงกหัวขึ้นมานิดนึง ก่อนจะส่งเสียงอึนแบบคนเพิ่งตื่นไป

    "มึงงง ย่ามาส่งกูถึงที่สนามบินตั้งแต่ตี่สี่ครึ่ง ทั้งๆ ที่เวลานัดรวมมันตั้งเจ็ดโมง กายละเอียดยังลืมไว้ที่บ้านอยู่เลย"

    บุ้งได้แต่กลอกตาใส่ มึงมาแต่กายหยาบสินะ

    "สภาพโฮมเลสมากเพื่อน" ขนาดป้าส้มคนเรียบร้อยยังทัก ทำให้โปรดต้องจำใจเงยหน้าขึ้นมาดีๆ

    "ไอ้มิ้งมายัง" โปรดหันไปถามป้าส้มก่อนที่จะยันตัวลุกขึ้นเป็นผู้เป็นคน

    " มาแล้วแต่เพื่อนไปเข้าห้องน้ำ นั่นไง กระเป๋ามัน" ป้าส้มว่าก่อนที่จะชี้ไปที่รถเข็นสนามบินที่ใส่กระเป๋าลากใบเขื่องกับกระเป๋าเป้อีกหนึ่งใบ โปรดมองแล้วได้แต่คิดในใจ นี่เพื่อนไปสองอาทิตย์เอากระเป๋าไปเหมือนไปสองเดือน ของตัวเองว่าใบใหญ่แล้ว เห็นของเพื่อนมิ้งนี่ต้องยอมเลยค่ะ


    " น้องๆ ค่ะ เดี๋ยวเขยิบมารวมตัวตรงนี้หน่อยค่ะ" เสียงเรียกของพี่ผู้หญิงที่เป็นพี่ค่ายดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าถึงเวลารวมตัวแล้ว

    "ลากของมันไปด้วยละกัน โปรดจัดการ" บุ้งว่าพลางจัดแจงเก็บของจุกจิกลงกระเป๋าสะพายข้าง

    "ทำไมต้องเป็นกู? "

    "มึงขายาวไง"

    เกี่ยวเหรอ ถามจริง?

    ป่วยการจะเถียง โปรดได้แต่ยกกระเป๋าของตัวเองขึ้นรถเข็นทับกระเป๋าของไอ้มิ้งโดยที่มีป้าส้มคนดีช่วยยก

    "โอ๊ะ! ขอโทษค่ะ"

           โปรดหันหลังกลับไปมอง เห็นผู้หญิงผมยาวตัวเล็กพยายามแบกกระเป๋าขึ้นรถเข็น สงสัยกระเป๋าเป้ด้านหลังจะไปเบียดกับคนข้างๆ


           พริ้งที่กำลังพยายามยกกระเป๋าใบเขื่องของเพื่อนตัวดีที่หนีไปเข้าห้องน้ำ ก็ต้องหันกลับไปขอโทษคนด้านข้างแทน

    หงุดหงิด! กระเป๋ามันจะหนักไปไหนเนี่ย

    "มา เดี๋ยวช่วย" เสียงมาพร้อมกับกระเป๋าที่รู้สึกเบาลง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะยกด้านก้นของกระเป๋าขึ้นรถเข็น โดยที่พริ้งแทบไม่ต้องออกแรง "ขอบคุณมากนะ" เธอกล่าวขอบคุณคนแรงเยอะตรงหน้า ซึ่งพอมองดีๆ แล้วสูงกว่าเธอมากทีเดียว "ไม่เป็นไร รีบไปเถอะพี่เค้าเรียกแล้ว" พูดเสร็จเจ้าตัวก็เดินเร็วๆ ไปเข็นรถตามไปสมทบกับเพื่อนที่เดินนำไปไกลแล้ว

    ขายาวชะมัด! เธอนึกในใจพลางรีบเข็นรถตามคนขายาวไปรวมตัวกับคนอื่นๆ


    "น้องๆคะ เดี๋ยวพี่จะแจกป้ายชื่อนะคะ เราจะแบ่งกลุ่มตามสีป้ายชื่อ กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่เราต้องทำกิจกรรมด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วก็เรียนคลาสเดียวกัน บนป้ายชื่อจะมีเลขที่เขียนอยู่ด้วยนะคะ คนที่เลขที่ใกล้กันให้จับคู่เป็นบัดดี้ช่วยดูแลกันจนจบค่ายนะคะ" พี่ค่ายที่มีชื่อว่าพี่เปรี้ยว กวักมือเรียกผู้ชายที่ถือป้ายชื่อของกลุ่มต่างๆ

    " พี่จะให้เพื่อนเราคนนี้ช่วยแจกป้ายชื่อนะ เดี๋ยวจะเรียกตามสี เริ่มจากสีเขียว สีแดง สีชมพู สีฟ้า เราจะมีกันสี่กลุ่มนะน้อง ตั้งใจฟังดีๆ "

           โปรดยืนเท้าแขนกับรถเข็น พลางสอดสายตามองไปรอบๆ ค่ายนี้มีคนเข้าร่วมถือว่าค่อนข้างเยอะทีเดียวประมาณ60กว่าคน ซึ่งแสดงว่าแต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกประมาณ15-20คน เธอหันกลับไปมองที่พี่เปรี้ยวเมื่อได้ยินพี่เขาเรียกชื่อเพื่อนของเธอ สรุปว่าแก๊งของเธออยู่กลุ่มสีฟ้าเหมือนกันหมด พวกเธอย้ายไปรวมกลุ่มกับคนที่อยู่กลุ่มสีฟ้าเหมือนกัน ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะได้สมาชิกมาเกือบ10คนแล้ว


    "3Aอ่ะ คู่กับป้าส้มเว้ย" ไอ้มิ้งที่เสร็จจากภารกิจข้าศึกบุกมองป้ายชื่อตัวเองสลับกับมองป้ายชื่อป้าส้ม ส่วนบุ้งได้เป็นบัดดี้กับเพื่อนสาวตัวผอมที่มีทั้งชื่อและบุคลิคเก๋ไก๋อย่าง สไบ สาวติสต์จากคณะมัณฑศิลป์ กลุ่มสีฟ้าได้บัดดี้ครบหมดทุกคู่แล้วเหลือแต่เธอที่ยังไม่เห็นเลยว่าคู่บัดดี้11Bของเธอไปอยู่ที่ไหน

    "เธอๆ เลขที่11Aใช่มั้ย? "

    "ใช่ เราเอง ชื่อโปรดนะ"

    "เราชื่อพริ้ง ขอบคุณอีกรอบนะที่ช่วยเรายกกระเป๋า โปรดนี่มาจากโปรดปรานหรือเปล่า"

           โปรดมองผู้หญิงตัวเล็กที่เธอช่วยยกกระเป๋า ซึ่งตอนนี้ได้กลายมาเป็นบัดดี้ของเธอชวนคุยอย่างคนอัธยาศัยดี

    "ใช่แล้ว แล้วพริ้งละ"

    "ถ้าบอกว่ามาจากสวยพริ้งละ จะเชื่อป่ะ? " ว่าพลางเอามือรองคางทำท่าดอกไม้บานพร้อมกะพริบตาปิ๊งๆ ให้เธอ

    อยู่ๆ โปรดก็รู้สึกทั้งหมั่นไส้ทั้งเอ็นดูคนที่ชมตัวเองตาใส

    "จ้า เชื่อแล้วจ้า" เธอว่ายิ้มๆ มองคนสวยพริ้งที่หัวเราะตาหยีอย่างเบิกบาน

    แต่ก็สวยพริ้งจริงๆ นั่นแหละ


           หลังจากที่แบ่งกลุ่มกันเรียบร้อยคณะเดินทางก็ทยอยเช็กอินเข้าเกท ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน ประกอบกับนักเดินทางค่อนข้างเยอะกว่าจะมาถึงหน้าเกทที่รอขึ้นเครื่องทำเอาโปรดเพลียแทบแย่ โปรดมองพริ้งกับเพื่อนของเธอที่ดูท่าจะเข้ากันได้ดีเพราะยังคุยกันไม่หยุด ซึ่งดูท่าจะถูกคอกับบุ้งที่สุดเพราะชอบศิลปินเกาหลีวงเดียวกัน วงการติ่งนี่เป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ชั้นยอดจริงๆ สัญญาณแจ้งเตือนรัดเข็มขัดดังขึ้น ต้องใช้เวลาราวๆ ห้าชั่วโมงกว่าจะถึงปักกิ่งอันเป็นที่หมายของการเข้าค่ายฤดูร้อนในครั้งนี้

    "จะนอนแล้วเหรอ ไม่รออาหารก่อนเหรอ" เสียงของคนข้างตัวเอ่ยถาม

    "อือ เรายังง่วงอยู่เลย พริ้งช่วยปลุกเราหน่อยละกันนะ"

    "นอนไปเถอะ เราจะนั่งอ่านหนังสือสักแป๊ปยังไม่ค่อยง่วง" เธอชูหนังสือเล่มบางในมือให้ดู ก่อนจะขยับท่าทางให้สบายตัว ด้วยความง่วงที่สะสมมาตั้งแต่เช้ามืดทำให้โปรดเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือพริ้งที่ตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือเล่มบางที่อยู่ในมือ



           ไม่รู้หลับไปนานเท่าไหร่ เธอตื่นอีกครั้งตอนที่เริ่มได้ยินเสียงจอแจของผู้โดยสารและแรงสะกิดเบาๆ ตรงหัวไหล่

    "ตื่นมากินข้าวเถอะ" โปรดที่ยังสะลึมสะลือพยายามปรับโฟกัสสายตา เห็นเพียงภาพของพริ้งรางๆ ว่ากำลังรับข้าวกล่องจากคุณแอร์คนสวยพร้อมจัดแจงโต๊ะพับตัวเล็กที่ถูกกางออกมาเพื่อรับประทานอาหาร

    "อะ ของเธอ" โปรดมองข้าวกล่องที่ถูกยื่นมาตรงหน้า เป็นเพราะเธอมัวแต่มองคนตัวเล็กกว่า จึงไม่ทันสังเกตสังการอบข้าง

    "เอ้อ ขอบใจนะ" เธอกล่าวขอบคุณอย่างเขินๆ ที่มัวแต่เหม่อมองคนข้างๆ แถมยังเขินขึ้นไปอีกที่คนถูกมองยิ้มน้อยๆ ให้ พริ้งมองคนตัวสูงที่ก้มหน้าแกะข้าวกล่องตัวเองหลังจากที่โดนจับได้ว่าแอบมองคนอื่นอยู่

    เธอแอบยิ้มขำในใจ เด็กหนอเด็ก

           พริ้งละความสนใจจากคนตัวสูงข้างๆ มาจดจ่อกับสมุดประจำตัวเล่มเล็ก ที่เป็นเหมือนสมุดวาดรูปประจำตัวของเธอก็ว่าได้ เธอวาดรูปมื้ออาหารตรงหน้าด้วยปากกาดำอย่างรวดเร็วพร้อมลากเส้นอธิบายเมนูต่างๆ ในรูปภาพ เอาไว้ถึงห้องพักค่อยลงสีละกัน

    "ทำอะไรอ่ะ ทำไมยังไม่กินข้าว" เสียงอู้อี้ของคนข้างๆ ถามขึ้น พลางยืดคอน้อยๆ เหมือนอยากจะรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรแต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวจะเสียมารยาท พริ้งมองตารีๆ ที่พยายามเบิ่งว่าเธอกำลังทำอะไรยุกยิกที่สมุดเล่มเล็กอยู่ เห็นแล้วนึกถึงเจ้าปีโป้ที่บ้าน แมวตัวอ้วนของเธอที่ดูจะอยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกอย่าง เธอเอียงสมุดวาดรูปของเธอให้เจ้าแมวยักษ์ดู

    "เราวาดรูปอาหารอยู่"

    "วาดน่ารักนี่ วาดคนด้วยมั้ยอ่ะ หรือวาดแต่อาหาร" เจ้าแมวยักษ์ดูจะตื่นเต้นเหลือเกิน

    "วาดแต่อาหาร เราไม่ค่อยถนัดวาดคน"


           โปรดเหลือบตามองคนตัวเล็ก ที่กำลังพลิกสมุดให้เธอดูรูปอื่นๆ ที่เจ้าตัวเคยวาดเอาไว้ มีทั้งรูปขนมเค้กร้านที่หน้ามหาวิทยาลัย มื้อกลางวันในโรงอาหาร รวมไปถึงร้านข้างทางรอบๆ มหาวิทยาลัย ลายเส้นดูตะมุตะมิเข้ากับตัวกะทัดรัดของคนวาดจริงๆ

    " เธออยู่คณะจิตรกรรมอะไรพวกนั้นป่ะ" โปรดเอ่ยถามหลังจากที่เห็นผลงานและนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่รู้เรื่องอะไรของบัดดี้ตัวเองเลยนอกจากชื่อ

    "เปล่าหรอก เราเรียนวิทยาศาสตร์น่ะ" คนถูกถามมีสีหน้าเจื่อนๆ โปรดเลิกคิ้วนิดนึงเป็นเชิงถาม

    "ที่บ้านอยากให้เรียนน่ะ ตอนแรกเราติดเภสัชแต่คิดว่าตัวเองคงไปไม่รอดหรอก ถ้าต้องเรียนอะไรที่ไม่ชอบตั้ง6ปี เลยต่อรองกับที่บ้าน ว่าขอเรียนเป็นคณะวิทย์แทน"

    "แล้วจริงๆ อยากเรียนอะไรละ"

    " เราอยากเรียนพวกจิตรกรรม fine artอะไรพวกนี้ แต่อย่างว่าสุดท้ายก็เรียนวิทยา" คนพูดยักไหล่เหมือนไม่สนใจ แต่โปรดก็จับกระแสความเสียใจได้บางๆ เรื่องคณะเรียนเนี่ยเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตของนักเรียนนักศึกษาจริงๆ ถ้าไม่เรียนในคณะสายวิทยาศาสตร์หรือสายบริหาร ก็จะถูกคนรอบข้างถามว่า" จบแล้วจะทำอะไรกิน"

    " นี่! ไม่ต้องทำหน้าสงสารเราเลยนะ ถึงไม่ได้เรียนในคณะที่ตัวเองอยากเรียน เราก็ยังวาดรูปได้อยู่ดีป่ะ? "

    "โทษทีๆ " โปรดขอโทษขอโพย มองหน้าพริ้งที่ดูไม่ได้โกรธอะไรจริงจัง เก็บสมุดวาดรูปลงก่อนจะเริ่มลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า

    "แล้วเธอละ เรียนคณะอะไร"

    “ธุรกิจระหว่างประเทศ”


           มื้ออาหารบนเครื่องกลายเป็นว่าพวกเธอผลัดกันถามผลัดกันตอบเรื่องราวของแต่ละคน โปรดจึงได้รู้ว่าคนตัวเล็กหน้าเด็กข้างๆ เธอเปิดเทอมนี้ก็ปีสี่แล้ว เป็นรุ่นพี่เธอตั้ง2ปี นอกจากจะชอบวาดรูปและอ่านหนังสือแล้วเธอยังเป็นทาสแมวอย่างสมบูรณ์แบบ

    "นี่ๆ ดูความน่ารักของปีโป้สิ" แม่คนหน้าเด็กนี่พราวทูพรีเซ้นเจ้าแมวอ้วนขนส้มที่ชื่อเจ้าปีโป้อย่างออกนอกหน้ามาก ประหนึ่งคุณแม่มือใหม่ที่อวดลูกน้อยของตน

           โปรดมองดูเจ้าแมวส้มที่นอนหงายท้องโชว์พุงกลมๆ ของตัวเองในโทรศัพท์ของพริ้ง น่ารักนะแต่ดูกวนตีนด้วย

    "โปรดเล่นกล้องเหรอ"

    " อ๋อ อือ ใช่ หัดมาได้เกือบๆ 2ปีแล้ว" โปรดมองกระเป๋ากล้องลูกรักที่วางไว้ใต้เบาะที่นั่ง

    "เก่งจัง เราเคยหัดนะ แต่มือไม่นิ่งภาพเลยไม่ชัด ส่วนมากจะเป็นแบบให้เพื่อนมากกว่า"

    โปรดก็แอบคิดแหละว่าถ้าเจ้าตัวมาเป็นแบบให้คงขึ้นกล้องไม่น้อย ไวกว่าความคิด

    " งั้นช่วยเป็นแบบให้เราหน่อยสิ ไหนๆ ก็เป็นบัดดี้กันแล้ว ช่วยเป็นแบบให้ที" โดยที่ไม่รู้ตัวโปรดทำสายตาออดอ้อนแบบที่มั่นใจว่าใครเห็นต้องใจอ่อน นอนแน่สิ! นี่มันท่าไม้ตายที่ไว้ใช้กับคุณย่าเลยนะ

    "ก็... ได้อยู่แหละแต่เราโพสต์ท่าไม่ค่อยเก่งนะ" พริ้งตอบเกรงๆ เธอเองก็ไม่ใช่คนที่โพสต์ท่าเก่ง อาศัยว่าเที่ยวไปถ่ายไป รูปที่ได้เลยออกแนวเผลอหรือธรรมชาติมากกว่า

    "อื้อ! เป็นตัวของตัวเองแหละ เธอสวยอยู่แล้ว"

    บ้าจริงงงง เจ้าเด็กคนนี้!

           พริ้งรู้สึกร้อนที่ข้างแก้มวูบวาบ เจ้าเด็กโข่งเล่นชมเธอด้วยหน้าตาใส่ซื่อ ถึงเธอจะอวยตัวเองบ่อยแต่เจอแบบนี้มันก็เขินนะ

    "ถ้าภาพไม่สวย อย่าโทษเราละ"

    "อื้อ! "


    โอ๊ย! หยุดยิ้มซะที




           หลังจากเดินทางยาวนานมาเกือบ5ชม. ในที่สุดก็ถึงที่หมาย โปรดรู้สึกเมื่อยล้าไปหมดกับการที่นั่งท่าเดิมเป็นเวลาหลายชั่วโมง หันไปมองคนข้างๆ เห็นเจ้าตัวบิดคอไปมา คาดว่าคงเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเหมือนกันแต่รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากหน้าใบหน้าสวยๆ นั่นเลย พวกเธอสองคนทยอยเดินลงจากเครื่องบินลำใหญ่ ไหลไปตามผู้โดยสารเที่ยวเดียวกัน อาศัยที่ว่าตัวสูงสอดสายตาหาเจ้าเพื่อนตัวดีทั้งหลายที่เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว พร้อมกับลากคนตัวเล็กกว่าติดมือมาด้วย ตัวแค่นี้มองพ้นไหล่ชาวบ้านเค้ารึเปล่าเถอะ

    "โอยยย เมื่อยไปหมด ร้อนด้วย" เสียงบ่นหงุงหงิงจากเพื่อนมิ้งตัวดีดังขึ้นไม่หยุดหย่อน

    "เอาน่าเดี๋ยวก็ได้พักแล้ว" ป้าส้มคนดีก็ยังเป็นคนดีอยู่วันยังค่ำ พูดไปพลางซับเหงื่อที่ไหลจนน่ารำคาญ อากาศร้อนเดือนกรกฎาคมแผ่ความร้อนไม่หยุดหย่อน ทั้งร้อนทั้งเหนียวตัว เผลอๆ ร้อนกว่าที่ไทยอีกมั้ง

    " สมชื่อซัมเมอร์แคมป์จริง" ไอ้บุ้งอดบ่นไม่ได้

           พวกเธอได้แต่ยืนเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่หน้าอาคารสนามบินเพื่อรอรถบัสที่จะพาพวกเธอไปยังมหาลัยที่เป็นสถานที่เข้าค่ายช่วงฤดูร้อน โปรดยืนกระพือเสื้อเพื่อคลายความร้อนหูก็ยังได้ยินเจ้าพวกเพื่อนของเธอยังคงบ่นไม่หยุดหย่อน รวมไปถึงเสียงเล็กๆ ของพริ้งที่คุยออกรสอยู่กับสไบบัดดี้ไอ้บุ้ง ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องวาดรูปอะไรทำนองนั้น เจ้าตัวยังพูดไปยิ้มไปทั้งๆ ที่เหงื่อเต็มใบหน้าสวยๆ นั่น

           ในที่สุดรถบัสก็มาถึง ไอ้บุ้งแทบจะน้ำตาไหลด้วยความยินดี วิ่งนำหน้าเพื่อนขึ้นรถก่อนคนแรก

           พี่เปรี้ยวพี่ประจำค่ายได้ประกาศให้บัดดี้แต่ละคู่นั่งด้วยกัน เพื่อให้สะดวกต่อการนับจำนวนคน โปรดดันหลังให้พริ้งเข้าไปยังที่นั่งริมหน้าต่าง ก่อนจะหย่อนตัวนั่งทีหลัง

    "ขึ้นรถกันครบทุกคนแล้วนะคะ เดี๋ยวพี่จะแจ้งกำหนดการคร่าวๆ ให้ฟังก่อนนะ" เสียงของพี่เปรี้ยวดังขึ้นในขณะที่รถบัสค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากสนามบิน

    "พอไปถึงที่มหาลัยพี่จะแจกกุญแจห้องพักให้นะ พี่จะให้พวกเราขึ้นไปเก็บของพักผ่อนกันก่อน แล้วให้น้องๆ ลงมารวมตัวกันใต้หอตอนหกโมงเย็น เพื่อไปกินข้าวที่โรงอาหารกัน"

    "ตอนนี้ก็พักผ่อน ดูวิวกันไปก่อน เราจะใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมงในการเดินทางค่ะ"

           โปรดทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ บนตักกอดกระเป๋ากล้องลูกรักเริ่มรู้สึกได้ถึงความคลื่นเหียนตีขึ้นมาที่อก

    เมารถอีกแล้ว!

    " โปรดเป็นอะไรอ่ะ เหงื่อออกเยอะเชียว" พริ้งเอ่ยถามคนที่นั่งหลับตาหน้าซีดเหงื่อออก

    " เมารถเหรอ ไหวป่ะเนี่ย? "

    โปรดได้แค่หยักหงึกหงักอย่างอ่อนแรง

    "เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น ไม่ต้องห่วงมันหรอ" บุ้งยื่นหน้ามาจากเบาะที่พักข้างหน้า

    "มันเป็นงี้ทุกครั้งแหละ แต่นั่งไปสักพักก็เริ่มหาย เข้มแข็งไว้เพื่อน"ไม่พูดเปล่ายืดตัวอวบๆ มาตบไหล่โปรดดังปึกๆ

    "ถ้าไม่ไหวก็บอกละกันนะ" พริ้งบอกคนป่วย ก่อนจะละความสนใจไปที่วิวข้างนอก เมืองจีนนี่มันอะไรๆ ก็ใหญ่ไปหมด



           คนเมารถลืมตามองคนข้างๆ ที่ดูจะตื่นตาตื่นใจไปกับวิวข้างนอกเหลือเกิน แก้มขาวๆ นั่นยังคงแดงเพราะความร้อนอยู่ ตากลมโตคู่นั้นดูมีประกายเวลาเจ้าตัวตื่นเต้นกับอะไรสักอย่าง ที่สำคัญโปรดยังไม่เคยเห็นเจ้าตัวทำหน้าตาบึ้งตึง

    เคยโมโหอะไรบ้างมั้ยเนี่ย?

    ฝากคนถูกแอบมองก็ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ นี่ไม่รู้เลยใช่มั้ยว่าเห็นได้จากเงาสะท้อนบนหน้าต่าง

    โปรดอดไม่ได้ มือเรียวคว้ากล้องถ่ายรูปบนตัก ลั่นชัตเตอร์เก็บภาพนางแบบจำเป็นของทริปนี้เอาไว้

           พอลดกล้องลงจึงได้เห็นนางแบบอมยิ้มน้อยๆ ให้ผ่านทางกระจก โปรดรู้สึกได้ว่าข้างแก้มเห่อร้อน เลยชูกล้องให้ดูอย่างเก้ๆ กังๆ

    "ก็มุมมันได้"

    รอยยิ้มของอีกคนขยับกว้างกว่าเดิม


    ไม่ได้แอบมองนะ จริงๆ ...


           ในที่สุดรถบัสก็เคลื่อนตัวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย อาคารใหญ่โตทั้งหลายเคลื่อนผ่านสายตาของโปรดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถบัสหยุดลงที่หน้าหอพักสูง5ชั้น โปรดสะพายกระเป๋ากล้องที่นั่งกอดมาตลอดทาง โดยมีพริ้งเดินตามหลังมาติดๆ การรับกระเป๋าและแจกจ่ายกุญแจห้องพักเป็นไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากแสงแดดที่แผดเผา กลุ่มสีฟ้าได้พักชั้นเดียวกันทั้งหมดคือชั้นที่4

    โปรดลากกระเป๋าตามกลุ่มเพื่อนไปยังหน้าหอพักก่อนที่จะค้นพบว่าที่นี่ไม่มีลิฟต์

    "โอ้มายก้อดด กูต้องแบกกระเป๋าขึ้นบันไดไปชั้น4 จริงเหรอวะ!? " เสียงไอ้บุ้งบ่นขึ้นทันที

    "เกรงว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ" สไบเอ่ยขึ้นพร้อมกับถอนหายใจแรงๆ หนึ่งที

    "กระเป๋ากู 23โล" เสียงอ่อนระโหยโรยแรงมาจากมิ้ง

    "เลิกบ่นละรีบขึ้นเถอะ ร้อน! " โปรดคว้ากระเป๋าลากดุ่มๆ ไปที่บันไดทันที ตอนนี้เธอต้องการพัก!

           พริ้งรู้สึกหมดแรงขึ้นมาดื้อๆ เมื่อเห็นว่าต้องขนกระเป๋าเดินทางใบเขื่องขึ้นบันได เธอมองคนขายาวที่ลากกระเป๋าลิ่วๆ นำหน้าคนอื่น พลางถอนใจเฮือกใหญ่

    ไม่มีทางเลือก

    เธอลากกระเป๋าเดินตามสไบและเพื่อนๆ ที่เหลือที่ยังคงบ่นไปตลอดทาง

    มาค่ายครั้งนี้กล้ามขึ้นแน่นอน


           โปรดแผ่ตัวลงบนที่นอนทันทีที่ขนกระเป๋าเข้าห้องได้ ยังดีที่นักศึกษาแต่ละคนได้พักห้องเดี่ยว แถมมีแอร์และห้องน้ำในตัวอีก

    อ่าาา เย็นสบาย

           หลับตาได้สักพัก โปรดคว้ามือถือต่อไวไฟของหอพักและต่อเข้าวีพีเอ็นอีกรอบ ก็นะ ที่จีนมันก็จะยุ่งยากหน่อยๆ เธอส่งข้อความหาคนที่บ้านว่าเธอเดินทางถึงโดนสวัสดิภาพไว้ตอนค่ำๆ ค่อยวิดีโอคอลไปหา นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสี่โมงสิบห้ายังมีเวลาให้เธอได้นอนสักงีบก่อนที่จะถึงเวลารวมตัว แอร์เย็นๆ บวกกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง กล่อมให้เธอนอนหลับได้อย่างรวดเร็ว



    พริ้งพบว่าห้องพักที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว

    ถ้าไม่นับส้วมล่ะนะ

           เธอเริ่มจัดเก็บของเข้าตู้เสื้อผ้าซึ่งก็ใช้เวลาไม่นาน หลังจากจัดเก็บของและล้างหน้าชำระเหงื่อไคลเรียบร้อย เธอก็นอนเอกเขนกบนที่นอนพร้อมสมุดวาดรูปประจำตัว เธอลงมือวาดห้องพักที่เธออยู่ เมื่อรูปแรกเสร็จ เธอจึงเปิดภาพถ่ายวิวที่ถ่ายระหว่างทางมา มือบางลงมือร่างภาพอาคารคร่าวๆ ก่อนจะนึกไปถึงเจ้าเด็กโย่งที่แอบมองเธอบนรถบัส

    ถ้าจับมาเป็นแบบวาดรูปคงจะเท่ไม่หยอก

    ก็แหม คนหน้าเก๋ๆ กับกล้องมีเสน่ห์จะตาย



           นักศึกษากลุ่มใหญ่ยืนเข้าแถวตามสีของแต่ละคนเรียบร้อยตรงเวลาหกโมงพอดิบพอดี ไม่มีใครมาสาย คาดว่ากลัวจะพลาดมื้อเย็น เมื่อพี่ค่ายเห็นว่าทุกสีมาครบแล้ว จึงเริ่มเคลื่อนขบวนนักศึกษาผู้หิวโหยสู่โรงอาหารที่อยู่ห่างออกไปเพียงสองช่วงตึก

    เพียงสองช่วงตึก…

    “แม่เอ๊ยยยย สองช่วงตึก กูจะตาย” เป็นบุ้งคนเดิมเพิ่มเติมคือเหงื่อเต็มมาก ต้องเข้าใจก่อนว่าสองช่วงตึกของมหาลัยที่นี้นั้นกว้างใหญ่มาก แต่ละช่วงตึกนั้นห่างกันประมาณ 800 เมตร สองช่วงตึกรวมๆ แล้วก็เกือบ 2 กิโลเมตรได้

    “ผอมแน่มึง” ป้าส้มบ่นขึ้นอย่างอดไม่ได้ มันไกลมากจริงๆ ส้มจะไม่ทน!

    “พวกมึงอย่าบ่นเลย นี่เป็นโรงอาหารที่ใกล้หอสุดละนะ” โปรดยกมือปาดเหงื่อที่ไหลมาตามกรอบหน้า ก่อนจะเหลือบตาไปมองคู่บัดดี้ที่เอาสมุดวาดรูปตัวเองมาโบกแทนพัดให้กับสไบที่ยืนหอบลิ้นห้อยอยู่

    “ขอบคุณพระเจ้าโรงอาหารติดแอร์” เสียงดังจากมิ้งที่เดินนำหน้าเข้าไปก่อน ในโรงอาหารกลิ่นอาหารหลากหลายชนิดอบอวล เสียงจอแจของนักเรียนทั้งเจ้าถิ่นอย่างนักศึกษาชาวจีนกับคณะไทย ตีกันปนเปไปหมด

    “ไปซื้อข้าวกันก่อนเลย เดี๋ยวเรากับสไบไปจองโต๊ะให้” พริ้งพูดเสียงดังแข่งกับเสียงรอบข้าง

           พริ้งเลือกโต๊ะได้ตัวหนึ่งที่ว่างครบจำนวนคนพอดี เธอนั่งลงมองไปรอบๆ โรงอาหาร ฝั่งตรงข้ามเป็นสไบที่พยายามต่อไวไฟโรงอาหารอยู่ เธอสังเกตว่าคนจีนทุกคนใช้ตะเกียบกับอาหารทุกประเภท รวมไปถึงข้าวต้ม มือหนึ่งไถสมาร์ทโฟน มือหนึ่งคีบอาหารเข้าปาก

    ทำได้ไงเนี่ย…

    สำหรับคนที่ใช้ตะเกียบไม่เก่งอย่างเธอได้แต่ปรบมือให้อยู่ในใจ

    “พริ้งไปซื้อข้าวกัน”

    เธอหันไปตามเสียงเรียกของสไบ ในขณะที่คนที่ไปซื้ออาหารก่อนหน้าทยอยเดินกลับมาที่โต๊ะ

           อาหารหลากหลายชนิดวางเรียงอยู่ในตู้อาหาร เธอใช้ทักษะภาษาจีนอันมีอยู่น้อยนิด สั่งเป็นก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ชามโตในราคาที่ค่อนข้างถูก แน่นอนว่าก่อนจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้า เธอไม่ลืมจะถ่ายรูปเก็บไว้วาดภาพ ถ้าจะให้วาดเลยก็กลัวจะหายร้อนซะก่อน เจ้าเด็กโข่งยื่นหน้ามาทำจมูกฟุดฟิดอยู่ใกล้ๆ

    “หอมอะ”

    “ชิมมั้ย น้ำซุปอร่อยดีนะ” เธอเลื่อนชามเข้าไปตรงหน้าโปรด

    “อร่อยอะ! ครั้งหน้าสั่งมั้ง” เธออมยิ้มน้อยๆ มองคนตรงหน้าที่ดูจะตื่นตากับอาหารเอามากๆ

    “แล้วพรุ่งนี้นัดรวมกันกี่โมงนะ” สไบถามขึ้นระหว่างที่กำลังคีบขนมจีบเข้าปาก

    “เจ็ดครึ่งนะใต้หอ เห็นพี่เค้าบอกว่าจะพามากินข้าวที่โรงอาหารก่อน แล้วจะพาเดินไปที่อาคารเรียน” เป็นป้าส้มคนดีที่จำรายละเอียดพวกนี้ได้

    “ป้าส้มปลุกกูด้วยนะคะ” ไอ้มิ้งเจ้าแม่สายเสมอรีบกันไปอ้อนวอนป้าส้มทันที นัดรวมเจ็ดครึ่งไหนจะต้องตื่นมาอาบน้ำแต่งหน้าทำผม ต้องตื่นกี่โมงเนี่ยยย

    “มึงเลย สายตลอด” ไอ้บุ้งทำหน้าเหยียดใส่มิ้งทันที เธอยังจำได้ที่พวกเธอนัดรวมกันไปดูหนัง นัดกันไว้ตอนสิบโมง กว่าแม่คุณจะมาก็เกือบสิบเอ็ดโมง แถมมาหน้าเต็มด้วยนะ เธอละของขึ้น!

    “นั่นแหละ พวกเราต้องฝากความหวังไว้ที่ป้าส้มแล้ว”

    ไอ้มิ้งตัวดีส่งสายตาปิ๊งๆ ไปที่ป้าส้มที่ทำหน้าตาเบื่อหน่ายใส่เพื่อนตัวดี

    ทำไมต้องมีเพื่อนเป็นพวกมึงด้วยเนี่ย!


    “เออ อิเวร”

    “ป้าส้มบันไซ! “


    สำนึกหน่อยนังตัวดี!



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in